ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 610 ลาก่อน เรือไททานิก
เรือไททานิกอยู่ในสภาพผุพังเกินกว่าจะรับไหว สนิมน้ำแข็งที่เหมือนกับเชื้อโรคมีอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมของเรืออับปางรวมไปถึงสมอเรือ
ก่อนหน้านี้มีบริษัทกู้ซากเรือใช้ประโยชน์จากการถ่ายภาพแบบอะคูสติค รวมถึงการใช้รังสีโซนาร์และการใช้กล้องที่มีเทคโนโลยีสามมิติเข้ามาถ่ายภาพเพื่อวิจัยสภาพความเป็นอยู่ของเรือลำนี้ มีการคาดการณ์ไว้ว่าเรือลำนี้จะค่อยๆ พังทลายลงไปเรื่อยๆ หลังจากห้าถึงสิบปีนี้
ฉินสือโอวรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ข่าวที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างความตื่นตระหนก เขาสังเกตดูรอบๆ เรืออับปางอันสวยงามลำนี้อยู่เงียบๆ นับจากครั้งล่าสุดที่เขาเข้ามาดู มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับซากเรืออับปางลำนี้เล็กน้อย
ครั้งที่แล้วที่เขาได้นำภาพวาดของมันมาด้วย เสากระโดงหน้าของ ‘เรือไททานิก’ เอนมาข้างหลังเล็กน้อย แต่ตอนนี้เสานั้นกลับล้มลงจนเป็นเหมือนสะพานไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้สิ่งเปลี่ยนไปมากที่สุดคือคราบสนิมน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามซากเรือ ว่ากันว่าตัวเรือไททานิกนี้ทำจากแผ่นเหล็กสองพันแผ่นประกอบเข้าด้วยกัน แผ่นเหล็กทุกแผ่นยาวสามสิบฟุต กว้างหกฟุต และหนาหนึ่งนิ้ว การจะต่อแผ่นเหล็กทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันต้องใช้หมุดย้ำทั้งหมดสามล้านชิ้น
แต่ตอนนี้เขามองไม่เห็นของเหล่านั้นอีกแล้ว สิ่งที่เห็นในตอนนี้คือสนิมหนาหลายชั้น ทำให้รู้สึกถึงความเสื่อมโทรมที่มีอยู่ทั่วเรือลำนี้
อีกอย่างนอกจากน้ำทะเลที่เข้ามากัดเซาะเรือลำนี้แล้วยังมียังมีจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ อีกด้วย พวกมันสร้างที่อยู่อาศัยของตัวเองอยู่ทั่วเรืออับปาง ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่เรือลำนี้ไม่น้อยกว่าน้ำทะเลเลย
คลื่นน้ำใต้ทะเลยังเป็นฆาตกรอีกคนหนึ่งที่คอยทำลายเรือลำนี้ ฉินสือโอวเคยอ่านเจอข้อมูลพวกนี้จากคนที่พบซากเรืออับปางทั้งหลาย ซากเรืออับปางลำนี้เคลื่อนตัวไปมากกว่าสี่ร้อยเมตรในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา เท่ากับว่ามันถูกคลื่นใต้น้ำทำให้มันเคลื่อนที่ไปช้าๆ เฉลี่ยยี่สิบเมตรต่อปี
ฉินสือโอวออกคำสั่งให้พวกไร้กระดูกถอดส่วนประกอบด้านนอกของเรือไททานิกออกให้หมด แทนที่จะปล่อยให้ซากเรืออับปางอันมีชื่อเสียงโด่งดังถูกน้ำทะเลและจุลินทรีย์ทำลาย สู้ให้เขาทำลายมันด้วยตัวเองยังจะดีเสียกว่า
นี่คือชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง มีทั้งผู้สร้าง ย่อมมีผู้ทำลาย
มนุษย์เป็นคนสร้างเรือไททานิกขึ้นมา สุดท้ายคนที่ลายมัน ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี
เหตุผลที่ฉินสือโอวมายังรอบๆ ซากเรือไททานิกในวันนี้ นอกจากเขาจะมาพักผ่อนแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะเสากระโดงที่หักลงมาแล้วเสานั้นนั่นเอง ไม่นานเสานั้นก็จะตกลงสู้ก้นทะเลและถูกสายน้ำพัดพาไป
การอับปางของเรือลำนี้ถือเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่ง เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ณ เสากระโดงเรือ เวรยามอย่างเฟรเดอริก ฟรีตเป็นผู้มองเห็นภูเขาน้ำแข็งแห่งประวัติศาสตร์จากที่แห่งนี้
เมื่อเสากระโดงเรือล่มลง มันก็ทำให้น้ำทะเลที่อยู่รอบๆ เกิดการสั่นไหว ฉินสือโอวมองไปยังเรือลำใหญ่เงียบๆ เขาพูดขึ้นมาในใจว่า ลาก่อน ไททานิก
มีหลุมขนาดใหญ่กว้างราวสี่ถึงห้าตารางเมตรปรากฏขึ้นที่ตัวเรือ ข้างใต้เสากระโดงเรือคือห้องเก็บของ ฉินสือโอวสั่งให้พวกไร้กระดูกเข้าไปในรูขนาดใหญ่ของซากเรืออับปางเพื่อหาของที่อยู่ข้างในเรือลำนั้น
ของสะสมที่อยู่ในห้องเก็บของของเรือไททานิกคือเนื้อหมูสดประมาณสามหมื่นสี่พันกิโลกรัม เนื้อปลาสดห้าพันกิโลกรัม เนื้อสัตว์ปีกหนึ่งหมื่นหนึ่งพันกิโลกรัม ไข่ไก่สี่หมื่นฟอง น้ำตาลสี่พันห้าร้อยกิโลกรัม มันฝรั่งสี่สิบตัน กาแฟหนึ่งตัน ไวน์หนึ่งพันห้าร้อยขวด เบียร์อีกสองหมื่นขวดและของอื่นๆ อีกมากมาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าของพวกนี้ถูกทำลายไปจนหมดแล้ว ฉินสือโอวกำลังมองหาเครื่องลายคราม ห้องอาหารในเรือเวลานั้นมีจานหนึ่งหมื่นสองพันใบ ช้อนส้อมแปดพันคู่ ถ้วยชาสามพันใบและแก้วไวน์อีกแปดพันใบ
ปรากฏว่าเครื่องลายครามพวกนี้ไม่ได้ถูกห่ออย่างแน่นหนา ของพวกนี้ไม่สามารถถูกน้ำทะเลทำลายได้ ตอนนั้นคงไม่มีใครคิดว่าเรือลำนี้จะจมลงสู่ใต้ท้องทะเลและไม่มีใครคิดว่าหนึ่งร้อยปีต่อมาจะมีคนมากอบกู้เรือลำนี้ ดังนั้นเครื่องลายครามเหล่านี้จึงถูกน้ำทะเลเข้าไปเต็มๆ บนเครื่องลายครามมีจุลินทรีย์ปกคลุมไปทั่วทำให้ของพวกนี้ดูไร้ค่าไปเลย
ที่มุมห้องเก็บของมีถังไม้โอ๊กใบใหญ่วางเรียงซ้อนกันอยู่มากมาย ถังไม้โอ๊กพวกนี้ถูกเรียงซ้อนกันขึ้นไป เมื่อเรือลำนี้จมลงใต้น้ำ เนื่องจากความหนักและการอัดแน่นของพวกมันจึงทำให้พวกมันอยู่ที่เดิมไม่ลอยออกไปไหน แม้ว่าตำแหน่งการวางจะเอียงไปบ้าง แต่พวกมันก็ไม่ได้รับความเสียหาย
ฉินสือโอวตรวจสอบของพวกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่อยู่ในถังไม้โอ๊กพวกนี้จะต้องเป็นเบียร์หรือไม่ก็ไวน์องุ่นแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร การที่พวกมันอยู่ใต้น้ำมาร้อยกว่าปีแบบนี้คงดื่มไม่ได้แล้วเป็นแน่ เรื่องนี้ทำให้เขาค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย
ไม่ใช่เหล้าทุกชนิดที่ยิ่งเก็บไว้นานแล้วจะยิ่งมีค่า ยังดีที่ฉินสือโอวเป็นคนที่ค่อนข้างรู้เรื่องไวน์องุ่นอยู่บ้าง เขาศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเหล้าและไวน์อยู่บ้างเล็กน้อย เขารู้ว่าโดยทั่วไปนั้นไวน์องุ่นไม่สามารถเก็บได้นานขนาดนั้น
ในสายตาของนักชิมไวน์ ไวน์องุ่นก็เหมือนกับการเติบโตของคน มันมีช่วงเวลาที่สุกงอมและหมดอายุ พวกมันไม่ได้มีระยะเวลาในการเก็บรักษา แต่มีระยะเวลาในการดื่ม การดื่มให้หมดในระยะเวลาที่กำหนดถือว่าดีที่สุด การดื่มหลังจากผ่านระยะเวลานั้นไปแล้วอาจทำให้รสชาติที่ได้รับเปลี่ยนไปได้
การดื่มไวน์องุ่นนั้นก็เพื่อชิมรสชาติและเพื่อสุขภาพของผู้ดื่ม ถ้าหากรสชาติของมันไม่อร่อยและไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย แบบนั้นยังจะไม่มีใครดื่มเครื่องดื่มเช่นนี้ต่อไปอีก
จากที่ฉินสือโอวรู้มา ไวน์องุ่นธรรมดานั้นมีระยะเวลาในการดื่มห้าถึงสิบปี ไวน์ที่ดีจะต้องถูกบ่มเป็นระยะเวลาแปดถึงสิบปีจนสุกงอมถึงจะมีรสชาติที่น่าดึงดูด ดังนั้นระยะเวลาเก็บก็จะต้องนานขึ้นไปอีก
แต่มีไวน์ชั้นเยี่ยมอยู่ไม่กี่ชนิดที่สามารถเก็บได้นานนับสิบปีจนถึงร้อยปีหากบ่มอย่างถูกต้อง แต่ไวน์เหล่านี้มักพบเห็นได้น้อย เมื่อฉินสือโอวตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ ไวน์ที่ถูกบ่มไว้เป็นร้อยปีที่มีข้อมูลระบุอยู่ก็คือไวน์ในงานแต่งงานของวิลเลี่ยมแห่งประเทศอังกฤษเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้
จิตสำนึกโพไซดอนเคลื่อนย้ายถังเหล้าพวกนี้ช้าๆ ถังไม้โอ๊กแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันทีที่ได้รับแรงกระแทก การโดนน้ำทะเลแทรกซึมมาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปีทำให้แม้ว่าถังเหล้าพวกนี้จะยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่ความจริงมันเป็นไม้ที่ผุพังแล้ว
เมื่อถังไม้โอ๊กถูกทำลาย ของเหลวที่ไหลออกมารวมกับน้ำทะเลนั้นมีสีสันหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีอะไรบางอย่างสีดำๆ ลอยออกมาด้วย ไม่รู้ว่าในสมัยนั้นพวกเขาใส่อะไรลงไปข้างในระหว่างทำการต้มไวน์กันแน่
เมื่อเก็บกวาดถังไม้โอ๊กพวกนั้นเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็เตรียมตัวกลับ แต่ทันใดนั้นเขาก็เจอเข้ากับถังไม้โอ๊กใบหนึ่งที่ข้างในมีถังใบเล็กๆ อยู่ข้างในสองสามใบ
มีถังใบเล็กๆ ทั้งหมดสี่ใบ ความสูงประมาณสามสิบเซนติเมตร พวกมันเป็นถังอ้วนๆ เตี้ยๆ ดูน่ารักเป็นอย่างมาก พวกมันเหมือนถังไม้โอ๊กขนาดใหญ่ที่อยู่รอบๆ ซึ่งด้านนอกมีการทาสีไว้หนึ่งชั้น มีถังสองใบถูกทาด้วยสีทองเหลืองอร่ามและอีกสองใบทาด้วยสีเงินประกายขาวดุจหิมะ มองดูก็รู้ได้ในทันทีว่าพวกมันเป็นของมีค่า
ฉินสือโอวเข้าไปดูใกล้ๆ เขารู้สึกว่าถังใบเล็กทั้งสี่ใบนี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ บนถังไวน์เหล่านั้นมีตัวอักษรที่ถูกแกะสลักเอาไว้ว่าชาโต เปตรุส นอกจากคำนี้แล้วก็ไม่ได้มีเครื่องหมายอื่นๆ อีก
ฉินสือโอวเรียกพวกไร้กระดูกมาสี่ตัวแล้วให้พวกมันกลิ้งถังไวน์ขนาดเล็กทั้งสี่นี้ให้ลอยขึ้นมา จากนั้นพวกมันก็นำถังพวกนี้ไปวางไว้ที่พื้นราบที่ก้นทะเล นอกจากนี้พวกมันยังนำกล่องเล็กๆ และตู้ขนาดเล็กต่างๆ มาวางไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน ของทุกชิ้นอาจจะเป็นของมีค่าที่พวกไร้กระดูกรวบรวมมาได้ก่อนหน้านี้
เมื่อออกมาจากห้องเก็บของ ฉินสือโอวก็ไปยังห้องโดยสารชั้นหนึ่ง ที่แห่งนี้เมื่อก่อนเคยถูกตบแต่งด้วยไม้อย่างดี อีกทั้งยังมีเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งหรูหรามากมาย แต่หลังจากที่มันจมอยู่ใต้ทะเลมาร้อยกว่าปีแล้ว ที่ห้องโดยสารชั้นหนึ่งก็อยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ไปแล้ว
อันที่จริงข้างบนนั้นยังมีเครื่องประดับอย่างทองและเงินบางชนิดที่ยังไม่ถูกสนิมกินอยู่ แต่พวกมันก็เกิดการหลุดหลอกเป็นรอยด่าง นั่นก็เพราะจุลินทรีย์สามารถเติบโตได้บนพื้นผิวพวกนี้นั่นเอง
แม้ยุงจะตัวเล็ก แต่มันก็ยังมีเนื้อ ฉินสือโอวเรียกให้พวกไร้กระดูกกลุ่มหนึ่งเข้ามาแล้วสั่งให้พวกนั้นหยิบเครื่องประดับเงินทองเหล่านี้ออกไปรวมกันไว้ข้างนอก
นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมายังเรือไททานิกแห่งนี้ ฉินสือโอวจึงตั้งใจที่จะไปยังตำแหน่งของบันไดที่ขึ้นไปยังห้องโดยสารชั้นหนึ่งอีกครั้ง
ในเวลานี้สถานที่ที่หรูหราที่สุดในเรือก็คือปล่องที่อยู่ระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง บันไดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตบแต่งด้วยไม้โอ๊กและราวบันไดที่ทำจากทองคำทอดยาวไปจนถึงชั้นดาดฟ้าของเรือ ด้านบนสุดคือโดมแก้วที่มีเหล็กดัดรองรับอยู่ ไม่ว่าตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน ขอเพียงมีแสง ที่แห่งนี้ก็จะสามารถเห็นแสงที่ตกกระทบลงมาได้
แม้จะเห็นมันในตอนนี้ ฉินสือโอวก็ยังคงรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการของมันได้อยู่ หลังจากที่ซึมซับบรรยากาศอันยิ่งใหญ่นี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็มองหาเครื่องประดับที่ทำจากเงินและทองบริเวณบันไดอันใหญ่โตนี้ต่อไป จากนั้นเขาก็เรียกพวกไร้กระดูกมาเก็บของมีค่าพวกนั้นออกไป…
…………………………………………..