ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 623 ข่าวคราวที่บ้าคลั่ง
พาวลิสกับเจสเอาเรือยางขนาดเล็กลำหนึ่งลงมาจากท้ายกระบะ ส่วนกอร์ดอนก็ยกเอาเครื่องปั๊มลมไฟฟ้าออกมาเป่าลม ‘ฟู่ๆๆ’ แค่แป๊บเดียวพวกเขาก็เติมลมเรือยางจนเต็มลำ
พวกเด็กๆ สวมเสื้อชูชีพทับเสื้อผ้าด้านนอกก่อนเอาเรือยางไปวางไว้ที่ริมทะเลสาบ เชอร์ลี่ย์กอดแท็บเล็ตเอาไว้แล้วก้าวขึ้นไปข้างบน ส่วนคนอื่นๆ ที่ยังอยู่บนบกก็ทยอยตามขึ้นเรือไป พาวลิสขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย หลังจากนั้นก็เป่าปากเรียกลูกกวางอูฐปอหลัวที่มาด้วยกัน
ปอหลัวก้าวลงมาในน้ำ มันใช้หัวดันเรือยางเอาไว้ พอส่งแรงก็ดันเรือลำน้อยออกไปได้ทันที มันดันเรือยางอยู่ตลอดจนออกมาได้หลายสิบเมตร เด็กๆ ก็พากันพายเรือได้แล้ว จากนั้นมันถึงว่ายน้ำกลับไป
รถบังคับระยะไกลลงไปในน้ำ พวกเด็กๆ กำลังโน้มตัวเข้าไปดูแท็บเล็ตด้วยกัน ฉินสือโอวจึงตะโกนขึ้นมา “ระวังเรื่องความสมดุลด้วย ไม่ต้องโน้มตัวเข้าหากันมาก ทุกๆ คนกระจายตัวออก กระจายตัวกัน! ผลัดกันดูแท็บเล็ต เข้าใจไหม?!”
พาวลิสสั่งให้เด็กๆ กระจายตัวกัน ฉินสือโอวเห็นว่าเรือเล็กพายได้อย่างมั่นคงมากจึงวางใจ จากนั้นเขาก็หยิบกระดานโต้คลื่นไฟฟ้าของตัวเองออกมาแล้ววางลงไปในน้ำเตรียมตัวจะโต้คลื่น
ที่จริงทะเลสาบเฉินเป่าเหมาะกับการใช้งานกระดานโต้คลื่นไฟฟ้ามากๆ เนื่องจากผิวน้ำในทะเลสาบไม่มีคลื่นลูกใหญ่ อีกทั้งกระดานโต้คลื่นยังเคลื่อนที่แบบอัตโนมัติ เหยียบลงไปด้านบนก็สามารถดื่มด่ำกับความสุขจากการเที่ยวเล่นไปในน้ำได้อย่างเต็มที่แล้ว
ฉินสือโอวกำลังจะลงน้ำ แต่เขาก็มองไปเห็นเหมาเหว่ยหลงที่กำลังพิงรถและเอาแต่มองตรงไปข้างหน้าจึงถามขึ้นมา “นี่นายทำอะไรอยู่ตรงนั้น? ไม่ได้พาแกมาเต๊ะท่านะโว้ย เข้ามาเล่นด้วยกันนี่!”
เหมาเหว่ยหลงไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินเพลงนั้นไหม? ให้พวกเราได้พายเรือไปข้างหน้า เรือลำน้อยเคลื่อนคล้อยฝ่าคลื่น”
ฉินสือโอวกล่าว “ต้องได้ยินอยู่แล้ว เพราะมากๆ ฉันก็นึกถึงตอนที่เรียนบทเรียนนี้สมัยประถมเหมือนกัน มันซาบซึ้งมากจริงๆ แต่เวลาก็ผ่านไปแล้ว พวกเราต้องอาศัยอยู่กับปัจจุบันและเห็นค่าของช่วงเวลานี้”
เขาทอดสายตามองออกไปที่ริมทะเลสาบ เหมาเหว่ยหลงถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมา “ความซาบซึ้งของแกไม่เหมือนกับของฉัน ตอนแปดขวบฉันเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่สาม ตอนที่พวกเราเรียนบทเรียนบทนี้ก็คือตอนที่กำลังเรียนเขียนดนตรีของเพลงนี้อยู่ที่ริมทะเลสาบอุทยานเป๋ยไห่”
ฉินสือโอวกอดกระดานโต้คลื่นไฟฟ้ายืนอยู่ข้างๆ เขาพลางนึกย้อนกลับไปพร้อมกับกล่าวออกมา “พวกฉันเรียนอยู่ในห้องเรียน เป็นห้องเรียนธรรมดาทั่วไปแบบโรงเรียนบ้านนอกนั่นแหละ ตอนนั้นฉันกับเพื่อนๆ อยากเป็นเหมือนเด็กในเมืองหลวงแบบพวกนายมากๆ ”
“ตอนนี้ยังอยากเป็นอยู่ไหม?” เหมาเหว่ยหลงถามยิ้มๆ
ฉินสือโอวกางแขนออกด้วยท่าทางทะนงองอาจราวกับเขากำลังกอดทะเลสาบเฉินเป่าเอาไว้ “ตอนนี้ฉันอยากได้ความเป็นอิสระกับความอุดมสมบูรณ์ ฉันไม่ต้องการเมืองไหนๆ ทั้งนั้น เพราะฉันสามารถสร้างสรรค์เมืองเมืองหนึ่งขึ้นมาได้! เพียงแต่ฉันไม่ได้อยากทำอย่างนั้น ที่เกาะแฟร์เวลต้องการก็คือการใช้ชีวิตในชนบทตามวิถีเดิม สิ่งที่ฉันอยากจะรักษา ก็คือพื้นที่ว่างผืนนี้!”
เหมาเหว่ยหลงพยักหน้ารับ เขาพูดด้วยความรู้สึกเสียดาย “ฉันเองก็ไม่ต้องการเมืองนั่นอีกแล้ว สิ่งที่ฉันปรารถนาก็คือชีวิตสมัยเด็กที่ไม่มีทางย้อนกลับคืนมา สภาพแวดล้อมที่มีฟ้าครามคลื่นน้ำสีมรกต ต้นไม้สีเขียวกับกำแพงสีแดงที่ไม่อาจย้อนคืน”
ตอนที่ฉินสือโอวเรียนบทเรียนนี้ก็คือช่วงชั้นประถมปีที่สามเช่นกัน แค่พริบตาเดียวเวลาก็ผ่ามาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว บ้านเกิดของเขาก็เปลี่ยนไปมาก เพื่อนสมัยเรียนในตอนนั้นก็เปลี่ยนไปมากแล้วเช่นกัน คนที่เขายังสามารถเที่ยวเล่นด้วยกันได้ ก็เหลือแค่ฉินเผิงคนเดียวเท่านั้น
พอทอดถอนใจอยู่สักพักฉินสือโอวก็วางกระดานโต้คลื่นลงไปบนทะเลสาบแล้วค่อยๆ ขึ้นไปยืนอย่างช้าๆ ก่อนจะกดปุ่มเพิ่มความเร็ว ส่วนท้ายของกระดานโต้คลื่นพ่นละอองน้ำออกมาแฉลบผ่านคลื่นน้ำแล้วทะยานออกไป
เอาไปเล่นที่ทะเลมาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ฉินสือโอวย่อมต้องเล่นมันอยู่ที่ทะเลสาบเฉินเป่าได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ ดังนั้นเขาจึงทำมันได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้กระดานโต้คลื่นไฟฟ้ายังหาได้ยากมากๆ การที่ฉินสือโอวเหยียบควบมันอยู่บนทะเลสาบจึงดึงดูดสายตาผู้คนเป็นจำนวนมาก
เรือเล็กลำหนึ่งพายเข้ามา คนบนเรือคือชาวเมืองแฟร์เวล คนที่นอนหมอบอยู่บนหัวเรือมองดูฉินสือโอวกำลังเล่นอยู่ตรงนั้นแล้วพูดด้วยความอิจฉา “ฉิน คุณนี่ชอบความสนุกสนานจริงๆ เลยนะ ของชิ้นนี้ได้มาจากไหนเหรอ? ความปลอดภัยของมันเป็นยังไงบ้าง?”
ฉินสือโอวถีบกระดานโต้คลื่นเข้ามาด้านข้างเรือจนคลื่นลูกหนึ่งสาดขึ้นไปบนเรือลำเล็ก เขาลดระดับความเร็วลงและรักษาความสมดุลไว้พร้อมทั้งพูดขึ้นมา “บนอินเทอร์เน็ตก็มีขายแล้วนะ แต่ถ้าคิดอยากจะเอามันมาไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่าก็อย่าเลยดีกว่า มันบังคับยากมาก แถมยังเป็นของที่มีอันตรายด้วย”
พอพูดจบเพียงครู่เดียวเขาที่ไม่ได้ลดความเร็วให้ดีก็ทำให้กระดานโต้คลื่นพลิกไปอีกด้าน ฉินสือโอวจึงตกลงไปในน้ำอย่างยากลำบาก
เขาดำน้ำไปทั่ว เมื่อหาตำแหน่งของกระดานโต้คลื่นเจอก็ว่ายน้ำข้ามไป ขณะที่เขาเพิ่งจะโผล่พ้นผิวน้ำ ทันใดนั้นเสียงร้องตกใจของเด็กๆ ที่อยู่ไกลออกไปก็ดังขึ้นมา
ฉินสือโอวรีบปีนขึ้นไปบนกระดานโต้คลื่นแล้วตะโกนถามเสียงดังด้วยจิตใต้สำนึก “เกิดอะไรขึ้น?”
หลังถามจบเขาก็มองเห็นตำแหน่งของเรือยางซึ่งอยู่บนแอ่งน้ำใต้ทะเลสาบพอดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคงค้นพบภาพความงดงามของฟอสซิลเข้าแล้ว
เจสยื่นคอออกไป เขาตะโกนด้วยใบหน้าแดงๆ อยู่ตรงนั้นว่า ‘ฟัค’ กอร์ดอนกับมิเชลอยากจะแย่งแท็บเล็ต พาวลิสกับเชอร์ลี่ย์จึงแยกกันไปนั่งอยู่ที่หัวเรือกับท้ายเรือเพื่อรักษาความสมดุลให้กับเรือ คราเคนน้อยที่หมอบอยู่ด้านข้างของเรือก็ก้มลงไปมอง ท่าทางเตรียมพร้อมลงมือ
ชาวเมืองคนหนึ่งพายเรือผ่านมาทางด้านข้าง เขาพูดหยอกเจสว่า “เฮ้ ไอ้หนู อย่ามาทำอวดดีแถวนี้นะ กลับไปฉันจะไปบอกพ่อนายว่านายพูดคำหยาบกับนักท่องเที่ยว เขาต้องตีนายจนก้นลายแน่ๆ !”
เจสได้ยินดังนั้นจึงตะโกนใส่เขา “เจ้าโง่! ฟัคๆ ๆ ! พ่อของฉันชมฉันอย่างเดียวเขาไม่ตีฉันหรอก! รู้ไหมว่าพวกเราเจออะไร? ไดโนเสาร์! ใต้เรือของพวกเรามีไดโนเสาร์อยู่!”
ชาวเมืองคนนั้นไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ เขานึกว่าเจสยังพูดจาหยาบคายอยู่จึงพูดขู่เขาไปอีก “ฉันจะฟาดนายให้ดูไอ้หนู ถึงจะมีพ่อนายคอยปกป้อง ฉันก็ฟาดนายได้…”
“จริงๆ นะ ใต้ทะเลสาบตรงที่เรืออยู่มีฟอสซิลไดโนเสาร์! มีฟอสซิลอยู่เยอะมากๆ! กล้องถ่ายรูปใต้น้ำของพวกเราก็ถ่ายรูปเอาไว้ได้แล้ว! ถ้าไม่เชื่อก็มาดูสิ มาดูนี่!” พาวลิสตะโกน
ชาวเมืองคนนั้นถึงกับชะงักงัน พาวลิสเองก็นับว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ตัวน้อยของเมืองนี้แล้ว เรื่องที่เขาพาน้องชายน้องสาวไปขายเกี๊ยวกับเหยื่อตกปลากลายเป็นเรื่องดังของเมือง ชาวเมืองต่างก็รู้ว่าเด็กคนนี้มีนิสัยมั่นคงสุขุมเกินอายุ เขาต้องมีอนาคตที่ดีแน่ๆ
พอได้ยินสิ่งที่พาวลิสพูดก็เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นนึกถึงเรื่องเล่าฟอสซิลใต้ทะเลสาบของเมืองนี้ที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้หลายต่อหลายครั้ง เขาไม่สนใจจะพายเรือต่อแล้วรีบกระโดดลงไปในน้ำด้วยจิตใต้สำนึกก่อนจะว่ายน้ำมาถึงด้านข้างเรือยางด้วยความรวดเร็ว เขาเกาะอยู่ข้างๆ เรือแล้วถามออกมา “มีฟอสซิลอยู่ที่นี่เหรอ? เยอะมากด้วย? เร็วๆ ๆ รีบเอามาให้ฉันดูหน่อย!”
กอร์ดอนที่ถือแท็บเล็ตอยู่ในมือก็ก้มเข้าไปใกล้เขา บนหน้าจอมีหัวปลาขนาดยักษ์หนึ่งอันปรากฏขึ้นมาด้านบน โครงร่างชัดเจน ลักษณะหยาบและขรุขระ
“จริงด้วย ใช่ฟอสซิลจริงๆ ด้วย! พระเจ้า!” คนคนนั้นพูดอย่างอึ้งๆ
ทันใดนั้นข่าวนี้ก็เป็นเหมือนลมพายุคลั่งที่พัดผ่านไปทั่วทุกมุมของทะเลสาบเฉินเป่า บรรดาชาวเมืองในพื้นที่ต่างก็ทิ้งกิจการในมือแล้วทยอยกันพายเรือมาอยู่รอบๆ เรือยาง พวกเขาล้อมรอบเรือยางเอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วส่งเสียงร้องดังเซ็งแซ่ออกมา
“เฮ้ ให้ฉันดูหน่อยสิ! ฟอสซิลอยู่ที่ไหน? เป็นฟอสซิลของอะไร?”
“นายจะไปรู้อะไร ให้ฉันดูสิ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยฉันเคยเรียนประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาของโลกเป็นวิชาเลือกนะ! ฉันรู้จักไดโนเสาร์ทั้งหมดในยุคครีเทเชียสกับยุคจูแรสซิก เอามาให้ฉันดูหน่อย!”
“ฉันบอกแล้วว่าในทะเลสาบมีฟอสซิลอยู่ ตอนนั้นพวกเราควรจะเช่าเรือดำน้ำมาค้นหาให้ดีๆ!”
“มาค้นพบตอนนี้ก็ยังไม่สาย พวกเราสร้างพิพิธภัณฑ์ฟอสซิลขึ้นมาก็ได้ นี่เป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าของเมืองเราจริงๆ!”
ข่าวคราวยังแพร่กระจายต่อไป ในที่สุดแฮมเล็ตที่โอ้เอ้จนมาสายก็มาถึงแล้ว
รถคัมรี่ที่ส่งเสียงคำรามหยุดจอดที่ริมทะเลสาบ แฮมเล็ตไม่สงวนท่าทางแบบสุภาพบุรุษชาวอังกฤษของเขาไว้อีกต่อไป เขากระโดดออกมาก่อนจะตะโกนขึ้น “กล้องถ่ายรูปใต้น้ำอยู่ไหน? รีบเอามาให้ฉันดูเร็ว! พระเจ้า ฤดูใบไม้ผลิของฉันมาถึงแล้ว ไม่สิ ฤดูใบไม้ผลิของเมืองนี้มาถึงแล้ว! ฉันจะดังแล้ว! พระเจ้า ในที่สุดท่านก็ประทานความรักให้กับเมืองแฟร์เวลที่น่ารักแล้ว!”
……………………………………..