ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 638 ธุรกิจก็คือธุรกิจ
“เป็นอะไรเหรอ?” ฉินสือโอวถาม
โอวหยางไห่เลียริมฝีปาก เขาลองชิมรสชาติสาหร่ายโนริย่างอีกครั้งหลังจากนั้นก็พูดขึ้นมา “ใครเป็นคนย่างสาหร่ายโนริเหรอ? มีสูตรลับอะไรหรือเปล่า? รสชาติดีจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงรสชาติสดใหม่ที่โดดเด่นเป็นพิเศษนะ แค่พอสาหร่ายย่างเข้าไปในปากมันก็ละลายไปทันทีเลย ฉันเคยกินสาหร่ายโนริมาไม่น้อย แต่ไม่มีครั้งไหนที่อร่อยสู้ของนายได้เลย”
ฉินสือโอวนึกว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก นี่ยังไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกเหรอ? ผลิตผลจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ต้องเป็นของคุณภาพดีอยู่แล้ว
เหมาเหว่ยหลงคุ้นชินกับรสชาติอาหารทะเลของฟาร์มปลาต้าฉินแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมาอย่างเอาใจใส่โอวหยางไห่ “พี่ไห่ พี่ลองชิมอย่างอื่นดูก่อน อาหารทะเลของฉินโซ่วที่นี่ดีกว่าของข้างนอกมาก ไม่ได้เป็นเพราะฝีมือการทำอาหารหรอก เป็นเพราะวัตถุดิบมีคุณภาพดีต่างหาก”
โอวหยางไห่กินสาหร่ายผักกาดทะเลหมักพริกเข้าไปหนึ่งชิ้นอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นบนใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที เขามองไปที่ฉินสือโอวแล้วพูดออกมา “ฉันขอลองชิมอาหารทะเลพวกนี้ทีละอย่างได้ไหม? อาจจะไม่ค่อยสุภาพเท่าไร แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อจริงๆ”
ฉินสือโอวจึงบอกเป็นนัยว่าให้เขาทำตามสบาย “พี่น้องคนกันเองทั้งนั้น พี่ไห่วางใจเถอะ กินได้ตามสบายเลย!”
แท้จริงแล้วในความคิดของฉินสือโอวนั้น รสชาติอาหารทะเลของฟาร์มปลาต้าฉินก็ดีจริงๆ นั่นล่ะ แต่เมื่อเทียบกับอาหารทะเลอื่นๆ ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่ามีรสชาติต่างกันราวฟ้ากับเหว อย่างน้อยตอนที่เขากำลังทานเข้าไปก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แตกต่างกันมาก
แต่ที่ว่าแตกต่างกันไม่มากก็เป็นเพราะเขาไม่ได้ถนัดทำอาหารทะเลรวมกับที่เขากินมันบ่อยแล้ว แต่เมื่ออยู่ในปากของนักชิมอาหารระดับสูงอย่างโอวหยางไห่แล้ว รสชาติอาหารทะเลของฟาร์มปลาต้าฉินก็แตกต่างกันกับอาหารทะเลข้างนอกราวฟ้ากับเหวจริงๆ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโอวหยางไห่ได้ชิมอาหารทะเลพวกนี้เป็นครั้งแรก
ปลาค็อดหั่น ปลาลิ้นหมา ปลาแซลมอนแปซิฟิกแล่บาง ปลานโปเลียน ปลายอดม่วง ปลาลายญี่ปุ่น รวมกับหอยงวงช้างและปูราชินี โอวหยางไห่ค่อยๆ ชิมอาหารทะเลทั้งโต๊ะเสร็จไปหนึ่งรอบ ต่อจากนั้นก็วางตะเกียบลง เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ริมฝีปากของเขาขยับไปมาแล้วเปลี่ยนเป็นพูดประโยคง่ายๆ ออกมาหนึ่งประโยค “อร่อย! นี่เป็นอาหารทะเลที่เยี่ยมยอดที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมาเลย! สงสัยคงต้องถูกทุกคนหัวเราะเยาะแล้ว!”
ฉินสือโอวดื่มเบียร์พร้อมพูดยิ้มๆ “ถ้าพี่ชอบ ตอนพี่กลับผมจะห่อให้พี่เอากลับไปด้วย พี่อยากได้เท่าไรผมก็จะให้พี่หมดเลย ไม่กลับคำด้วย!”
อาหารทะเลเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนเป็นสินน้ำใจให้ลูกคนรวยได้แล้ว ธุรกิจครั้งนี้คุ้มค่ามากจริงๆ
โอวหยางไห่ยิ้มแล้วบอกว่าเขากล่าวหนักไป ทุกคนหัวเราะพลางพูดคุยกันแล้วพากันเริ่มทานอาหาร
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความปรองดอง มีหัวข้อเรื่องการท่องเที่ยวรอบโลกของโอวหยางไห่อยู่นับไม่ถ้วน เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความสนิทสนมของฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลง หรือจะเป็นเรื่องวินนี่กับหลิวซูเหยียนได้รับการศึกษามาสูงหรือได้พบเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมมามากแค่ไหน รวมถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของตั๋วตั่ว เชอร์ลี่ย์กับเด็กๆ คนอื่นๆ ด้วย หัวข้อสนทนาต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย ตลอดการสนทนาไม่มีเดดแอร์เลยสักครั้ง
หลังจากทานเสร็จแล้ว ฉินสือโอวกับวินนี่ก็จัดการเก็บโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นพอชงชาเขียว คั้นน้ำผลไม้เรียบร้อย พวกเขาก็มานั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
หลังจากโอวหยางไห่ถามเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับการเปิดฟาร์มปลาไปหลายอย่างแล้ว หัวข้อการสนทนาก็วนมาถึง “เสี่ยวโอว นายน่าจะรู้ใช่ไหมว่าฉันมีร้านอาหารระดับมิชลินสามดาวอยู่ที่แวนคูเวอร์ร้านหนึ่ง?”
ฉินสือโอวพยักหน้า โอวหยางไห่จึงพูดต่อ “คืออย่างนี้นะ เชฟใหญ่ของร้านเราทั้งสองคนน่ะเก่งมากๆ แต่กลับไม่มีแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีเป็นพิเศษเลย ดังนั้นถึงแม้พวกเราจะทำอาหารได้ดีพอแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เลยไม่มีทางเป็นร้านอาหารระดับท็อปได้”
พวกเขาต่างก็เป็นจิ้งจอกพันปีกันทั้งนั้น แค่เกริ่นมาก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของโอวหยางไห่แล้ว เขาอยากจะให้ฟาร์มปลาต้าฉินจัดส่งวัตถุดิบให้เขา
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ฉินสือโอวคงไม่คิดอะไรมาก ฟาร์มปลาใหญ่ขนาดนี้ จับปลาจับกุ้งบางส่วนส่งไปให้เขาผ่านการขนส่งทางอากาศก็ได้แล้ว
แต่ตอนนี้ฟาร์มปลาของเขากำลังสร้างแบรนด์ขึ้นมา เขากับบัตเลอร์เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าผลการเก็บเกี่ยวของฟาร์มปลาจะส่งออกผ่านช่องทางของพวกเขาเท่านั้น อยากซื้ออาหารทะเลของฟาร์มปลาต้าฉินน่ะเหรอ? ได้ ไปสั่งซื้อสินค้าที่ไมอามีสิ ฟาร์มปลาจะไม่จำหน่ายสินค้าโดยตรงเด็ดขาด
เมื่อคิดพิจารณาถึงข้อนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงอธิบายเรื่องนี้ให้ฟัง ในตอนท้ายเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ถึงแบบนี้จะค่อนข้างยุ่งยาก แต่ถ้าร้านอาหารของพี่ไห่อยากได้สินค้าของผม พี่ก็ต้องไปสั่งสินค้าจากฝั่งไมอามีเอานะ”
ธุรกิจก็คือธุรกิจ หลังจากมาถึงแคนาดาฉินสือโอวก็เข้าใจประโยคนี้อย่างลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ก็ใช่ ตอนนี้เขากับโอวหยางไห่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระดับหนึ่ง แต่ความสัมพันธ์อันดีแบบนี้ก็แค่ดีระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่มีเหมาเหว่ยหลงเป็นตัวกลาง เขากับโอวหยางไห่ก็คงไม่รู้จะคุยอะไรกัน
ถ้าเป็นเหมาเหว่ยหลงที่อยากเปิดร้านอาหาร ฉินสือโอวคงไม่รีรอที่จะจัดส่งอาหารทะเลจากฟาร์มปลาให้เขา ทว่าโอวหยางไห่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ถึงขั้นนั้น
โอวหยางไห่เองก็เข้าใจเรื่องนี้ เขาพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “สั่งของจากไมอามีใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่พอจะจัดหาช่องทางการจัดส่งสินค้าของรัฐบริติชโคลัมเบียให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
ของหายากจึงจะเป็นของมีค่า ฉินสือโอวเข้าใจ โอวหยางไห่ให้ความสำคัญกับร้านอาหารมิชลินสามดาวของเขาที่สุด ถ้าหากว่าเขาได้ช่องทางการจัดส่งวัตถุดิบของรัฐบริติชโคลัมเบีย ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยๆ ร้านอาหารแห่งอื่นในเมืองแวนคูเวอร์ก็อย่าได้หวังว่าจะได้อาหารทะเลของเขาไป
นี่ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์การพัฒนาของเขาเท่าไรนัก ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธไป “ขอโทษครับพี่ไห่ การบริการด้านนี้เป็นความรับผิดชอบของบัตเลอร์ ผมจะให้ช่องทางการติดต่อของเขา พี่ลองติดต่อเขาดูนะครับ ตอนนี้รูปแบบการร่วมมือของพวกเราสองคนคือผมจัดการเรื่องภายใน เขาจัดการเรื่องภายนอก ผมหวังว่าพี่จะเข้าใจเรื่องนี้นะครับ”
ก็ยังคงเป็นคำพูดนั้น ธุรกิจก็คือธุรกิจ มิตรภาพก็คือมิตรภาพ ถ้าโอวหยางไห่อยากมาทานอาหารทะเล ฉินสือโอวก็ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ แต่เรื่องธุรกิจถ้าจะให้เห็นแก่ส่วนได้ส่วนเสียเล็กๆ น้อยๆ ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงไม่เอาด้วยแน่ๆ
โอวหยางไห่เข้าใจเรื่องนี้ หลังจากถูกฉินสือโอวปฏิเสธเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก พอขอช่องทางการติดต่อของบัตเลอร์ได้แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป
คราวนี้ประเด็นที่พวกเขาพูดคุยกันก็วนมาถึงเรื่องฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงกับฟาร์มปลาที่โอวหยางไห่กำลังวางแผนเหมาเหว่ยหลงวางแผนการเกี่ยวกับฟาร์มตัวเองไว้แล้ว เขากล่าวว่า “ฉันน่ะไม่เหมือนกับพวกนายทั้งคู่หรอก ฟาร์มของพี่ไห่มีอยู่หลายสิบหมู่ ฟาร์มปลาของฉินโซ่วก็ถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งในฝั่งตะวันออกของแคนาดา ผมไม่ได้อยากร่ำอยากรวยอะไร แค่อยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีที่ดินสักพันกว่าหมู่ ปลูกธัญพืชครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็ปลูกหญ้าเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะ ถึงตอนนั้นก็ขุดทะเลสาบเอาไว้เลี้ยงปลากับกุ้งน้ำจืดบางส่วน แค่นั้นก็พอแล้ว!”
ฉินสือโอวคิดว่าแบบนี้ก็ดีมากๆ ถึงยังไงจากฐานะของครอบครัวเหมาเหว่ยหลงก็คิดว่าชีวิตนี้เขาคงไม่ขาดเงินขาดอำนาจ ถ้าอย่างนั้นทำฟาร์มเล็กๆ อยู่ที่แฮมิลตันก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ถึงยังไงก็ดีกว่าลูกคนรวยเพื่อนร่วมชาติคนอื่นๆ ที่ยังอยู่สร้างความล้างผลาญในประเทศหรือเปล่า?
หลังจากนั้นวินนี่กับหลิวซูเหยียนก็พาตั๋วตั่วกับเด็กๆ ที่เหลือออกไปวิ่งเล่นบนชายหาด โอวหยางไห่จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ต้าเหมา เรื่องของนายอาผู้ชายเล่าให้ฉันฟังหลายรอบแล้ว นายคิดยังไงกันแน่?”
เหมาเหว่ยหลงพูดด้วยความเด็ดขาด “ผมจะแต่งกับเสี่ยวซูแน่ๆ ถ้าพ่อผมเห็นด้วยตอนไหน ผมก็จะกลับบ้านตอนนั้น!”
ฉินสือโอวเกลี้ยกล่อมเขา “แกอย่าเพิ่งใจร้อนไป เรื่องนี้ต้องคุยกันดีๆ ถึงยังไงแกก็เป็นลูกของพ่อแกนะ”
โอวหยางไห่ไตร่ตรองดูสักครู่ หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ฉินสือโอวแล้วถามออกมา “เสี่ยวโอว นายคิดว่าหลิวซูเหยียนเป็นคนยังไง?”
ฉินสือโอวมองดูเหมาเหว่ยหลง เหมาเหว่ยหลงก็มองมาที่เขาด้วยความคาดหวัง เขาจึงไม่ลังเลที่จะพูดออกไป “ผมยังไม่ค่อยรู้จักหลิวซูเหยียนมากเท่าไร แต่วินนี่กับเธอกลายเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว ผมคิดว่าสายตาของเหมาเหว่ยหลงกับวินนี่คงไม่พากันย่ำแย่ถึงขนาดนั้น ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ใช้ได้เลย!”
เขาต้องช่วยเพื่อนของตัวเองอยู่แล้ว เพื่อหลิวซูเหยียน เหมาเหว่ยหลงถึงกับยอมทะเลาะกับที่บ้าน เขาจึงไม่อยากจะแตกหักกับเหมาเหว่ยหลงเพราะเรื่องนี้ อีกอย่างต่อให้หลิวซูเหยียนเป็นผู้หญิงไม่ดีแล้วยังไง? ก็เหมือนกับให้บทเรียนเรื่องความรักกับเหมาเหว่ยหลงเท่านั้นแหละ มันไม่ได้ทำให้ใครตาย ไม่ได้เสียเงินไปสักเท่าไรหรอก
ได้ยินฉินสือโอวพูดแบบนี้ เหมาเหว่ยหลงก็ตบไหล่ของเขาแรงๆ เขาพูดกับฉินสือโอวด้วยดวงตาแดงก่ำ “เพื่อนที่ดี!”
โอวหยางไห่ถอนหายใจออกมา เขาพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นนายก็จัดการเรื่องของนายเถอะ ครอบครัวของนายฉันจะเป็นคนคุยให้เอง!”
เหมาเหว่ยหลงยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับลงไปดัง ‘ฟึบ’ “พี่ไห่ ขอบคุณครับพี่!”
……………………………………….