ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 645 วันครอบครัว
เมื่อมีช่องทีวีภาษาจีนมาเติมเต็มชีวิต ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าชีวิตครอบครัวเล็กๆ ของเขาราบรื่นยิ่งกว่าเดิม บัตเลอร์ขนอาหารทะเลอีกล็อตไปแล้ว บัตเลอร์บอกว่าเลือกห้องแช่เย็นในไมอามีไว้บ้างแล้ว ถ้ามีเวลาก็ให้ลองไปดู แล้วพิจารณาว่าจะซื้ออันไหน
ฉินสือโอวยังไม่ได้ไปดู เสาร์อาทิตย์ของสัปดาห์แรกในเดือนมิถุนายนเป็นวันครอบครัวของนิวฟันด์แลนด์ ปีที่แล้วเขาอยู่ตัวคนเดียวเลยฉลองไม่ได้ ปีนี้เขาจึงพาวินนี่ไปที่โบสถ์เพื่อรับพร
ถึงแม้ว่าจะมีผู้อพยพเยอะขนาดนี้ ทว่าวัฒนธรรมของศาสนาคริสต์ในประเทศแคนาดาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่กลับมีเสถียรภาพมาก และไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบเลยแม้แต่นิดเดียว ต้องมาที่อเมริกาเหนือถึงจะสามารถสัมผัสได้ว่าประเทศนี้มีความผูกพันกับวัฒนธรรมศาสนาคริสต์ที่สมบูรณ์แบบขนาดไหน วัฒนธรรมแบบนี้ได้แทรกซึมเข้าสู่ทุกแง่มุมในชีวิตของพวกเขาไปแล้ว
ศาสนามีพละกำลังที่เข้มแข็งมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวอินเดียหรือชาวจีนหรือชาวแอฟริกา หลังจากมาถึงแคนาดาก็ใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่จะติดตามเหล่าทูตของพระยโฮวาห์มานับถือพระเจ้า ชาวตะวันออกกลางเป็นข้อยกเว้น ความบ้าคลั่งของอิสลามทำให้ชาวคริสต์ต้องทำตัวดีๆ พวกเขาจะไม่ไปเผยแพร่คำสอนให้พวกอาบังไว้หนวด ถ้าทำคงเอาชีวิตไม่รอด!
วันครอบครัวมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ ดังนั้นจึงต้องจัดในโบสถ์ ส่วนใหญ่จะมาเข้าร่วมกันทุกครอบครัว แต่จะไม่ได้มาพร้อมกันทั้งหมดและทยอยมากันเป็นกลุ่มๆ
เมื่อฉินสือโอวกับวินนี่มาถึงโบสถ์แล้วนั่งลงไป สองสามีภรรยาฮิวจ์ก็ยกขนมหวานกับเครื่องดื่มมานั่งข้างๆ พวกเขา ฮิวจ์วางพระคัมภีร์ลงหนึ่งเล่มเพื่อให้ฉินสือโอวลองอ่านดู
ฉินสือโอวเป็นคนนอกศาสนาในเมืองนี้ เขาไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนให้ทุนซ่อมโบสถ์ก็ตามที
นี่ไม่ได้หมายความว่าฉินสือโอวไม่มีความเชื่อ ความเชื่อของเขามีความเป็นจริงมากกว่า นั่นคือเทพโพไซดอน เพราะเขามีหัวใจโพไซดอน…
ฮิวจ์ดื่มกาแฟพร้อมกับพูดขึ้นมา “พระยโฮวาห์กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีความชอบธรรมจะดำเนินในความซื่อสัตย์ บุตรของท่านจะได้รับการอวยพร ลูกชายที่โง่เขลา คือความหายนะของบิดา การโต้เถียงของภรรยา เป็นดั่งฝนที่ไหลลงอย่างต่อเนื่อง”
ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างตั้งใจรับฟัง เขาไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาเคารพความเชื่อของฮิวจ์ ดังนั้นทุกครั้งที่มีคนเอ่ยถึงพระคัมภีร์ให้เขาฟัง เขาก็จะรับฟังอย่างตั้งใจ
วินนี่เป็นจุดรวมสายตาของผู้หญิงในเมืองนี้ หลังจากที่เธอมาถึงแล้วก็มีผู้หญิงบางส่วนที่เข้ามาหาเธอดื่มชาไปพร้อมๆ กับพูดคุยสอบถามกันเรื่องช่วยเหลือสามีและดูแลลูก กับรักษาความกลมเกลียวกันของครอบครัวอย่างไร
เวลาต่อมาบาทหลวงทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินพิธี นำทุกคนพูดคุยสนทนาหลากหลายหัวข้อ อย่างเช่นว่าจะปกป้องคุ้มครองครอบครัวและคู่ชีวิตอย่างไร จะรักคนในครอบครัวอย่างไร จะจัดการความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอย่างไร เป็นต้น
การรวมตัวกันของแต่ละครอบครัวแบบนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ทุกๆ คนจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ที่จริงแล้วเวลาผู้หญิงอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้พูดคุยกันแค่ว่าจะรักสามี อบรมสั่งสอนลูกชายลูกสาวหรือเคารพผู้อาวุโสยังไง แต่ยังพูดคุยกันถึงเคล็ดลับการทำงานบ้านและสอบถามทักษะการทำอาหารจากกันและกันด้วย
วินนี่ทานขนมไปพร้อมๆ กับแนะนำเคล็ดลับการจัดการห้องครัวของเธอ “ปกติแล้วฉันจะเริ่มทำจากรายละเอียดเล็กๆ อย่างเช่นฉินสือโอวชอบทานอาหารจำพวกของทอด ดังนั้นปกติแล้วก่อนทำอาหารฉันจะติดฟิล์มถนอมอาหารไว้บนผนังข้างกระทะทอดก่อนหนึ่งชั้น พอทำอาหารเสร็จแล้วถึงแกะมันออก แบบนี้จะทำให้จัดการกับคราบน้ำมันที่กระเด็นไปรอบๆ ได้อย่างง่ายๆ แล้วล่ะค่ะ”
“นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “ฉันก็มีเคล็ดลับการทำความสะอาดห้องครัวมาแบ่งปันเหมือนกัน เป็นเรื่องที่ง่ายมาก…”
ผู้ชายมารวมตัวกัน ในสถานการณ์อย่างนี้คงไม่พูดคุยเรื่องสาวสวย รถรุ่นดัง หรือเรือยอชต์อะไรพวกนั้น เรื่องที่คุยกันคือการตกปลาและปัญหาของฟาร์มปลา ปีนี้มีเรื่องการท่องเที่ยวที่เพิ่มเข้ามาเป็นพิเศษ ทุกคนกำลังปรึกษาหารือกันว่าอยากจะพัฒนารายการท่องเที่ยวสักรายการ
ท้ายที่สุด บาทหลวงได้บรรยายปัญหาบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวที่อยู่ในพระคัมภีร์ “การสร้างครอบครัวหนึ่งขึ้นมา เริ่มต้นจากการแต่งงาน ช่วงเวลาของคนสองคนที่มีความรักต่อกัน จับมือกันเข้าไปในพิธีแต่งงานราวกับว่ามีปุ่มที่ปรากฏขึ้นในวงจรของชีวิตแล้ว…”
สำหรับปัญหาเรื่องครอบครัว ฉินสือโอวฟังจนจำขึ้นใจ ชาวแคนาดาให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ เนื่องจากสาเหตุเรื่องผู้อพยพ เกือบทุกครอบครัวคือประเทศเล็กๆ หนึ่งประเทศ ดังนั้นชาวแคนาดาจึงทำทุกวิถีทางที่จะทะนุถนอมและปกป้องครอบครัวของตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นหากไม่มีครอบครัวแล้ว การอยู่อาศัยในประเทศที่ไม่คุ้นเคยอย่างนี้ก็นับว่าเป็นการอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังในต่างแดนอย่างแท้จริง
ข้อนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดในการใช้ชีวิตช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ทุกครั้งที่ฉินสือโอวเข้าไปในเมือง ล้วนมีภาพเหตุการณ์พ่อพาลูกซ่อมบ้านหรือไม่ก็พาลูกดูแลสวน ส่วนแม่กำลังทำอาหารว่าง คั้นพวกน้ำผลไม้เพื่อเป็นเครื่องดื่มอยู่ในห้องครัว รอสามีกับลูกทำงานเสร็จ จากนั้นพวกเขาก็จะมาทานอาหารมื้อเล็กๆ ด้วยกัน
ฉินสือโอวคิดว่าชีวิตแบบนี้ไม่เลวเลยจริงๆ เรียบๆ ง่ายๆ เต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ฉินสือโอวก็ไปตัดแต่งสนามหญ้าเช่นกัน พอดีกับที่เขาต้องพาหวังเหล่ยใช้เครื่องตัดหญ้าให้เกิดความคุ้นเคยด้วย
การขับเครื่องตัดหญ้าก็เหมือนกับรถคันเล็กๆ ฉินสือโอวแนะนำเขา “หน้าที่หลักของนายคือการสร้างสนามหญ้า ถ้าเห็นหญ้ารกๆ พงใหญ่ตรงไหน ตรงนั้นต้องใช้พลั่วเหล็กขุดมันทิ้ง ความรับผิดชอบหนักใช้ได้เลยเพราะพื้นที่ในฟาร์มปลาของฉันค่อนข้างเยอะ”
หวังเหล่ยพูดกับเขาด้วยความฮึกเหิมในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม “วางใจเถอะครับ พี่ฉิน เรื่องนี้ผมรู้ดี แต่ฟาร์มปลาของพี่ใหญ่มากจริงๆ ถ้าเป็นที่ประเทศจีนของเรา พี่เป็นมหาเศรษฐีที่ดินไปแล้ว”
ฉินสือโอวยิ้ม เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่าเขามีพื้นที่ในทะเลของฟาร์มปลาอยู่เยอะแค่ไหน แบบนั้นคงไม่ใช่แค่เศรษฐีที่ดินแล้วล่ะนะ
ช่วงนี้พวกห่านขาวพากันฟักไข่อยู่ในอาณาเขตของตัวเองอย่างสบายใจ ฉินสือโอวเผลอมองข้ามพวกมันไป เขาลืมเตือนหวังเหล่ยไม่ให้ไปยุแหย่ฝูงห่าน ปรากฏว่าตอนที่หวังเหล่ยกำลังทำงานอยู่ไม่ทันได้ระวังจึงรุกเข้าไปในทุ่งหญ้าแห่งใหม่ของพวกห่านไท่หู
ทุ่งหญ้าผืนนั้นปลูกหญ้าชั้นดีเอาไว้ พวกมันเติบโตได้รวดเร็วมาก เวลาในการเพาะปลูกยังไม่นาน ทว่าใบหญ้าก็พากันโตขึ้นจนหมดแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้ตัดแต่งมาก่อน หวังเหล่ยจึงคิดจะเล็มพวกมันให้ได้ระดับ
แต่นี่ทำให้ห่านไท่หูตกใจกลัวมาก พวกมันนึกว่าจะมีหัวขโมยมาขโมยไข่ห่านอีกแล้ว พอเริ่มมองเห็นเครื่องตัดหญ้าที่กำลังส่งเสียงดังขับผ่านเข้ามา พวกมันก็ตกใจจนกระพือปีกวิ่งหนีอุตลุดไปหมด หลังจากนั้นพอเริ่มชินกับเสียงดังครืนๆ ของเครื่องตัดหญ้าแล้ว พวกมันก็เริ่มแสดงอำนาจของพวกมันออกมา
หลังจากเครื่องตัดหญ้าทำงานไปได้สักพักก็เกิดปัญหาเรื่องใบหญ้ากองสุมกันขึ้นมา หวังเหล่ยหยุดรถ เขาอยากจะลงไปปัดกวาดสักหน่อย แต่ปรากฏว่าพอเขาลงรถไป ห่านขาวสองตัวที่กำลังจ้องเขาตาเป็นมันอยู่ด้านข้างดันยื่นหัวออกมาแล้วกัดเขาเข้าไปเต็มแรง
หวังเหล่ยเจ็บจนร้องครวญครางออกมา เขากระโดดขึ้นมาเหมือนโดนไฟจี้ ห่านไท่หูตัวอื่นเห็นว่าเขารังแกได้ง่ายต่างพากันร้องแควกๆ ล้อมกันเข้ามา
โชคดีที่หวังเหล่ยมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว พอเห็นท่าทางที่ดูรุนแรงของห่านพวกนี้เขาก็รู้แล้วว่าคงรับมือได้ไม่ง่ายๆ เขาจึงหมุนตัวแล้วรีบวิ่งหนีไป
ฉินสือโอวที่อยู่ตรงประตูวิลล่าเห็นฝูงห่านพากันทำตัวกำแหง พอดีกับที่วันนี้นิมิตส์กับบุชกลับมาเร็ว เขาจึงผิวปากออกมาด้วยเสียงดังกังวานพร้อมกับชี้ไปที่ฝูงห่าน
นิมิตส์ไม่มีความสนใจที่จะกำราบฝูงห่าน มีเพียงบุชที่กำลังอยู่ในช่วงกระหายการต่อสู้ มันจึงกางปีกทั้งสองข้างออกแล้วบินขึ้นไปในอากาศ หลังจากส่งเสียงร้องดังกังวานของอินทรีออกมา มันก็บินดิ่งบุกเข้าไปเหมือนเครื่องบินเล็กหนึ่งลำ
ฝูงห่านแค่มองเห็นบุชก็เกิดความกลัว ความเผด็จการของอินทรีหัวขาวไม่ได้มาเพราะขี้โม้ แต่มาจากการฝึกฝนสู้รบจริงๆ ในหลายๆ ครั้ง
บุชเริ่มเรียนรู้การต่อสู้จากการลงมือกับฝูงห่าน ก่อนหน้านี้สักระยะหนึ่งมันจัดการกำราบจนฝูงห่านดูน่าเวทนานัก จนทิ้งเงามืดในจิตใจที่ไม่อาจลบเลือนได้ให้แก่พวกมัน
เมื่อรอดพ้นจากการไล่โจมตีของฝูงห่าน หวังเหล่ยก็ดึงเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งขึ้นและเผยให้เห็นรอยสีเขียวช้ำหลายรอยที่อยู่บนเอวด้านหลังของเขา เหยาลี่ลี่จึงรีบนวดให้เขาด้วยความเป็นห่วง
พอเริ่มนวดหวังเหล่ยก็แทบจะน้ำตาตก “อย่าลงแรงสิที่รัก เธอช่วยเป่าให้ฉันดีกว่านะ”
ฉินสือโอวหยิบสเปรย์มาให้เขาใช้ พร้อมทั้งพูดกับเขาด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม “ลืมบอกนายไปเลย ว่าอย่าไปใกล้ฝูงห่าน ไม่ต้องไปดูแลสนามหญ้าของพวกมันที่อยู่ตรงนั้น เอาอย่างนี้เย็นวันนี้พวกเรากินห่านขาวตุ๋นกัน พวกนายก็มากินด้วยกันเถอะนะ ถือซะว่าเป็นการขอโทษ”
…………………………………………….