ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 648 ทำความรู้จักนักศึกษาต่างชาติ
หลังจากฉินสือโอวยืนยันเรื่องงานแล้ว หวังเหล่ยก็รับปากทำงานนี้ จากนั้นเขาก็พาเหยาลี่ลี่ไปเด็ดหน่ออ่อนของตาไม้องุ่น ฉินสือโอวจะปล่อยให้พวกเขาแค่สองคนจัดการกับสวนองุ่นผืนใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะ? ตั้งหนึ่งร้อยหมู่เลยนะ ทั้งสองคนต้องทำจนเปิดเทอมเลยนู่นล่ะ ดังนั้นเขาจึงเรียกพวกชาวประมงเข้ามาช่วยกันทำ
ในฐานะที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลา ไม่ว่าจะทำอะไรฉินสือโอวก็ชอบที่จะเป็นคนนำ นี่เป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง
มีความสุขกับชีวิตก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำงาน แต่เป็นการพยายามหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในชีวิตที่ไม่มีความจำเป็นต่างหาก ที่จริงแล้วฉินสือโอวเป็นคนที่รักการทำงานมาก
นอกจากชาร์คกับเบิร์ดที่ต้องออกทะเลไปลาดตระเวน คนอื่นๆ ที่เหลือก็ถูกฉินสือโอวพามาที่สวนองุ่นทั้งหมดเพื่อให้พวกเขาพากันเด็ดหน่ออ่อนทิ้ง
เนื่องจากฉินสือโอวถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในตอนแรกที่เริ่มรดน้ำ ดังนั้นอัตราการรอดตายของต้นกล้าองุ่นที่ถูกปลูกถ่ายจึงสูงมาก สภาพการเจริญเติบโตก็ดีมาก ต้นกล้าองุ่นสีเขียวสดต่างก็โตจนมีความสูงถึงสามสิบเซนติเมตรกว่าๆ แล้ว
มองดูใบสีเขียวของต้นกล้าองุ่นหนึ่งร้อยหมู่ที่ปลิวสะบัดไปพร้อมสายลม เออร์บักก็พูดขึ้นมาอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “เป็นภาพที่มีชีวิตชีวามาก ฟาร์มปลายิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่น่ามีความสุขจริงๆ ”
ซีมอนสเตอร์ก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าต้นกล้าองุ่นของพวกเราจะคุณภาพดีขนาดนี้ อัตราการรอดตายก็สูงมาก พวกเราไม่ใช่แค่ต้องดึงหน่อทิ้ง แต่ยังต้องยึดกิ่งตามความหนาแน่นในการเพาะปลูกด้วย”
ก่อนหน้านี้บิลหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกองุ่นหนึ่งท่านให้ฉินสือโอว อีกฝ่ายให้การอบรมด้านการเพราะปลูกองุ่นแบบทั่วไปโดยไม่คิดค่าตอบแทน ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นเคยบอกกับเขาว่าระยะห่างของต้นกล้าองุ่นตามปฏิกิริยาเคมีของเขา หนึ่งหลุมจะสามารถปลูกได้แค่หนึ่งต้นเท่านั้น มากที่สุดคือสองต้น จะมากกว่านั้นไม่ได้แล้ว เพราะสภาพการเติบโตขององุ่นในช่วงต่อมาจะไม่ดีแน่ๆ
ฉินสือโอวเรียกชาวประมงให้มารวมตัวกันเพื่อหารือกันว่าจะทำงานยังไง หลักการง่ายๆ กำจัดกิ่งที่เป็นส่วนเกินออก เหลือกิ่งที่แข็งแรงเอาไว้ไม่เก็บกิ่งอ่อน กำจัดหน่ออ่อนส่วนเกินออก เก็บหน่อส่วนยอดไม่เหลือหน่อด้านข้างไว้ สารอาหารที่กิ่งก้านและหน่อดีเก็บสะสมเอาไว้จะเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของเครือองุ่น
ถึงแม้ว่าพวกชาวประมงจะเคยทานองุ่นและเคยดื่มไวน์ แต่พวกเขาไม่เคยดูแลสวนองุ่นมาก่อน การจัดการเครือองุ่นเหล่านี้ทำให้ตาของพวกเขาถึงกับมืดสนิทไปทั้งสองข้าง แต่กลับเป็นเหยาลี่ลี่ที่พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง
โชคดีที่บิลเป็นคนรับผิดชอบ ก่อนหน้านี้พอเขารู้ว่าฉินสือโอวจะกำจัดหน่ออ่อนให้ต้นกล้าองุ่น เขาก็รีบพาผู้เชี่ยวชาญที่มีความเกี่ยวข้องกับด้านนี้มาที่นี่ทันที
บริษัททางการเกษตรของแคนาดาไม่เหมือนกับที่จีน พวกเขาต่างก็มีศักยภาพอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งพวกเขาสามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญในด้านที่มีความเกี่ยวข้องกันไว้ได้อย่างดี ถึงขั้นที่ว่าบริษัทจะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรบางส่วนมาคอยทำหน้าที่ประจำตำแหน่งเลยทีเดียว
หลังจากผู้เชี่ยวชาญที่มีเชื้อสายบราซิลมาถึงสวนองุ่น เขาก็ลองตรวจสอบดูอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็ลงมือสาธิตให้ทุกๆ คนดู รอจนบรรดาชาวประมงทำเป็นแล้ว เขาก็บอกให้ทุกคนเริ่มทำงานได้
แสงแดดช่วงต้นฤดูร้อนค่อนข้างร้อนระอุ ฉินสือโอวนำหน้าคนอื่นๆ กลับไปขนลังพลาสติกมาที่นี่ ข้างในบรรจุเครื่องดื่มที่ถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งจำพวกเบียร์กับน้ำผลไม้เอาไว้เพื่อให้ทุกคนแก้กระหายคลายร้อน
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มนำหน้าคนอื่นๆ ต่อ เขาร่วมพูดคุยกับเหล่าชาวประมงและหวังเหล่ยกับคนอื่นๆ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพหลักเขาก็ต้องเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับกองกำลัง…
เขามีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ กับบรรดาชาวประมง จึงเข้าไปหาหวังเหล่ยเพื่อทำความเข้าใจสภาพการณ์ของเขา
หวังเหล่ยเกิดหลังปีเก้าห้า สิ่งที่ฉินสือโอวเข้าใจเกี่ยวกับเด็กช่วงอายุเท่านี้ก็คือความเป็นปฏิปักษ์กับความไม่นิยมตามกระแสของพวกเขา
แต่อย่ามองแค่ว่าหวังเหล่ยดูเหมือนจะเรียนไม่ค่อยเก่ง ถึงจะเรียนที่มหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์ต่อไปไม่ไหวจนต้องมาเรียนที่สถาบันไก่กาอย่างวิทยาลัยเพลสตัน แต่เขาก็มีทัศนคติต่อการใช้ชีวิตที่ดี การทำงานก็สม่ำเสมอมาก การพูดการจาก็สุขุมนุ่มลึก
หวังเหล่ยเห็นฉินสือโอวยืนกอดแขนอยู่ข้างๆ ก็เด็ดเครือองุ่นด้วยความปราดเปรียวไปพร้อมๆ กับถามอีกฝ่าย “พี่ฉิน พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ฉินสือโอวกล่าว “ไม่มีอะไรหรอก หลักๆ แล้วก็แค่เพราะฉันค่อนข้างสนใจการใช้ชีวิตของนักศึกษาต่างชาติอย่างพวกนายน่ะ ตอนยังเป็นวัยรุ่นฉันก็เคยคิดอยากจะไปเรียนต่างประเทศเหมือนกัน น่าเสียดายที่ที่บ้านไม่มีเงิน เลยทำได้แค่หางานทำหลังเรียนจบ”
หวังเหล่ยพูดยิ้มๆ “พี่ฉิน พี่ล้อผมเล่นหรือเปล่า ตอนนี้พี่ยังหนุ่มมากๆ เลยนะ ทำไมต้องมีคำว่า ‘สมัยยังเป็นวัยรุ่น’ ด้วยล่ะครับ? อีกอย่างถ้าบ้านพี่ฉินไม่มีเงิน ครอบครัวของพวกผมก็คงนับว่าไม่มีอันจะกินแล้วหรือเปล่า?”
จากการทำความรู้จักมาหลายวัน หวังเหล่ยก็รู้ขอบเขตของฟาร์มปลาต้าฉินแล้ว ทั้งยังรู้มูลค่ารวมทั้งหมดของฟาร์มปลาเหล่านี้แล้วด้วย
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตที่มากมายนัก แต่เขาก็รู้ว่าถ้าอยากครอบครองฟาร์มปลาที่ใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการต่อสู้ดิ้นรนของคนหนึ่งคนเลย ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนฝ่าฟันแค่ไหน แต่เด็กจนๆ คนหนึ่งไม่มีทางสามารถครอบครองฟาร์มปลาชั้นดีที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ก่อนอายุสามสิบแน่ๆ
นอกจากนี้เขายังได้เห็นรถพอร์ช 918 ฟอร์ดเอฟ 650 กับรถคาดิลแลคสองคันที่จอดอยู่ในสนามบินส่วนตัวแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่เกิดในครอบครัวคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ แล้วมีรถซูเปอร์คาร์คันหรูอย่างพอร์ช 918 ไว้ในครอบครอง ก็คงจะขับออกไปอวดชาวบ้านทุกวันแล้ว แต่กับฉินสือโอวน่ะเหรอ? จอดรถไว้ที่นั่นทั้งยังเอาผ้าคลุมรถไว้ เหมือนว่านั่นไม่ใช่รถซูเปอร์คาร์แต่เป็นแค่รถไฟฟ้าหนึ่งคันเท่านั้น
เขากับเหยาลี่ลี่เคยแอบคุยกันเรื่องนี้ พวกเขาคิดว่าฉินสือโอวน่าจะเป็นลูกหลานอภิมหาเศรษฐีที่จีน ที่บ้านกลัวว่าเขาอยู่ในประเทศแล้วจะมีปัญหา เลยส่งเขามาทำฟาร์มปลาเล่นๆ ที่ต่างประเทศ
เมื่อมองดูสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของหวังเหล่ย ฉินสือโอวก็รู้ถึงความคิดของเขาได้ทันที เขาไม่ได้อธิบายให้ฟัง แต่พูดคร่าวๆ ออกมา “ฟาร์มปลาแห่งนี้ไม่ใช่ของของฉันหรอก แต่เป็นมรดกที่รับช่วงต่อจากปู่ นายล่ะ ทำไมถึงเลือกมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ?”
หวังเหล่ยยักไหล่ เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “พี่ฉิน พี่อย่ามองแค่ว่าตอนนี้ผมทำได้แค่เอ้อระเหยไปวันๆ ในวิทยาลัยเพลสตันนะ ที่จริงแล้วตอนอยู่ที่จีนคะแนนของผมดีมาก ให้สอบทั้งเล่มก็ไม่มีปัญหา แต่ปีนั้นที่ผมสอบเข้ามหาลัย เพื่อนที่ทำงานของพ่อผมแนะนำเขาเรื่องการมาเรียนต่อต่างประเทศ พ่อผมถามว่าผมอยากไปเรียนเมืองนอกไหม ฐานะที่บ้านผมก็พอใช้ได้อยู่เหมือนกัน”
“ผมลองคิดดูดีๆ ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยออกไปพ้นมณฑลเลย โลกกว้างใหญ่ขนาดนั้นผมก็อยากจะเห็นมันมากจริงๆ นอกจากนี้เพื่อนสมัยมัธยมปลายของผมก็ไปเรียนต่อที่อเมริกากับออสเตรเลียกันตั้งนานแล้ว ชีวิตที่พวกเขาเล่าให้ฟังก็ทำให้ผมหวังว่าจะได้แบบนั้นบ้าง”
“แล้วยังมีข้อดีของการเรียนต่อเมืองนอกที่เขาชอบเล่าลือกันเยอะๆ นั่นอีก อย่างเช่นไปเรียนต่อในประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้รับการศึกษาที่ดีกว่า ได้สัมผัสกับแนวความคิดทางการศึกษาที่ก้าวหน้า ได้เปิดวิสัยทัศน์ให้กว้างและได้สะสมประสบการณ์ เพิ่มความสามารถในการอ่านการเขียนภาษาต่างประเทศ ได้เพิ่มพูนความรู้กับได้พบเห็นวัฒนธรรมต่างชาติอะไรพวกนั้น สุดท้ายหลังจากผมคิดทบทวนดูแล้ว ผมก็ตัดสินใจออกมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ”
“แล้วทำไมถึงเลือกแคนาดาล่ะ?” ฉินสือโอวถามอย่างสนใจใคร่รู้ “ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขานิยมไปเรียนต่อที่อเมริกากันหรอกเหรอ?”
หวังเหล่ยยักไหล่แล้วตอบเขากลับไป “เพราะหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยในแคนาดา จะมีโอกาสเปลี่ยนสัญชาติได้ยังไงล่ะครับ แถมผมยังเคยได้ยินมาว่าเพราะแคนาดามีผู้อพยพเยอะ ดังนั้นความอดกลั้นทางวัฒนธรรมเลยค่อนข้างมาก”
“แล้วยังไงต่อเหรอ?”
“หลังจากผมสอบเกาเข่าที่จีนเสร็จแล้ว ผมก็มาที่นิวฟันด์แลนด์ สำหรับความรู้เกี่ยวกับวิชาเอกผมคิดว่ามันไม่ค่อยยากเท่าไร แต่ภาษาอังกฤษของผมอ่อนเกินไป ดังนั้นที่ผมสอบไม่ผ่านไม่ใช่เพราะผมทำข้อสอบไม่ได้ แต่เป็นเพราะผมฟังเวลาที่อาจารย์จัดสอบผิดไป แม่มันสิ เจ็บใจจริงๆ!”
ท้ายที่สุดหวังเหล่ยจึงอดสบถด่าออกมาไม่ได้
ฉินสือโอวมองดูเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ พร้อมทั้งตบไหล่ปลอบเขา “เดี๋ยวก็หาทางออกได้เองนั่นล่ะ นี่เป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งนั้น แต่นายรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่เลือกมาเรียนต่อต่างประเทศใช่ไหมล่ะ?”
หวังเหล่ยถอนหายใจแล้วพูดออกมา “เรื่องนี้มันพูดยากอยู่เหมือนกันครับ คะแนนตอนอยู่ที่จีนของผมถือว่าไม่เลวเลย คะแนนสอบเกาเข่าก็รับประกันได้ว่าผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยประจำมณฑลได้แน่ๆ แต่ในตอนนั้นผมตัดสินใจมาเรียนต่อ เพราะคิดว่าจะได้เพิ่มพูนและสะสมความรู้จากประสบการณ์ แน่นอนว่าผมบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ที่นิวฟันด์แลนด์ผมได้พบเห็นและรู้จักหลายสิ่งหลายอย่างเลย”
………………………………………………….