ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 689 เผชิญพายุ
ยามนี้บนชายฝั่งของฟาร์มปลาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ปูก้ามดาบจำนวนมากต่างผุดออกมาจากหลุมทรายวิ่งแออัดกันจนดูเหมือนเมล็ดงาบนขนมเปี๊ยะ
แน่นอนว่าสีสันและความวาวของกระดองหลังพวกมันสวยยิ่งกว่าสีของเมล็ดงามาก สีของปูตัวผู้จะสดใสกว่าของตัวเมีย มีทั้งสีแดงปะการัง เขียวสดใส ทอง เขียวอ่อนและฟ้าอ่อน เป็นประกายอยู่บนหาดราวกับทุ่งดอกไม้
ถ้าปูก้ามดาบไม่ได้มุดออกมาจากหลุมกัน ฉินสือโอวคงไม่มีทางรู้ว่าฟาร์มปลาตัวเองจะมีปูน้อยอยู่เยอะขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขายังวางแผนว่าจะเพิ่มพวกมันมาไว้ที่ฟาร์มปลาด้วย แต่ตอนนี้ดูท่าเขาคงกังวลมากเกินไป
พวกปูก้ามดาบปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว พลางยกก้ามใหญ่ที่ดูเหมือนดาบปลายแหลมขึ้นกวัดแกว่งไปมาเป็นคลื่น แบบนี้ถึงพวกปูจะตัวเล็กแต่ด้วยจำนวนมหาศาลทำให้ฉากนี้ดูทรงพลัง
นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘ปูก้ามดาบ’ เพราะพวกมันแกว่งก้ามยักษ์อย่างนี้ไปทางทะเลจึงถูกคนสมัยก่อนเข้าใจว่ามันกำลังเรียกน้ำขึ้นน้ำลงอยู่ เลยตั้งชื่อนี้ให้พวกมัน
ฉินสือโอวรู้อยู่แล้วว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันไม่ได้ใช้เรียกน้ำจริงๆ หรอก แต่เป็นการแสดงท่าทีองอาจ ข่มขวัญศัตรูหรือหาคู่ต่างหาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เรียกพวกชาวประมงมาปรึกษากัน “ท่าทีแปลกๆ ของฝูงปูเป็นไปได้ไหมว่าถึงฤดูผสมพันธุ์แล้ว? พวกมันดูไม่เหมือนกำลังหลบน้ำขึ้นเลย เหมือนกำลังตั้งใจหาคู่มากกว่า”
แซ็กที่อาวุโสที่สุดส่ายหน้า เขาพาฉินสือโอวไปดูหลุมสร้างใหม่ของพวกปูก้ามดาบ แล้วชี้ไปยังปากหลุมที่ปิดไว้ “ดูสิ พวกมันรู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังจะเจอกับอะไรเลยเตรียมตัวปิดปากหลุมไว้ก่อนเรียบร้อย ถ้าหาคู่พวกมันจะปิดประตูบ้านทำไมล่ะ?”
ชาร์คยังบอกอีกว่า “ใช่ครับบอส ผมคิดว่าพวกปูก้ามดาบแค่ใช้โอกาสตอนย้ายบ้านหาคู่ก็ได้ ไม่ถึงกับต้องปีนขึ้นมาหาบนนี้เลย”
ฉินสือโอวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “งั้นแสดงว่า ปูก้ามดาบพวกนี้เชื่อว่าจะมีน้ำขึ้นครั้งใหญ่จริงๆ ใช่ไหม?”
พวกชาวประมงพยักหน้า ฉินสือโอวไม่มีทางเลือกได้แต่โบกมือ ให้ทุกคนเริ่มทำงานเก็บกวาดฟาร์มปลา
ถึงอย่างไรต่อให้น้ำจะขึ้นแค่ไหนก็ไม่มีทางไปถึงวิลล่าได้อยู่ดี
เหตุผลที่ฉินสือโอวและชาวประมงต้องพิจารณาว่าจะเกิดน้ำขึ้นลงหรือไม่นั้น เพราะสิ่งที่พวกเขาทำล้วนขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะซ่อมเรือประมง ซ่อมแพสำหรับเพาะพันธุ์สาหร่าย หรือการออกทะเลไปให้อาหารปลากุ้ง
พอเห็นพวกผู้ใหญ่ทำงาน เด็กๆ ที่เล่นได้สักพักก็มาช่วยงานด้วย เช่นเดียวกับหู่เป้าฉงหลัว มีแค่อัลลิเกเตอร์มาสเตอร์ที่ยังต้วมเตี้ยมอยู่บนหาด เดินไปกินไป มีปูก้ามดาบอร่อยๆ เต็มปากมัน
นิสัยของเด็กๆ ที่จดจ่อกับงานได้ไม่นาน ทำไปสักพักก็ใจลอย พานจะเป็นการก่อปัญหาเสียมากกว่า
ฉินสือโอวไม่อยากให้พวกเขามาวุ่นวาย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความกระตือรือร้นของเด็กๆ ได้ เขาหมุนตัวอยู่ตรงพื้นหาปูก้ามดาบขนาดประมาณกำปั้นเขาแล้วเอาให้กอร์ดอนกับมิเชล
กอร์ดอนและมิเชลพิจารณาปูเล็กน้อย ก่อนจะตาเป็นประกาย วิ่งไปอวดชาร์คน้อยกับคราเคนน้อยด้วยความตื่นเต้น
ชาร์คน้อยเอ่ยอย่างดูถูก “แล้วยังไง เมื่อวานฉันเก็บปูได้ตัวใหญ่กว่าพวกนายอีก!”
กอร์ดอนชูปูก้ามดาบในมืออย่างไม่ยอมแพ้ตอบ “นายไม่เห็นเหรอไง? ปูก้ามดาบของฉันไม่เหมือนกันนะ ก้ามของมันอยู่ข้างซ้ายแหละ!”
ชาร์คน้อยเห็นดังนั้น เขาจึงไปหาที่ชายหาดบ้าง แต่ทุกตัวที่เจอล้วนมีก้ามใหญ่อยู่ข้างขวาทั้งนั้น ดูท่าของกอร์ดอนจะเป็นแบบหายากจริงๆ
ชาร์คน้อยไม่ยอมแพ้ วิ่งไปหาพ่อให้ช่วยเขาหาปูแปลกๆ บ้าง ชาร์คที่กำลังยุ่งไม่มีอารมณ์เล่นเป็นเพื่อน เลยบอกปัดให้เขากลับไปเล่นเอง
ชาร์คน้อยแสดงความไม่พอใจโดยการก่อกวนพ่อไปทั่ว พ่อเขาเองก็เป็นชายร่างกำยำ เลยจัดท่าเทพมังกรฟาดหางใส่เอวซ้ายไปหนึ่งทีจนเขากระเด็นไปห้าเมตร
ทำให้ชาร์คน้อยต้องเดินกะเผลกไปทั้งเจ็บก้นด้านซ้าย พ่อเขาถลึงตาใส่พร้อมตะโกนว่า “สาแก่ใจแกเหรอยัง?”
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ใช้วิธีสอนลูกแบบป่าเถื่อน แต่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัดทีเดียว ชาร์คน้อยและคราเคนน้อยหลังโดนตีต่างก็ทำตัวสงบเสงี่ยมไปหลายวัน
เห็นชาร์คน้อยดูทุกข์ใจเดินกะโผลกกะเผลกหาปูอยู่อย่างนั้น ฉินสือโอวจึงเข้าไปอธิบายว่า “มันไม่ได้เป็นพันธุ์หายากหรอก ปูก้ามดาบก็เป็นอย่างนี้ ถ้าปูตัวผู้เสียก้ามใหญ่ไปมันก็จะงอกก้ามเล็กออกมา ส่วนก้ามเดิมที่เหลือก็ขยายกลายเป็นก้ามใหญ่แทนของเดิมที่หายไปนั่นเอง”
ชาร์คน้อยได้ฟังก็ถามว่า “งั้นทำไมตัวที่มีก้ามใหญ่ด้านซ้ายถึงน้อยจัง?”
ฉินสือโอวตอบยิ้มๆ “เหตุผลก็ง่ายๆ นายถนัดขวาใช่ไหม? ถ้ามือขวานายหักมือซ้ายนายจะกลายเป็นข้างที่ถนัดแทน แล้วนายอยากหักแขนขวาเพื่อเปลี่ยนไปเป็นถนัดแขนซ้ายหรือเปล่าล่ะ?”
การเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ค่อยตรงเท่าไร คนเซ่อซ่าอาจมีอยู่ แต่ปูก้ามดาบไม่มีทางเซ่อซ่า
ก้ามใหญ่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับปูก้ามดาบมาก มันคือสิ่งที่ใช้ขุด ล่าอาหาร ต่อสู้และดึงดูดคู่ นอกเสียจากจะไม่ได้ระวังตัวมากจริงๆ ปูก้ามดาบก็แทบจะไม่ทำก้ามหักเลย
พูดง่ายๆ คือปูก้ามดาบที่ทำก้ามใหญ่หักนั้นต้องใช้ชีวิตที่มีเพียงก้ามเล็กอย่างยากลำบากมาก พวกมันอาจหิวตายหรือโดนศัตรูตามธรรมชาติกินก่อนนั่นเอง
ช่วงที่งานยุ่งกันทั้งวัน ฉินสือโอวนำฟาร์มสาหร่ายหลายพันไร่ของชาวประมงไปทำความสะอาดรอบหนึ่ง และซ่อมแซมรอบๆ แพเพาะพันธุ์แบบเคลื่อนย้ายได้ ต่อให้มีพายุมา สาหร่ายก็จะไม่โดนพัดไปทั่ว
ขณะทำความสะอาดฟาร์มสาหร่าย บูลก็จับปลาอีโต้มอญหนึ่งเมตรได้ตัวหนึ่ง เจ้าหมอนี่หาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ มันคิดว่ามือของบูลที่อยู่ในน้ำเป็นอาหารเลยอ้าปากกัดเข้าให้
โชคดีที่บูลสวมถุงมือป้องกันแบบหนาที่ทำจากยางล้วนไว้ โดยด้านในมีลวดเหล็กที่ถักไว้อย่างแข็งแรงทนทาน ต่อให้เป็นฟันแหลมคมของปลาอีโต้มอญก็ยังทำอะไรถุงมือไม่ได้
ถึงจะเป็นคนใจกล้าแบบบูลก็ยังสะดุ้งตกใจ เขาชักมือขึ้นมาดูก็เห็นปลาตัวใหญ่สีเขียวมรกตโดนดึงขึ้นมาด้วย
พวกชาวประมงไม่รู้มาก่อนว่าที่ฟาร์มปลามีปลาอีโต้มอญอยู่ ตอนเห็นมันเลยตกตะลึง แต่หลังจากนั้นก็พากันหัวเราะรบเร้าให้บูลเลี้ยงข้าว ในฐานะที่เขาได้ฟาดเคราะห์ไปแล้ว
ถึงแม้ปลาอีโต้มอญจะไม่กินคน แต่ก็ยังเป็นปลาชนิดกินเนื้อ และฟันแหลมคมในปากนั้นก็กัดโดนข้อมือของบูลไป อย่างน้อยบูลก็คงได้พักฟื้นสักเดือน
ปลาอีโต้มอญมีส่วนที่คล้ายกับปลากะพงแสมที่ฉินสือโอวตกได้เมื่อไม่นานนี้ ปลากะพงแสมเวลาตายลายจุดบนตัวจะหายไป ส่วนปลาอีโต้มอญเวลาตายสีบนตัวจากสีเขียวจะกลายเป็นสีเทาเข้ม
ฉินสือโอวอนุญาตให้บูลนำปลากลับบ้านไปได้ พร้อมกล่าวว่า “ให้แอนนาเอาไปตุ๋นนะ ให้ตายสิ มันตั้งใจจะกินมือนายแท้ๆ ดูตอนนี้สิ มันดันกลายเป็นอาหารเองซะงั้น”
พวกชาวประมงหัวเราะเสียงดัง พากันตะโกนว่าอยากไปบ้านบูล
บูลไม่รับปาก เขาเอ่ยว่า “วิลล่าของฉันยังสร้างไม่เสร็จเลย ตอนนี้ในบ้านทั้งเล็กทั้งรก ไว้รอฉันไปอยู่บ้านใหม่ก่อนค่อยเชิญพวกนายมาเที่ยวนะ”
พวกชาวประมงล้วนเป็นคนหยาบคาย ก่อนได้มาอยู่กับฉินสือโอวแทบอดมื้อกินมื้อกัน เลยไม่สนใจเรื่องพวกนั้น ยังคงรบเร้าอยากไปกินข้าวบ้านบูลต่อ ทั้งยังถามฉินสือโอวอีกว่าเขาอยากไปด้วยไหม
ฉินสือโอวหัวเราะตอบว่า “ไปสิ ฉันยังไม่เคยไปเป็นแขกบ้านบูลเสียที”
………………………………………………