ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 918 งานประมูลการกุศลสี่เมือง
ปลาโอแถบแห้งยังไม่ได้กินในวันนั้น กระบวนการอบแห้งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน หรืออาจจะมากกว่านั้น เพียงแต่น้ำจากเนื้อปลาส่วนที่ดีที่สุดออกมาแล้ว ตอนกลางคืนฉินสือโอวจะใช้มันคลุกกับอาหารจานเย็น รสชาติดีกว่าซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ หรือน้ำสลัดเป็นไหนๆ
หิมะยังคงโปรยปรายไม่หยุด ฉินสือโอวมองไปด้านนอกที่กลายเป็นโลกสีขาวแล้วก็ถอนหายใจ ครั้งนี้นี่อย่างกับภัยพิบัติจากหิมะ แม้ว่าบ้านเกิดเขาจะอยู่ภาคเหนือ แต่ก็ค่อนไปทางใต้ ก็เลยไม่เคยเห็นหิมะตกหนักขนาดนี้มาก่อน
ฉินสือโอวไม่มีอะไรทำจึงขับรถกวาดหิมะไปกวาดถนนในฟาร์มปลา บ้านใหญ่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน อย่างเช่นการจัดการหิมะที่เป็นปัญหาใหญ่
วันที่สี่นับจากหิมะตก มือถือของฉินสือโอวก็ดังขึ้น พอเขาเห็นว่าเป็นสายจากแฮมเล็ตก็กดรับแล้วถามว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า
แฮมเล็ตถามไถ่ถึงสถานการณ์ช่วงนี้และสุขภาพของวินนี่ จากนั้นก็พูดขึ้น “เซนต์จอห์นมีประเพณีโครงการอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือหลังจากที่เจอภัยธรรมชาติก็จะจัดการประมูลการกุศลสี่เมือง ครั้งนี้เป็นวันเสาร์นี้ นายสนใจไหม?”
ที่จริงฉินสือโอวไม่ค่อยจะสนใจ เขาไม่ค่อยมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับแคนาดา จัดการกับที่ดินหนึ่งหมู่สามเฟินในเมืองแฟร์เวลเสร็จเขาก็รู้สึกว่างานเขาหมดแล้ว
แต่จุดสำคัญของงานประมูลการกุศลไม่ได้อยู่ที่ได้เงินเท่าไร แต่ทุกคนต่างก็แสดงออกถึงความมีน้ำใจ ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้สนใจ เขาก็ตอบรับจะไปเข้าร่วมงานในวันเสาร์
ส่วนของที่เขาจะประมูล นอกจากไข่มุกดำแล้วยังมีอะไรอีก? เขาเลือกไข่มุกดำขนาดประมาณถั่วเหลืองมาหกเม็ด มูลค่าเยอะพอแล้ว เพราะนี่ล้วนแต่เป็นไข่มุกดำชั้นเยี่ยม ต่อให้ขนาดเล็ก เม็ดหนึ่งก็มีราคาถึงหนึ่งหมื่นดอลลาร์แคนาดา
เออร์บักรู้ว่าเขาจะเข้าร่วมการประมูลการกุศลสี่เมืองก็อธิบายถึงความเป็นมาของงานประมูลให้เขาฟัง บอกว่าการที่เขาไปร่วมช่างเหมาะจริงๆ เพราะงานประมูลการกุศลที่จริงแล้วปู่ฉินหงเต๋อของเขาเป็นคนริเริ่ม
งานประมูลการกุศลเกิดขึ้นในปี 1980 ปีนั้นเซนต์จอห์นประสบพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่ครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี ผู้ประสบภัยมีนับไม่ถ้วน เทศบาลก็ยังช่วยไม่ทั่วถึง หลังภัยพิบัติการก่อสร้างใหม่นั้นดำเนินไปอย่างล่าช้ามาก
แม้แต่เมืองใหญ่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเสียที เมืองที่อยู่รอบนอกก็ยิ่งไม่ได้รับทรัพยากรช่วยเหลือ บ้านของคนมากมายพังหมด ตอนนั้นหลังจากพายุไต้ฝุ่นผ่านไปฝนก็ตกหนัก หลายๆ คนไม่มีบ้านให้กลับเลยได้แต่หลบฝนในที่สาธารณะอย่างสถานีรถ หรือคาเฟ่
ฉินหงเต๋อจึงเรียกรวมชนชั้นกลางของเมืองแฟร์เวลจัดงานประมูลการกุศลมาช่วยคนที่ไม่มีบ้าน อย่างน้อยก็จัดการปัญหาที่อยู่และอาหารให้พวกเขา
หลังจากที่ฉินหงเต๋อร้องขอออกไปก็ได้รับการตอบรับจากคนมีฐานะบางกลุ่มในเมืองแฟร์เวลทันที และความน่านับถือของเขาก็ขจรไปไกล นอกจากเมืองแฟร์เวลก็ยังมีคนมีฐานะจากแม็คคาร์ธีทาวน์ เท็ดทาวน์และลิตเติ้ลแบร์ทาวน์ที่ตอบรับ
นี่ก็คือที่มาที่ไปของงานประมูลการกุศลสี่เมือง เพราะแรกเริ่มคนที่มาร่วมงานมาจากเมืองสี่เมือง
“ปู่นายประมูลเรือยอชต์ที่เขาเพิ่งซื้อมา ฉันยังจำคำที่เขาพูดในงานประมูลได้อยู่เลย ‘มีบางคนที่แม้แต่ซุปร้อนๆ ก็ไม่ได้กิน แล้วผมจะแล่นเรือยอชต์ออกทะเลหาความสุขได้อย่างไร’ ช่างเป็นคำที่กินใจจริงๆ” เออร์บักพูดด้วยความซาบซึ้ง
ต่อมางานประมูลการกุศลสี่เมืองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่เซนต์จอห์นมีภัยธรรมชาติที่ค่อนข้างรุนแรง ก็จะมีคนจัดงานประมูลขึ้น คนร่วมงานจากสี่เมืองก็กลายเป็นหกเมือง แปดเมือง ก่อนจะกลายเป็นทั้งเมืองใหญ่ ตอนนี้เป็นทั้งรัฐ
หลังจากที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับงานประมูลนี้ ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แบบนี้เขาก็กลายเป็นดาวเด่นแล้วสิ ไข่มุกดำสี่เม็ดคงเอาออกมาไม่ได้ เขาเปลี่ยนเป็นเจ็ดเม็ด แล้วยังตั้งชื่อให้ไข่มุกดำด้วย วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ส่วนเม็ดวันอาทิตย์นั้นเป็นไข่มุกดำเม็ดใหญ่ขนาดประมาณถั่วลิสง มูลค่ารวมเกินแสนดอลลาร์แคนาดา
เออร์บักบอกว่าที่จริงก็ไม่จำเป็น ขอแค่ออกงานแสดงความเมตตาของตัวเองก็พอ
ฉินสือโอวพูด “ช่างเถอะ ถือเสียว่าฉันสะสมบุญให้ลูก หวังว่าก่อนที่เขาจะเกิด เขาจะปลอดภัย ทั้งเขากับวินนี่แคล้วคลาดปลอดภัย”
หิมะก็ตกนานพอตัว จนถึงวันเสาร์ก็ยังคงมีหิมะตกลงมา ส่วนหิมะที่กองถมกันก็เกินครึ่งเมตรแล้ว สนามบินทั่วทั้งนิวฟันแลนด์ต่างก็ปิด ทางด่วนก็ปิดไปเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์!
ฉินสือโอวดูข่าวตอนกลางคืนก็เห็นสลัมบางส่วนที่หลังคาพังเพราะหิมะถมสะสม ต้นไวท์เบิร์ชหน้าประตูศาลากลางเซนต์จอห์นก็โดนหิมะทับจนล้ม ฉินสือโอวตะลึง พลังของหิมะช่างร้ายแรงจริงๆ
วันเสาร์ฉินสือโอวและคนอื่นๆ มากมายนั่งเรือไปเซนต์จอห์น งานประมูลการกุศลนี้เปิดให้คนเข้าได้หมด ชาร์คกับคนอื่นๆ ก็ได้รับคำเชิญ แน่นอนว่าคนที่เชิญพวกเขาไม่ใช่แฮมเล็ต ในเมืองมีคนไปทั้งหมดหนึ่งร้อยกว่าคน บางคนไปประมูลของ บางคนก็เอาของไปประมูล
คนแคนาดามีจิตกุศลที่แรงกล้ามาก อย่างเช่นฮิวจ์คนน้องที่เป็นพวกผู้สนับสนุนอนาธิปไตย ปกติจะเฮฮาดูไร้สาระ ครั้งนี้เข้าร่วมงานประมูลการกุศล เขาเอาเข็มขัดหนาของเผ่าซูมาด้วย หัวเข็มขัดเป็นทองเลยนะ
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยเห็นเข็มขัดนี้ที่ร้านขายของชำ ฮิวจ์คนน้องไม่ได้ติดราคาไว้ เขาแค่เอาออกมาโชว์ เป็นของสะสมของตัวเองไปแล้ว
งานประมูลจัดขึ้นในมหาวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบ๊พติสท์ในนครเซนต์จอห์นที่นี่ยังเป็นโบสถ์ที่งดงามและอลังการที่สุดในนิวฟันด์แลนด์ด้วย ตั้งอยู่บนยอดเขา สามารถมองเห็นวิวได้ทั้งเมือง
โบสถ์สร้างขึ้นในปี 1855 ภายนอกดูเหมือนโบสถ์สไตล์โรมันในอิตาลี โดยรวมเป็นหินปูนกับหินแกรนิต มีหอคอยยอดแหลมแฝด การตกแต่งภายในหรูหราและงดงาม กระจก 65 บานล้วนแล้วมีสีสัน แต่ล่ะบานต่างวาดเรื่องราวคลาสสิกจากพระคัมภีร์
บนเพดานมีประติมากรรมลอยตัวประณีต มีสีที่ผสมผสานระหว่างสีทอง สีน้ำตาลแดงและสีเขียวเข้ม ภายในกว้างขวางโอ่โถงเต็มไปด้วยความโอ่อ่า
ฉินสือโอวเพิ่งเคยมาครั้งแรก ข้างในมีคนที่มาร่วมงานรออยู่แล้วมากมาย บาทหลวงบางคนในชุดคลุมสีดำทำหน้าที่เป็นคนให้บริการ ชี้แนะผู้สนใจเที่ยวชมบ้าง บางคนก็กำลังเสนอเครื่องดื่มร้อนและของว่าง
หลังจากที่เออร์บักปรากฏตัว บาทหลวงเฒ่าอายุเจ็ดแปดสิบคนหนึ่งก็เดินเข้ามารับ พอเขากล่าวเปิดด้วยประโยค “ขอพระเจ้าอวยพรคุณ” บาทหลวงเฒ่าก็ยิ้มบางและกล่าวว่า “เพื่อนเก่า ได้เจอคุณที่นี่ช่างน่ายินดีจริงๆ เราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้ว?”
“ห้าปีมั้ง?” เออร์บักยิ้มพลางลากฉินสือโอวออกมาอย่างกระตือรือร้นแล้วพูดว่า “นี่คือหัวหน้าบาทหลวงคาบ็อท ศรัณหะ ผู้รับใช้ที่เคร่งศาสนาและพี่ชายและบิดาของผู้ศรัทธา เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง”
ฉินสือโอวรู้สึกนับถือขึ้นมา เขาโค้งคำนับคาบ็อท
คาบ็อทมองดูฉินสือโอวอย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้น “คุณคือ โอ้ พระเจ้า ผมไม่ได้เดาผิด คุณคือทายาทของอาเต๋อ ใช่ไหม?”
ฉินสือโอวเดาว่าอาเต๋อก็คือปู่ฉินหงเต๋อของเขา เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ครับ หัวหน้าบาทหลวง ผมคือหลานชายของคุณฉินหงเต๋อ”
คาบ็อทเดินเข้าไปใช้สองมือประคองหน้าเขาไว้แล้วมองดูอย่างละเอียดก่อนจะถอนหายใจ “ที่จริงแล้วคุณทั้งสองเหมือนกันมาก เหมือนมากจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าแวบแรกผมจะดูไม่ออก! ผมแก่แล้ว ความจำก็เลอะเลือน ตอนนั้นที่ผมเจออาเต๋อครั้งแรก เขาก็เป็นหนุ่มอย่างคุณในตอนนี้”
ฉินสือโอวยิ้มกระอักกระอ่วน ตัวเขาจะเข้าวัยกลางคนอยู่แล้วทำไมยังถูกเรียกว่าหนุ่มอีกล่ะ? แต่ว่าคนแก่ตรงหน้าก็เจ็ดแปดสิบเข้าไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าตัวเขาเป็นหนุ่มก็ไม่แปลก
………………………………………………………