ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 922 พลังมหาศาล
เจ็ดวันปริศนาทำให้การประมูลราคาเป็นการประมูลที่ดุเดือดมากที่สุด เพราะคนที่มาเข้าร่วมงานประมูลส่วนมากมาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน มีแม้กระทั่งครอบครัวเศรษฐี ไม่ว่าจะมาเพราะเป็นการแสดงหรือว่ามาเพราะอยากช่วยผู้ด้อยโอกาสจริงๆ แต่พอพวกเขามาแล้วก็จะไม่ตระหนี่เรื่องเงิน
พวกเศรษฐีต่างก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะประมูลได้ของรักอะไรในงานประมูลแบบนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องประหลาดใจกับความเป็นจริงตรงหน้า ไข่มุกดำเจ็ดเม็ดนามว่าเจ็ดวันปริศนานี้ ไข่มุกกลมเนื้อราวกับหยก สีหมดจดงดงาม ทั้งหกเม็ดมีขนาดเฉลี่ยที่พอๆ กัน นับว่าหาได้ยากยิ่งในอุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือยที่นิวฟันด์แลนด์
ดังนั้น พวกเศรษฐีต่างก็ยกมือเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ราคาของเจ็ดวันปริศนาเพิ่มขึ้นจาก 100,000 เป็น 150,000 สุดท้ายราคาที่ประมูลได้คือ 185,000 ดอลลาร์แคนาดา!
หลังจากที่ประมูลราคากันเป็นที่เรียบร้อย ฉินสือโอวได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีกล่าวอะไรสักเล็กน้อย ซึ่งทำเอาฉินสือโอวไปไม่ถูก คนเราไม่ควรอวดดีมากเกินไปจริงๆ เขาก็แค่แสร้งอวดเก่ง เขาคงอวดมากไปหน่อย
เขาไม่ได้กลัวที่จะพูด แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด พอขึ้นเวทีสายตานับร้อยก็จับจ้องมาที่เขา ซึ่งทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
เมื่อก่อนถ้าเขาต้องขึ้นกล่าวอะไรก็จะมีวินนี่คอยช่วยร่างบทให้ เขาแค่ท่องเอาก็ได้แล้ว แต่ครั้งนี้เขาคงต้องพึ่งไหวพริบตัวเองเสียแล้ว
ยังดีว่าการกล่าวอะไรแบบนี้ของคนแคนาดาเรียบง่ายและกระชับ ฉินสือโอวจึงเริ่มจากแนะนำตัวเอง บอกว่าฉินหงเต๋อเป็นคุณปู่ของเขา เขามีส่วนร่วมในงานประมูลครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงต้องการแสดงแค่จิตใจที่มีเมตตา แต่ยังเป็นการสืบทอดงานการกุศลแบบนี้ต่อไปอีกด้วย
พูดไปได้สิบกว่าประโยค ฉินสือโอวก็เอาคำพูดที่ว่า ‘เมื่อแห่งหนใดเกิดภัย ที่ต่างๆ จะร่วมใจช่วยเหลือกันไม่จากหาย ธรรมชาติแม้แสนจะโหดร้าย แต่มนุษย์เราไซร้มีน้ำใจต่อกัน’ มาปิดท้าย คำพูดนี้เป็นเอกลักษณ์ของประเทศจีน ทุกครั้งที่เกิดภัยธรรมชาติก็จะมีประโยคนี้ทุกครั้ง ฉินสือโอวแปลออกมา ก็นับว่าได้ผลไม่เลว
หลังจากจบงานประมูล ฉินสือโอวสะพายเป้แล้วออกจากโบสถ์ไปกับชาร์คและคนอื่นๆ ข้างนอกมีคนตะโกนอย่างประหลาดใจว่า “ดูสิ หิมะหยุดตกแล้ว ฟ้าสว่างแล้ว!”
ฉินสือโอวรีบเดินออกไปดู เป็นเช่นนั้นจริงๆ หิมะที่ตกหนักต่อเนื่องมาหลายวันในที่สุดก็หยุดตกแล้ว เมฆดำมลายหายไป แสงอาทิตย์ที่ประกายระยิบระยับส่องสว่างลงมา พระอาทิตย์ที่หายไปนานนับก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ผู้มีความศรัทธาหลายคนวาดเครื่องหมายกางเขนลงตรงหน้าอก พวกนักบวชนำผู้ศรัทธาบางคนสวดบทคลาสสิกของคัมภีร์ไบเบิล ที่หน้าประตูโบสถ์ บรรยากาศของความศักดิ์สิทธิ์เหลือล้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะวาดไม้กางเขนบนหน้าอกของตัวเองเช่นกัน และขอให้หิมะตกน้อยลงสักหน่อย
นั่งเรือข้ามฟากกลับไปที่เมืองเล็ก ฉินสือโอวเดินอย่างว่องไวบนหิมะ จึงเกิดเป็นเสียง ‘ซวบซาบ’ ขึ้นมา คนอื่นๆ ที่เดินตามหลังเขาต่างพากันงงงวยว่าเขาจะรีบไปไหน
หลังจากที่จะแยกย้ายกัน ฉินสือโอวจึงอธิบายว่าอยู่ดีๆ ก็รู้สึกคิดถึงวินนี่มาก พวกชาวประมงต่างผิวปากแซวกันใหญ่ บอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ
ฉินสือโอวยกนิ้วกลางให้พวกเขา แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดี แต่ครั้งนี้ที่รีบกลับบ้านก็เพราะอยากจะดูดซึมพลังงานที่อยู่ในรูปปั้น
หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงที่หิมะตกหนักไปแล้ว เมืองแฟร์เวลก็ราวกับเป็นโลกในเทพนิยายที่เต็มไปด้วยหิมะ อาคารสไตล์ยุคกลางเหล่านั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และทั้งเมืองก็กลายเป็นโลกสีขาวโพลน
แต่ทว่า สีขาวแบบนี้ถ้าดูผิวเผินก็สวยสดงดงามอยู่ และถ้ามองเพ่งตลอดเป็นระยะเวลานานก็ทรมานสายตาไม่น้อย
ตอนนี้ทุกที่บนเกาะเต็มไปด้วยกองหิมะ ถนนทุกสายถูกปิดกั้น รถขับไปต่อไม่ได้ คนกลุ่มหนึ่งจึงทำได้เพียงต้องเดินกลับบ้าน
หลังจากหิมะหยุดตก ไม่เพียงแต่ทำให้การจราจรไม่สะดวก แต่คลื่นสัญญาณมือถือก็ไม่ดี ยังดีว่าในเมืองนี้ตอนนี้มีวิทยุส่งสารที่ใช้งานได้ ต่อให้จะมีผลต่อคลื่นบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรในการสื่อสารโดยรวม
ฉินสือโอวให้ทริกเกอร์ที่อยู่ที่ฟาร์มปลาขับรถลากเลื่อนหิมะมารับเขา รถลากเลื่อนหิมะแบบพ่นไอสามารถนั่งได้สองคน
แต่ปรากฏว่ารถที่มาไม่ใช่รถลากเลื่อนหิมะแบบพ่นไอ แต่กลับเป็นเชอร์ลี่ย์ขี่ปอหลัว ลากรถลากเลื่อนหิมะวิ่งมาทางนี้แทน
เชอร์ลี่ย์สวมชุดยีนทั้งชุด ผมสีบลอนด์ถูกมัดเป็นเปียเล็กๆ สวมหมวกผ้ายีนอยู่บนหัว ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส ราวกับเห็นกวางที่วิ่งออกมาจากทุ่งดอกไม้ เปล่งประกายพลังอ่อนเยาว์ไปทั่วร่าง
หิมะที่กองอยู่สูงไม่น้อย พอปอหลัวก้าวออกไปหิมะก็คลุมถึงเข่า ดังนั้นจึงได้แต่วิ่งก้าวสั้นๆ แต่ว่ามันแข็งแรงมาก ดังนั้นหิมะที่กองอยู่จึงทำได้แค่ทำให้มันช้าลงแต่ไม่สามารถทำให้มันหยุดวิ่งได้
รถลากเลื่อนหิมะมาพร้อมเสียงลูกกระดิ่งดัง ‘กริ๊งๆ’ เลื่อนมาหยุดอยู่หน้าฉินสือโอว เชอร์ลี่ย์ที่ยืนอยู่บนรถลากเลื่อนหิมะใช้มือถอดหมวดออกมา ยิ้มแล้วมองไปที่ฉินสือโอว “คุณผู้ชาย อยากนั่งรถไหมคะ?”
ในเวลานี้ดวงอาทิตย์หลุดพ้นจากเงามืดของเมฆเผยให้เห็นแสงเจิดจ้า เส้นผมของเชอร์ลีย์เปล่งประกายยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ ส่วนรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอยังสดใสยิ่งกว่าผมสีบลอนด์และแสงอาทิตย์มาอยู่รวมกันเสียอีก
ฉินสือโอวยิ้มแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ เหมาเหว่ยหลงก็อยากจะขึ้นไปนั่งด้วยเช่นกัน ปรากฏว่าพอปอหลัวถีบเท้าตัวเองออกไป หิมะที่กองอยู่ก็แตกกระจายไปทั่ว
เหมาเหว่ยหลงรีบก้าวไปข้างหลังเพื่อหลบหิมะ หลังจากนั้นเสียงกระดิ่งกริ๊งๆ ก็ดังขึ้นมา ปอหลัวเริ่มลากรถลากเลื่อนหิมะวิ่งไปข้างหน้า
พอเป็นเช่นนี้ เหมาเหว่ยหลงที่อยู่ด้านหลังก็ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “ปอหลัว นี่มันทำเกินไปแล้ว!”
ปอหลัวขยับขายาวใหญ่ของมันไปอย่างว่องไว วิ่งไปบนหิมะอย่างมีความสุข
สัตว์ป่าตัวอื่นค่อนข้างจะทนทุกข์ทรมานในสภาพอากาศแบบนี้ พวกมันลงเขามาหาอาหาร แต่พอหิมะกองสูงมากไป พวกมันก็ขยับไปไหนไม่ได้
ระหว่างทางที่กลับไปฟาร์มปลา ฉินสือโอวมักจะเห็นสัตว์จำนวนหนึ่งขยับตัวอย่างช้าๆ อยู่ในกองหิมะ
บางครั้งปอหลัวไปผิดทาง จึงทำให้พวกนกป่าที่อยู่ใต้หิมะกระพือปีกบินออกมาด้วยความตกใจ ตอนที่หิมะตก อุณหภูมิในกองหิมะจะสูงกว่าด้านนอก ดังนั้นพวกกระต่าย ไก่ป่า และสัตว์ปีกจะหลบอยู่ในนั้น เพราะไม่เพียงแต่ซ่อนตัวจากความหนาวเหน็บแต่ยังสามารถหลบจากศัตรูที่จะมาจับพวกมันกินได้ด้วย
เมื่ออยู่ไม่ไกลจากฟาร์มปลา เงาของบุชและนิมิตส์ก็ปรากฏให้เห็นอยู่บนท้องฟ้า พวกมันเห็นรถลากเลื่อนหิมะตั้งนานแล้ว พวกมันกระพือปีกโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ฉินสือโอวผิวปากไปหนึ่งที เจ้าสองตัวก็แผ่ปีกสยายกว้างบินลงมา เก็บปีกแล้วเกาะอยู่บนไหล่เขาข้างละตัว
พอกลับไปถึงวิลล่า ฉินสือโอวไม่ได้เข้าไปในบ้าน แต่เดินตรงไปที่ริมทะเลทันที
คลื่นลมทะเลพัดอย่างช้าๆ อากาศหลังจากหิมะตกจะสดชื่นเป็นพิเศษ ฉินสือโอวยืนอยู่ริมชายหาดสูดลมหายใจเข้าลึก ลมหายใจเย็นยะเยือกผ่านเข้าไปทางจมูกของเขาลงไปสู่ปอด ให้ความรู้สึกหอมหวานอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อไม่เห็นใครอยู่รอบๆ ฉินสือโอวก็เปิดกระเป๋าออก หยิบเอารูปปั้นออกมา คุกเข่าอยู่ริมชายหาดแล้วปล่อยรูปปั้นให้สัมผัสกับน้ำทะเล
น้ำทะเลเย็นยะเยือก แต่ฉินสือโอวกลับไม่ได้รู้สึกทรมาน ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้มันเป็นของจริง เขารับรู้ถึงอุณหภูมิของความเย็น แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกายเขากลับรู้สึกเหมือนแช่ในน้ำอุ่นอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้ระดับที่เขาสามารถทนต่อน้ำทะเลได้มันสูงขึ้นมากๆ
รูปปั้นอยู่ในน้ำ พลังโพไซดอนที่เต็มเปี่ยมแทรกซึมสู่ร่างกายเขาราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ฉินสือโอวผ่อนลมหายใจ เส้นประสาทในร่างกายของเขาก็ผ่อนคลายตาม ทำให้กล้ามเนื้อของเขาทุกส่วนรู้สึกได้ถึงความสบาย จิตใจปลอดโปร่ง
ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา รูปปั้นที่อยู่ในน้ำก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทขึ้นมา เขาปล่อยมือสองมือของเขา ทันใดนั้นรูปปั้นก็แตกกระจายเปลี่ยนเป็นผงไม้อยู่กองหนึ่ง พอคลื่นซัดเข้ามาผงไม้ที่อยู่ตรงนั้นก็มลายหายไปกับน้ำทะเล
ไร้ร่องรอยใดๆ!
ฉินสือโอวโบกมือปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนของตัวเองออกมา ครั้งนี้พลังโพไซดอนที่เขาซึมซับมีมากกว่าเมื่อก่อน แต่ผลกระทบที่มีต่อจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมันยังไม่แน่ชัดนัก แต่ตอนนี้ที่เขารับรู้ได้ก่อนเลยคือ เดิมที่เขามีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอยู่สอง แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสี่แล้ว!
ตอนนี้เขาสามารถแบ่งจิตสำนึกออกเป็นสี่ดวงในเวลาเดียวกัน ติดตามอยู่บนปลาสี่ตัว ราวกับว่ามีร่างสี่ร่างที่สามารถแยกออกจากกันได้ ช่างน่าลึกลับจริงๆ
ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคือ ตอนที่จิตสำนึกเขาอยากก่อคลื่นขึ้นมา เขาไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์โกรธ เพียงแค่มีความคิด คลื่นลูกยักษ์ก็ปรากฏขึ้นมาในทันที
คลื่นที่ไม่เคยสูงขนาดนี้มาก่อน จิตสำนึกแห่งโพไซดอนวิ่งไปถึงใต้ท้องทะเล ก่อตัวเป็นคลื่นที่สูงกว่า10 เมตรเต็ม คลื่นลูกยักษ์คำรามซัดโครมลงบนผิวน้ำทะเล พลังมหาศาล!
……………………………………….