ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 939 ทฤษฎีหกช่วงคน
ฉินสือโอวไม่ได้สำรวจต่อไปอีก เกรตแบร์ริเออร์รีฟขึ้นชื่อเรื่องแนวปะการัง ถ้าลงลึกไปอีกจะต้องพบกับโลกใต้ทะเลที่เต็มไปด้วยสีสันมากมายแน่ แต่ว่าเขาเพียงแค่อยากเห็นแนวปะการังสีสันสวยงามแถวริมทะเลมากกว่า เมื่อตอนนี้ไม่สามารถเห็นได้ เขาจึงสบายใจขึ้น ไม่ว่าอย่างไรทะเลแนวชายฝั่งของฟาร์มปลาของเขาก็สวยกว่า!
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ในใจท่านฉินก็รู้สึกดีขึ้นมา
พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านหลัง ถามว่า “คุณผู้ชายคะ ไม่ทราบว่าคุณต้องการดื่มอะไรดีคะ? น้ำผลไม้ ไวน์แดง กาแฟเย็น ชาเย็น หรือว่าคุณต้องการจะทานอะไรอย่างอื่นคะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่าขอน้ำเปล่าให้ผมแก้วหนึ่งก็พอครับ จากนั้นพนักงานจึงเดินมาพร้อมกับแก้วคริสทัลที่รินน้ำดื่มไว้แก้วหนึ่ง
มองดูแก้วคริสทัลแล้ว ฉินสือโอวก็พลันนึกถึงตอนที่ยังอยู่ที่เมืองไหเต่าเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาถูกตำรวจเรียกไปพบกับเออร์บักที่สถานีตำรวจ และที่นั่นเองที่เออร์บักได้ใส่จี้หัวใจโพไซดอนลงไปในแก้วคริสทัลที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตที่แปลกพิสดารของเขา
ระหว่างที่จิบน้ำเปล่าอยู่นั้น ฉินสือโอวก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้ว่า “ชีวิตคนเป็นดั่งความฝันจริงๆ…”
“สวัสดีค่ะ คนจีนหรือเปล่าคะ?” เสียงหวานเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกลนัก ฉินสือโอวเอียงคออย่างแปลกใจ มองไปที่สระว่ายน้ำข้างๆ เห็นผู้หญิงผมทองรูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนได้รูปคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้ม
ผู้หญิงคนนี้มีรูปร่างเหมือนนางแบบ เอวเล็กคอด ขาเรียวยาว เมื่อลมทะเลโชยมา ก็พัดเอาเส้นผมปลิวไสวไปตามสายลม ดวงตากลมสวย ฟันสีขาวผ่อง แววตาเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาของวัยสาว แต่หน้าตาดูอ่อนโยน ริมฝีปากแดงระเรื่อยิ้มมุมปากเล็กน้อย ราวกับกำลังหยอกเล่นใครอยู่
วิลล่าในรีสอร์ตแห่งนี้มีมากมายหลายรูปแบบ มีวิลล่าเดี่ยว วิลล่าแฝด วิลล่าแบบเป็นแถว วิลล่าที่สร้างแบบทับซ้อนกัน วิลล่าที่ฉินสือโอวพักอยู่นั้น ก็คือวิลล่าแฝด ตึกทั้งสองของวิลล่ามีพื้นที่ว่างส่วนตัวกั้นไว้ระหว่างกลาง แต่ใช้กำแพงกั้นเดียวกัน ทำให้สระว่ายน้ำด้านนอกกำแพงของทั้งสองตึกนั้นอยู่ชิดติดกัน
ฉินสือโอวไม่ได้สังเกตว่ามีคนออกมาจากวิลล่าข้างๆ ตอนไหน ยังดีที่เขาไม่ได้ทำเรื่องน่าขายหน้าลงไป จึงยืนขึ้นมาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แล้วทักทายกลับไปว่า “ผมชื่อฉิน เป็นคนจีนครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ…อ้อ คือผมหมายถึงว่า ผมไม่ได้รบกวนคุณใช่ไหมครับ?”
เขากะจะถามว่าอีกฝ่ายเป็นใครอย่างที่เคยทำบ่อยๆ แต่พลันนึกขึ้นได้ว่ามีวัฒนธรรมของบางประเทศ ที่ไม่ควรถามคำถามพวกนี้กับสุภาพสตรี แต่ทว่าเขาก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาคุ้นมาก คลับคล้ายว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
หญิงสาวไม่ได้ตอบเขาทันที เขามองไปที่รูปร่างของฉินสือโอวด้วยสายตาชื่นชม พยักหน้าแล้วพูดว่า “เป็นกล้ามเนื้อที่สวยงามนะคะ”
ฉินสือโอวออกกำลังกายทุกวัน จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ช่วยพัฒนาร่างกายของเขาอยู่ตลอดไม่ขาด เมื่อสองอย่างนี้รวมกัน ทำให้กล้ามเนื้อบนตัวเขานั้นชัดเจนมาก เขาอาจไม่ได้มีรูปร่างกำยำเหมือนกับผู้ชายชาวอเมริกันเหนือ แต่ว่ารูปร่างสันทัด บวกกับการต้องออกทะเลตากแดดเป็นประจำจนผิวกลายเป็นสีแทน ทำให้มีเสน่ห์น่าดึงดูดเป็นที่สุด
ผู้หญิงสวยและเซ็กซี่ล้วนสามารถดึงดูดเพศชายได้ ฉินสือโอวเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นจึงรู้สึกสนใจผู้หญิงสวยเป็นธรรมดา แต่ว่าเขาไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงอย่างฉงต้า เขายังมีการหักห้ามใจอยู่ แถมมีมากด้วย จึงไม่ได้ตอบกลับไป เพียงยิ้มๆ แล้วนั่งลงไปในน้ำต่อ
“โอ้ เป็นเด็กหนุ่มขี้อายเสียด้วย คุณบรรลุนิติภาวะแล้วใช่ไหมคะ? ฉันคิดว่าคุณต้องบรรลุนิติภาวะแล้วแน่เลย ใช่ไหมคะ?” เมื่อเห็นฉินสือโอวหลบหน้า ผู้หญิงจึงพูดหยอกเขาขึ้นมา
ท่านฉินรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา หมายความว่าอะไรกัน จะจีบฉันหรือไง? เหอๆ ฉันรอวันนี้มาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็มีสาวฝรั่งอยากจีบฉันแล้ว…
ในใจรู้สึกได้ใจ แต่ไม่ได้แสดงออกไปทางสีหน้า เขาพูดเล่นตอบกลับไปว่า “ผมบรรลุนิติภาวะแน่นอนแล้วสิครับ ไม่อย่างนั้นใครจะมาจ้างผมเป็นบอดี้การ์ดล่ะครับ? ความจริงแล้วผมเป็นบอดี้การ์ดครับ เป็นทหารชาวจีน รู้จักไหมครับ?”
เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่รู้ว่ามีสาวต่างชาติบางคนที่มักจะอยู่ในสังคมระดับสูงเพื่อจับปลาใหญ่ เขาจึงหาข้ออ้างมาปิดบังฐานะตัวเอง ถ้าหากว่าสาวคนนี้คิดจะมาจับปลาใหญ่แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคงจะไม่สนใจบอดี้การ์ดอย่างแน่นอน
ก่อนจะมาเขาได้ยินเจนนิเฟอร์บอกว่า แขกที่บริษัทเอ็กซ์เพรสเชิญมานั้นส่วนมากจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอายุสี่สิบขึ้นไปทั้งนั้น คนที่ยังหนุ่มสาวนั้นมีน้อยมาก คนที่อายุน้อยกว่าสามสิบนั้นก็มีแค่เขาคนเดียว เรื่องนี้บวกกับรูปร่างของเขาแล้ว การจะบอกว่าตัวเองเป็นบอดี้การ์ดของเหล่าเศรษฐีจึงเป็นความคิดที่ดีทีเดียว
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวก็เปล่งประกายทันที เธอกระโดดลงไปในสระว่ายน้ำมองไปราวกับปลาสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ใช้เวลาไม่นานก็ว่ายมาอยู่ข้างๆ เขาแล้ว เธอพาดตัวไว้ที่กระจกอย่างดีใจแล้วถามว่า “คุณเป็นบอดี้การ์ดเหรอคะ? อ้อ แน่นอนว่าฉันรู้จักค่ะ บอดี้การ์ดจากจงหนานไห่เหรอคะ? หรือว่าทหารรักษาชาติ? คุณเก่งเท่าพวกเขาไหมคะ?”
ฉินสือโอวยักไหล่ ทำท่าชกกำปั้นออกไป เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนเป็นมัดๆ ชัดเจน แล้วก็พอดีกับตอนที่ปล่อยกำปั้นออกไปนั้นมีคลื่นทะเลสาดมาโดนตัวเขา ทำให้ยิ่งดูสง่างามน่าเกรงขามที่สุด!
“ว้าว! พระเจ้า คุณเก่งจัง!” หญิงสาวตื่นเต้นขึ้นมามากกว่าเดิมจนสีหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา “คุณเป็นบอดี้การ์ดของใครคะ? ลองพูดมาหน่อยสิคะ ดูว่าฉันจะรู้จักหรือเปล่า”
ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดว่า “ขอโทษนะครับ กฎข้อแรกของบอดี้การ์ดอย่างพวกผมก็คือ ห้ามเปิดเผยข้อมูลของผู้จ้างวานเด็ดขาด ความจริงแล้ว พวกผมก็ไม่ควรสนทนากับคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยนะครับ ลาก่อนนะครับ คุณผู้หญิงคนสวย หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกนะครับ”
เขาเห็นพวกเหมาเหว่ยหลงพูดคุยกันสนุกสนานแล้วเดินมาพอดี จึงไม่อยากให้เจ้าพวกนี้เข้าใจผิด จึงรีบเดินจากไป
หลังจากอาบน้ำจืดแล้ว ฉินสือโอวเดินออกมา เหมาเหว่ยหลงก็พูดขึ้นด้วยท่าทีตื่นเต้นว่า “ทายสิเมื่อกี้ฉันเจอใครมา? แกต้องทายไม่ถูกแน่นอน ไอ้หนู ฉันจะใบ้ให้นะ เป็นเทพสาวท่านหนึ่ง”
“ใคร? นางพญางูขาวเหรอ?” ฉินสือโอวพูดหยอกกลับไป
นางพญางูขาวที่นำแสดงโดยจ้าวหย่าจือนั้น เป็นไอดอลของเขามาโดยตลอด ความจริงแล้วจุดสำคัญที่วินนี่ได้ใจเขาไป ก็เพราะเธอมีส่วนคล้ายนางพญางูขาวด้วย อ่อนหวานอ่อนโยน ทั้งยังเป็นกุลสตรีด้วย
เหมาเหว่ยหลงกลอกตาทีหนึ่ง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยี่สิบปีที่แล้วอาจถือว่านางพญางูขาวคือเทพองค์หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้เป็นไม่ได้แล้วล่ะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ให้ตายเถอะ ตอนเด็กที่ฉันดูเรื่องตำนานนางพญางูขาวนั้น ยังเคยสาบานว่าจะขอนางพญางูขาวเป็นเมียเลย แค่พริบตาเดียว ฉันจะเป็นพ่อคนแล้ว!”
ทั้งสองคนพากันนึกย้อนวันเวลาเก่าๆ กัน ทำเอาลืมเรื่องเทพสาวที่พูดก่อนหน้าไปเสียสนิท
งานประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสมักจะจัดขึ้นตอนกลางคืน แขกทุกคนไปถึงงานกันตอนกลางวัน แต่ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงกลับออกไปเที่ยวกันแทน พวกเขาเห็นรถบัสสวยหรูหลายคันพากันขับเข้ามา มีคนดังคนหนึ่งเดินออกมา
ที่อเมริกามีสำนวนอยู่ประโยคหนึ่งว่า เราสามารถรู้จักคนทั้งโลกได้โดยผ่านการพูดคุยกับคนหกคน
สำนวนนี้ไม่ได้ไร้สาระเลย แต่เป็นบทสรุปที่ได้มาจากการทดลอง ในปี 1967 นักจิตวิทยาทางสังคมที่มีชื่อเสียงของอเมริกา สแตนลีย์ มิลแกรมได้ทำการทดลองในเนแบรสกา โดยการคัดคนมา 100 คน เขาส่งพัสดุไปให้ทุกคนคนละหนึ่งชิ้น ส่วนชื่อผู้รับบนกล่องพัสดุนั้นเป็นนักเล่นหุ้นคนหนึ่งในบอสตันที่พวกเขาไม่รู้จัก
ในกล่องพัสดุเขาได้แนบคำอธิบายไว้ด้วยว่า ขอให้ทุกคนช่วยนำพัสดุนี้ส่งไปให้กับคนที่พวกเขาคิดว่าน่าจะรู้จักผู้รับคนนี้ จากนั้นค่อยส่งต่อไป สุดท้ายมีพัสดุประมาณ 1/3 ที่สามารถส่งไปให้ผู้รับบนจ่าหน้าได้ถูกต้อง และจำนวนครั้งที่พัสดุเหล่านี้ถูกส่งก่อนที่จะถึงมือผู้รับได้ถูกต้องนั้นก็ไม่เกิน 6 ครั้งเลย
เรื่องพวกนี้หลายๆ คนคงเคยได้ยินมาแล้ว แต่ที่คนไม่รู้ก็คือ มิลแกรมได้ทำการวิเคราะห์พัสดุที่ถูกส่งได้ถูกต้องทุกชิ้นด้วย ระหว่างที่เขาวิเคราะห์พัสดุเหล่านี้อยู่นั้น พบว่าพัสดุเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกส่งผ่านคนเนแบรสกาสามคน
เรื่องนี้บ่งบอกอะไรได้บ้าง?
…………………………………………………