ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 979 ตีกันแล้ว
สถานการณ์วิกฤตยิ่งกว่าที่ฮิวจ์พูดเสียอีก
ฉินสือโอวอยู่ปลอบใจพวกวัยรุ่นที่ร้านสะดวกซื้อ เขาโทรหาแฮมเล็ตแล้วพูดว่า “บริษัทดาวเคมิคอลจะมาทำโรงงานเคมีบัดซบบนเกาะ คุณเป็นนายกเทศมนตรีนะ ไม่มีอำนาจยับยั้งเลยเหรอ?”
แฮมเล็ตพูดอย่างจนใจ “ถ้าพวกเขาขอสร้างโรงงานเคมีขึ้นมาใหม่ฉันก็สามารถยับยั้งได้ แต่แม่เอ๊ย ไอ้พวกนี้มันฉลาดเหลือเกิน พวกมันซื้อโรงงานจากโรงงานเคมีชุนเทียน ขอเพียงได้รับหนังสืออนุญาตให้เปิดสายการผลิตใหม่ก็จะสามารถเปิดโรงงานเคมีขึ้นมาอีกครั้งได้”
ฉินสือโอวพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ต่อต้านพวกเขาสิ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเอาหนังสืออนุญาตมาได้!”
แฮมเล็ตยิ่งจนใจมากขึ้น “แต่หนังสืออนุญาตฉบับนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนอนุญาต รัฐบาลเมืองอย่างพวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย! และพวกเขาก็ได้มันมาแล้วด้วย!”
บริษัทดาวเคมิคอลฉลาดมาก พวกเขาทำไปแล้วค่อยมาบอกทีหลัง ด้านนี้ทำท่ามาสำรวจความเห็นคนในเมืองอีกด้านก็เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว แค่รอให้สายการผลิตพร้อมดำเนินการ ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่นึกถึงความเห็นของชาวเมืองเพราะขั้นตอนของพวกเขาถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
แม้พวกฮิวจ์จะยังบีบบังคับให้พวกเขาออกไป พวกเขาก็ไม่สนใจ
ฉินสือโอวถามด้วยเสียงทุ้ม “ก็คือว่าเงินจำนวนห้าสิบล้านที่ผมช่วยให้คุณได้เป็นนายกเทศมนตรีนี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยใช่ไหม?”
เขารู้สึกผิดหวัง หลังจากที่แฮมเล็ตได้เป็นนายกเทศมนตรีแล้ว เขายังไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากการลงทุนทางการเมืองนี่เลย แม้เจ้านี่จะตั้งใจให้เขาลงเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการเมืองแต่ฉินสือโอวก็ไม่ได้สนใจอยู่ดี
นับว่าแฮมเล็ตยังมีมโนธรรมหรือพูดได้ว่าเขาไม่อยากเสียพันธมิตรที่มีอำนาจอย่างฉินสือโอวไปจึงรีบพูด “เรื่องนี้ฉันช่วยได้แน่ๆ แต่แค่ไม่มีวิธีช่วยตรงๆ ฟังฉันนะฉิน การจะรับมือกับบริษัทดาวเคมิคอลมันก็มีวิธีอยู่ นั่นคือการยื้อเวลา!”
“ยื้อเวลา? นี่นับเป็นวิธีเหรอ?”
แฮมเล็ตอธิบาย “บริษัทดาวเคมิคอลซื้อโรงงานและได้เงินกู้จากธนาคารแล้ว พวกเขาเริ่มลงทุนแล้ว แต่เพียงแค่สายการผลิตของพวกเขาไม่มีวันได้ก่อสร้าง อย่างนั้นก็จะไม่มีวันได้กำไร สำหรับนักธุรกิจแล้วนั่นก็หมายถึงการขาดทุน”
“ไม่ต้องสงสัยเลย โรงงานเคมีต้องมีมลพิษอยู่แล้ว แล้วทำไมชาวเมืองจะรวมกลุ่มกันเองเพื่อต่อต้านการก่อตั้งโรงงานเคมีไม่ได้ล่ะ? ขอเพียงชาวเมืองปิดท่าเรือไว้ ฉันก็ไม่เห็นวิธีที่พวกมันจะขนส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์มาที่เกาะได้ ใช้การขนส่งทางอากาศเหรอ? ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็ต้องให้กองทัพอากาศทำงานให้ถึงจะทำได้”
ฟังความคิดนี้แล้ว ไม่ว่าฉินสือโอวจะคิดยังไงมันก็เป็นความคิดที่แย่มาก เขาถามอย่างสงสัย “ท่านนายกเทศมนตรี นี่คุณกำลังยุให้ผมต่อต้านรัฐบาลเหรอ?”
ถ้าพวกเขาปิดท่าเรือและไม่อนุญาตให้โรงงานเคมีที่ได้รับอนุญาตไปแล้วเริ่มก่อสร้าง อย่างนั้นก็รอรับมือกับรัฐบาลได้เลยหรือที่เรียกว่าการประท้วงที่รุนแรง
แฮมเล็ตรีบพูดเสริมว่า “ไม่ สิ่งที่ฉันจะช่วยนายก็คือตรงจุดนี้แหละ ตอนที่นายกำลังต่อสู้กับโรงงานเคมี พวกมันจะต้องให้นายกเทศมนตรีมาช่วยจัดการ แต่ฉันจะปฏิเสธและฉันเองก็จะไม่เซ็นคำสั่งให้ตำรวจไปจัดการด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็จะทำได้แค่เลื่อนออกไป”
“อีกอย่างนะฉิน ที่จริงนายเองก็มีทรัพยากรที่ใช้ได้อยู่เยอะ อันดับแรกฉันได้ตรวจสอบมาแล้วว่าธนาคารที่บริษัทดาวเคมิคอลกู้ในครั้งนี้คือธนาคารมอนทรีออล อันดับต่อไปนายมีทหารลาดตระเวนที่สามารถเรียกใช้งานได้ อย่าลืมสิว่ากองทหารลาดตระเวนของนายก่อตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร!”
ฟังถึงตรงนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกโล่งใจที่เงินห้าสิบล้านนั้นไม่ได้เสียเปล่า การพิจารณาปัญหาอย่างนักการเมืองของแฮมเล็ตช่างเฉียบแหลมจริงๆ ช่วยเขาคิดในด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร เรื่องของพลเมืองไว้หมดแล้ว เขาแค่ต้องดำเนินการไปเท่านั้น
ใช่แล้ว ทำไมเขาถึงได้มีกองทหารลาดตระเวนล่ะ? เพราะฟาร์มของเขาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเต่ามะเฟือง ทหารลาดตระเวนมีไว้เพื่อดูแลแหล่งอาศัยนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถให้โรงงานเคมีขึ้นฝั่งมาที่เกาะได้ ไม่อย่างนั้นน้ำเสียที่ระบายออกมาจะทำลายแหล่งอาศัยแห่งนี้ไป จะทำอย่างไร?
พอเข้าใจเหตุผลนี้แล้วเขาก็ขอบคุณแฮมเล็ตแล้วกลับบ้านไปอย่างสบายใจ
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ฉินสือโอวคาดเอาไว้ หลังจากที่คนของบริษัทดาวเคมิคอลเข้ามาที่เกาะได้สองวันก็มีเสียงที่ฟังดูกังวลใจของคาร์สันดังขึ้นมาจากในวิทยุสื่อสาร “มาที่ถนนกลางกันให้หมด เวรเอ๊ย พวกฮิวจ์คนน้องตีกันแล้ว!”
หลังจากที่ได้รับวิทยุฉินสือโอวก็ตะโกนเรียกแบล็คไนฟ์ เหล่าทหารลาดตระเวนและชาวประมงที่พักผ่อนอยู่ให้รีบลุกขึ้นมา รถกระบะสี่คันมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองอย่างยิ่งใหญ่ นำหน้าด้วยรถฟอร์ด F650 ที่ไร้เทียมทาน
ในเมืองมีเสียงโหวกเหวกของผู้คนและมีคนกลุ่มหนึ่งที่ล้อมใจกลางถนนไว้พร้อมกับตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
“โรงงานเคมี ไสหัวออกจากเมืองเราไปซะ!!”
“ระเบิดหัวมันเลย! ชัคใช้ปืนนายระเบิดหัวมันเลย!”
“กล้ามาทำคนของเราเหรอ? ไอ้เวรเอ๊ย!”
“ให้ตำรวจไปให้พ้น! เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง!”
แม้คนจะเยอะแต่รถในเมืองมีไม่เยอะ เพราะรถส่วนมากต้องจอดไว้ที่ลานจอดรถของท่าเรือ จะขับมาที่เกาะไม่ได้ และพื้นที่ของเกาะแฟร์เวลก็มีเท่านี้ ขับเข้ามาก็ไม่มีประโยชน์อะไร
รถกระบะขับมาที่ถนนได้โดยไม่มีอะไรขวาง ฉินสือโอวกระโดดขึ้นหน้ารถแล้วมองเข้าไปด้านในเห็นสารวัตรโรเบิร์ตและลูกน้องที่เหมือนลูกหมาลูกแมวกำลังคุ้มครองคนของบริษัทดาวเคมิคอล ฮิวจ์คนน้องเลือดกำเดาไหลตัวเปียกไปด้วยน้ำที่ละลายจากหิมะและเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ก็ตัวมอมแมม
ชาร์คกดเปิดแตรอย่างแรงแล้วเสียงแสบแก้วหูจากแตรของรถ F650 ก็ดังขึ้น ดังยิ่งกว่าแตรรถบรรทุกเสียอีก
คนที่เข้าใกล้รถกระบะพากันเงียบพลางเอามือปิดหูในขณะที่คนอื่นๆ ค่อยๆ หันมามอง พอเห็นฉินสือโอวที่นั่งยองๆ อยู่ที่หน้ารถกระบะก็หลีกทางให้
พอฮิวจ์คนน้องเห็นฉินสือโอวก็ถือไม้เบสบอลเดินมาหาอย่างฉุนเฉียว “เวรเอ๊ย พี่ฉิน ฟาดไอ้พวกเวรนี่เสียเถอะ พวกมันทำเกินไปแล้ว…”
“หุบปาก!” ฉินสือโอวพูดออกไปโดยพลัน เขากระโดดลงจากรถแย่งไม้เบสบอลมาแล้วเขวี้ยงทิ้งไป ไม้เบสบอลที่หนักหน่วงลอยเคว้งไปบนฟ้าไม่รู้ว่าถูกโยนไปถึงไหน
เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวแสดงด้านรุนแรงออกมาในเมืองนี้ ที่ผ่านมาเขาเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาตลอด ไม่ว่าจะทักทายกับใครเขาก็จะยิ้มให้ก่อนพูดเสมอ
คนที่สุขุมเวลาโกรธจะรุนแรงมากกว่า โดยเฉพาะชายร่างใหญ่และเหล่าชาวประมงที่โกรธอย่างเห็นได้ชัดที่อยู่ข้างๆ คนที่ดูสุขุมคนนี้
ฉินสือโอวเดินไปตรงหน้าพนักงานจำนวนสิบกว่าคนของบริษัทดาวเคมิคอลแล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใครคือหัวหน้า?”
ชายหนุ่มผมยุ่งเหยิงคนหนึ่งถามอย่างระวัง “คุณเป็นใคร? หาตัวหัวหน้าของพวกเราทำไม?”
ฉินสือโอวไม่สนใจชายหนุ่มคนนี้ เขามองคนกลุ่มนั้นอย่างเย้ยหยัน “บริษัทดาวเคมิคอลเป็นบริษัทชื่อดัง แต่คนเป็นหัวหน้าปอดแหกขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่กล้าแม้แต่จะออกมาคุยกับผม?”
พอได้ฟังที่เขาพูด ชายจมูกโตวัยกลางคนก็ออกมาพร้อมถาม “คุณอยากคุยอะไร?”
ฉินสือโอวชี้ไปที่เออร์บักที่มาด้วยกันแล้วพูดว่า “เรื่องวันนี้ผมไม่สนว่าใครถูกใครผิด ถ้าพวกคุณต้องการฟ้องร้อง ทนายของผมจะดูแลให้ ต่อไปพวกคุณไม่ต้องมาที่เกาะนี้อีก พวกเราไม่ต้อนรับพวกคุณ”
…………………………………………………