ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 98 สมาชิกใหม่
หลังจากฉินสือโอวปฏิเสธ เออร์บักก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่มีท่าทีเงียบไป ฉินสือโอวแสร้งทำทีว่าไม่เห็น เขายังไม่ได้เตรียมใจที่จะใช้ชีวิตกับเด็กๆ จริงๆ!
ข้างนอกบ้านพัก หลังรอเออร์บักเดินเข้าไปในบ้านแล้วเด็กทั้งสี่คนก็เริ่มสวาปามอาหารกันต่อ กินจนข้าวในจานหมด ไส้กรอกและไข่ดาวก็หมด ถึงแม้จะยังไม่หายอยาก แต่เมื่ออิ่มแล้วก็ต้องยอมหยุด
เด็กผู้หญิงเก็บจานและช้อนส้อม ยืนกล้าๆ กลัวๆ อยู่หน้าประตูแล้วถามว่า “สวัสดีค่ะคุณ ห้องครัวอยู่ไหนคะ? หนูจะล้างจานให้ค่ะ”
ฉินสือโอวหัวเราะพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันมีเครื่องล้างจาน เธอวางไว้ที่โต๊ะแล้วกัน”
เด็กผู้หญิงก้มลงมองรองเท้าและถุงเท้าที่สกปรกของเธอ แล้วนำจานชามไปวางไว้ตรงโต๊ะในห้องรับแขกอย่างเงียบๆ
ฉินสือโอวรู้ว่าคำพูดตัวเองคงจะทำให้เด็กผู้หญิงเข้าใจผิดเป็นแน่ จึงลุกขึ้นมาพาเธอไปที่ห้องครัว พูดว่า “แน่นอน ถ้าหากเธอยืนยันที่จะล้างก็ย่อมได้ อย่างไรเสียเครื่องล้างจานก็ล้างได้ไม่สะอาดเท่าไร”
เมื่อได้ยินคำนี้ เด็กผู้หญิงก็ยิ้มออกมา พูดด้วยเสียงชัดแจ๋วว่า “หนูจะล้างให้สะอาดหมดจดแน่นอนค่ะ”
เมื่อเก็บกวาดทุกอย่างแล้ว เด็กผู้หญิงก็เดินออกจากบ้านพัก เด็กทั้งสี่คนพักผ่อนสักพักก็ออกจากฟาร์มปลาไป
เออร์บักเดินไปที่หน้าประตูมองตามหลังพวกเขา แล้วถามว่า “ฉิน นายไม่อยากดูแลพวกเขาจริงเหรอ?”
ฉินสือโอวโบกปัดมือ ยิ้มตอบอย่างขมขื่นว่า “โถ คุณลุง ตัวผมเองผมยังดูแลได้ไม่ดีเลย แล้วนี่คุณดู ผมยังมีหู่จือ เป้าจือกับฉงต้า ผมยังต้องดูแลพวกมันอีกนะ”
นี่เป็นคำแก้ตัวขอไปทีทั้งนั้น ดีที่ฉงต้าเจ้าตัวก่อปัญหาช่วยไว้ ไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกับหู่จือและเป้าจือ อยู่ๆก็ส่งเสียงร้องหงิงหงิงแล้วนอนดิ้นอยู่กับพื้น ฉินสือโอวจีงรีบวิ่งไปปลอบมัน
คำเตือนของเออร์บักนั้นมาได้ทันเวลา ตอนเช้าอากาศยังดีอยู่แท้ๆ แต่พอผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ท้องฟ้าของทะเลฝั่งตอนใต้ของฟาร์มปลาก็เริ่มครึ้มขึ้นมา ก้อนเมฆสีดำเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน แลดูเหมือนแผ่นตะกั่วกำลังทับอยู่บนผืนน้ำทะเล
เมฆดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว สีของท้องฟ้าด้านบนฟาร์มปลาก็เริ่มครึ้มตาม ความรู้สึกที่เมฆดำกำลังปกคลุมทั่วเมืองยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดูเหมือนจะมีฝนตกหนักเสียแล้ว” วิลเดินเข้ามาพูดว่า “งานคงต้องพักไปก่อนนะฉิน หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
ฉินสือโอวตอบรับอย่างทันทีว่า “ไม่เป็นไร พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ รอสภาพอากาศดีแล้วค่อยมาทำต่อก็ได้ ผมไม่รีบใช้ท่าเรือ”
หลังวิลเดินจากไป เออร์บักก็พูดว่า “ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน”
ตอนนี้ ข้างนอกเริ่มมีลมพัดแล้ว ลมทะเลเปลี่ยนจากสายลมที่อบอุ่นสบายใจ กลายเป็นสายลมแรงพัดโชกมา พัดจนใบไม้ต้นไม้ต่างก็ส่งเสียง’ฟิ้วฟิ้ว’
จากนั้นไม่กี่นาที เม็ดฝนก็ลงมา ใช้เวลาไม่นาน เม็ดฝนก็กลายเป็นห่าฝน
“ผมว่าคุณอย่าเพิ่งกลับเลย” ฉินสือโอวพูดรั้ง “อยู่ทานมื้อกลางวันที่นี่กัน”
เขารู้สึกว่าคุณลุงมาหาเขาในครั้งนี้ไม่น่าจะเพียงแค่มาบอกถึงสภาพอากาศให้เขารู้เท่านั้น ขอเถอะ ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ต่างก็เป็นชาวประมงมานาน เรื่องแบบนี้ถึงแม้รัฐบาลไม่ประกาศ มีหรือที่เขาจะไม่รู้?
แต่ว่า ในเมื่อคุณลุงเขาไม่พูด เขาก็เดาไม่ออกว่าที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ไม่ล่ะ ฉันยังไม่ได้ปิดหน้าต่างที่บ้านเลย” เออร์บักปฏิเสธ “ฉันต้องรีบกลับไป”
ฉินสือโอวกางร่มออก พูดว่า “งั้นคุณอย่าขับบีเอ็มเลย ผมไปส่งเอง รถเอสยูวีปลอดภัยกว่า”
ถนนจากฟาร์มปลาไปยังเขตเมืองเป็นถนนดิน พอฝนตกก็เป็นโคลนไปหมด รถบีเอ็มตัวรถต่ำเกินไป บางที่ที่มีหลุมบ่อขับไปอันตรายมาก อีกอย่างถนนแบบนี้ก็สามารถลื่นได้ง่ายอีกด้วย
ตัวรถใหญ่ของคาลดิลแลควันวิ่งฝ่าห่าฝนไป ด้านนอกทั้งฝนสาดทั้งลมพัด แต่ด้านในรถกลับอบอุ่นและปลอดภัย
ในขณะที่ขับรถออกจากฟาร์มปลา เออร์บักพูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เฮ้ย ฉิน หยุดรถ!”
ฉินสือโอวรีบเหยียบเบรกทันที มองตามสายตาของเออร์บัก ใต้ต้นเมเปิลข้างนอกฟาร์มปลา พวกของเด็กผิวสีดำทั้งสี่คนยืนกลัวหลบฝนกันอยู่ ดูอย่างกับฝูงนกกระทาที่น่าสงสาร
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า แต่หลบฝนใต้ต้นไม้แบบนี้ก็ยังคงอันตรายอยู่ดี ฉินสือโอวหยิบร่มขึ้นมาพูดว่า “ผมลงไปพาพวกเขาออกมา…”
เออร์บักดึงแขนเขาไว้ แล้วพูดว่า “พอนายพาพวกเขาออกมา จะส่งพวกเขาไปไหน?”
ฉินสือโอวพูดไม่ออก เออร์บักนิ่งไปสี่ห้าวินาทีแล้วพูดว่า “ฉิน ฉันจะรับเลี้ยงพวกเขา”
พอพูดจบ เขาก็ซึมลงอีก แล้วพูดว่า “ฉันแก่แล้ว คงดูแลพวกเขาได้ไม่นาน อีกอย่างเด็กสี่คน ฉันก็คงไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ดีครบทุกด้าน”
ฉินสือโอวอึ้งกับคำพูดของเออร์บัก กลืนน้ำลายอย่างลำบาก พูดว่า “นี่คุณไม่ได้พูดจริงใช่ไหม? คุณลุง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ!”
เออร์บักส่ายหัว ดึงร่มมาแล้วเดินลงรถ ท่ามกลางลมพัดฝนกระหน่ำ แต่แผ่นหลังของคุณลุงกลับผงาดดั่งหินผา และมั่นคงดั่งภูเขา
ฉินสือโอวตบมือไปที่พวงมาลัยรถอย่างเหลืออด ถ้าหากไม่มีพายุฝนที่มาอย่างกะทันหันนี้ เรื่องนี้ก็คงล่องลอยหายไปเหมือนเมฆแล้วแท้ๆ แต่พายุฝนนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
“ดูท่าแล้ว เทพตาแก่บนสวรรค์ก็อยากให้เขารับเลี้ยงเด็กพวกนี้เหมือนกัน” ฉินสือโอวถอนหายใจ เขาจะให้คนแก่สูงอายุอย่างนั้นไปดูแลเด็กสี่คนที่อายุเพียงสิบกว่าขวบได้อย่างไร?
ฉินสือโอวขับรถเข้าไป เปิดประตูรถพูดว่า “ขึ้นรถ รีบขึ้นรถ!”
เด็กสี่คนล้อมตัวเออร์บักไว้ จ้องดูความหรูสง่างามของรถคาลดิลแลควันอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่มีใครกล้าขึ้นรถ
เออร์บักสะบัดมือให้ฉินสือโอว พยายามก้มตัวให้ต่ำแล้วพาเด็กสี่คนเดินไปทางฟาร์มปลา
“ให้ตายเถอะช่างหัวรั้นเสียจริง” ฉินสือโอวพูด ได้แต่ขับรถกลับไปโดยเร็ว จากนั้นก็หาร่มมาอีกสองคันวิ่งออกไปรับพวกเขา
เมื่อถึงบ้านพัก ทั้งหกคนต่างก็เปียกโชกไปทั้งตัว พายุลมฝนข้างนอกยิ่งตกยิ่งหนักหน่วง นับแต่ฉินสือโอวมาถึงเกาะแฟร์เวลยังไม่เคยเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายขนาดนี้มาก่อนเลย
ฉินสือโอวหาผ้ามาเช็ดตัว เด็กทั้งสี่คนเมื่อได้เห็นผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาด ต่างก็พากันเอามือไพล่หลังไว้ไม่กล้าแตะ หลังจากเปียกฝนแล้ว ทำให้กลิ่นตัวพวกเขายิ่งฉุนขึ้นไปอีก
“พาพวกเขาไปอาบน้ำก่อน” เออร์บักพูดพลางเช็ดตัวไปด้วย
บ้านพักมีห้องน้ำสองห้อง ปกติฉินสือโอวจะใช้แต่ห้องน้ำบนชั้นสอง แต่ห้องน้ำชั้นหนึ่งจะใหญ่กว่า เขาจัดการปรับอุณหภูมิน้ำ ให้เด็กผู้หญิงไปชั้นสอง เด็กชายสามคนอยู่ชั้นหนึ่ง
ฉินสือโอวกลับมา เห็นเออร์บักยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายตามองไปยังพายุฝนที่บ้าคลั่งข้างนอกอย่างใจลอย เสมือนกำลังตกอยู่ท่ามกลางห้วงความทรงจำ
พอฉินสือโอวเช็ดน้ำบนตัวจนแห้งแล้ว เออร์บักเรียกเขาไปหา พูดเสียงเบาว่า “ฉันยังไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้นายฟัง ฉิน นายอยากฟังไหม?”
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยลองสืบมาบ้างแล้ว แต่ซีมอนสเตอร์และชาร์คต่างก็ไม่สนิทสนมกับเออร์บัก บอกฉินสือโอวเพียงว่า เออร์บักเข้าเรียนโดยได้รับความช่วยเหลือของฉินหงเต๋อเท่านั้น
ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เออร์บักพูดกับเขาว่า “ความจริง นายจะเรียกฉันว่าลุงก็ได้นะ เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้าที่คุณปู่นายรับมาเลี้ยง พ่อแม่และครอบครัวของฉันคงจะเสียชีวิตไปในสงครามโลกครั้งที่สองโดยน้ำมือของทหารเยอรมันแล้ว เอาเป็นว่าตั้งแต่จำความได้ ฉันก็คือเด็กที่ไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องแล้ว”
“ตอนคุณปู่ฉินรับเลี้ยงฉัน เป็นช่วงที่มีสถานการณ์คับขัน เพราะการคุกคามของนาซีเยอรมัน ตอนนั้นชาวยิวทุกคนถูกมองว่าเป็นโรคระบาด มีหลายคนที่เห็นใจพวกเรา แต่ไม่มีใครกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับพวกเรา”
แต่ภายใต้สถานการณ์กดดันอย่างนั้น ฉินหงเต๋อกลับรับอุปการะและเลี้ยงดูเออร์บักน้อย ซ้ำยังปกปิดข้อมูลตัวเขา ต่อมาเพื่อที่จะให้เขาได้ฝึกการช่วยเหลือตัวเอง จึงส่งเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำ
ดังนั้นเริ่มแรกคนบนเกาะแฟร์เวลจึงไม่ค่อยรู้จักเขามากนัก แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีเวลาว่างเยอะ จำนวนครั้งที่เขากลับมาเกาะแฟร์เวลจึงมากขึ้น คนบนเกาะจึงเริ่มสนิทสนมกับเขา
ต่อมาก่อนที่ฉินหงเต๋อจะเสียชีวิต ก็ได้นำข้อมูลทั้งหมดของฉินสือโอวให้กับเขา ให้เขาคอยช่วยเหลือหลานแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันคนนี้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เออร์บักคอยช่วยเหลือเขาตลอดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
ชั่วชีวิตเออร์บักไม่เคยแต่งงาน ทำให้ไม่มีลูกหลาน แน่นอน ตอนนี้เมื่อเห็นเด็กเร่ร่อนสี่คนนี้ คงไปสะกิดต่อมความรักจากพ่อของเขา ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะอยากรับเลี้ยงเด็กพวกนี้ขึ้นมา
ฉินสือโอวรู้สึกจนปัญหา ตาแก่คนนี้อยากจะรับเลี้ยงเด็กตอนไหนก็ได้ ทำไมต้องมามีความคิดนี้เอาวันนี้ หลายปีที่ผ่านมา เขาก็สามารถรับเลี้ยงเด็กได้ แต่ทำไมดันมาใจดีเอาวันนี้?
สิ่งที่เขามองไม่เห็นคือ มือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเออร์บัก ที่กำลังกำผลวินิจฉัยจากโรงพยาบาลเซนต์จอห์นฝูยินแน่นจนเส้นเลือดปูดเขียวขึ้นมา!
“ฉันอยากรับเลี้ยงพวกเขา ฉิน” เออร์บักพูด
“แต่จากอายุของคุณ คงไม่เหมาะดูแลเด็กแล้วนะ” ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนเขา ถึงแม้เออร์บักจะดูร่างกายกำยำ แข็งแรง แต่ยังไงเขาก็คือคนที่อายุเกินหกสิบปีแล้ว สำหรับเขาแล้วการดูแลเด็กนั้นคงยากลำบาก
เออร์บักพูดอย่างดึงดันว่า “พวกเขาไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ฉันเชื่อว่าคงไม่ได้เสียแรงอะไรมากมาย”
ฉินสือโอวเห็นความดึงดันของเออร์บัก ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พูดว่า “ช่างเถอะ ให้พวกเขาพักที่ฟาร์มปลานี้แหละ บ้านพักมีห้องว่างมากมาย ผมคิดว่าให้ผมดูแลพวกเขาน่าจะสะดวกกว่า”
เออร์บักพยักหน้า ขนคิ้วสีขาวโพลนนั้นผ่อนคลายลง เหมือนว่าปมในใจอะไรสักอย่างได้คลายออกแล้ว
…………………………………………