ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 101 ผู้การหลินเฟิง
บทที่ 101 ผู้การหลินเฟิง
และเป็นตอนนี้ที่กำไลสื่อสารของจางหยวนได้ดังขึ้นมา
จางหยวนได้ก้มลงไปอ่านข้อความ ก่อนที่จะถอดถอนลมหายใจและพูดออกมา “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าอยู่ดื่มกันไปก่อน เฉินเฉียงกับข้าคงต้องขอตัว”
หลังจากพูดจบ จางหยวนได้นำแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นขั้นต้นของเฉินเฉียงออกมาหนึ่งพันก้อน ก่อนที่จะโยนพวกมันให้หวังต้าหลู่ “เอาพวกนี้ไปและจัดสรรให้ดี แล้วก็จัดการให้เรียบเพราะพวกข้าคงไม่ได้กลับเข้ามาแล้ว”
“รับทราบครับกัปตัน ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นไป”
เมื่อได้แก่นคริสตัลมาแล้ว ใบหน้าของหวังต้าหลู่และคนอื่นๆก็เปล่งประกาย และไม่ใส่ใจว่าเฉินเฉียงและจางหยวนจะไปทำอะไรกันต่อแม้แต่น้อย
จางหยวนได้ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา ก่อนที่จะส่งแหวนคืนให้เฉินเฉียงและพอเขาเดินออกไป
“กัปตันจาง พวกเราจะไปไหนกัน”
“เหอะ พวกเราจะไปไหนกันได้อีก” จางหยวนได้ถามย้อนกลับมา “ข้าว่าไอ้หวู่เจียงคงไปรายงานเรื่องราวของเจิ้งตี้กับผู้การไปแล้ว”
“เจ้า ในฐานะที่เป็นคนที่เปิดโปงเจิ้งตี้และเป็นผู้สังหารมัน ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาเจ้าไปเป็นพยานเท่านั้น”
“อีกอย่าง เฉินเฉียง หากไม่มีการพูดถึงแผ่นพลังงานล่ะก็ นอกจากผู้การจะเอ่ยถาม เจ้าก็อย่าได้พูดมากไป เข้าใจรึเปล่า”
ประโยคสุดท้ายของจางหยวนนั้นจริงจังจนเฉินเฉียงทำได้เพียงพยักหน้ารับไว้ในทันที
“ว่าแต่เฉินเฉียง ทำไมเจ้าถึงได้ออกมาจากสำนักกัน อย่าบอกนะว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อทำภารกิจ”
ทั้งสองได้พูดคุยกันไประหว่างทาง
เฉินเฉียงได้พยักหน้ารับและพูดออกมา “ก็จริงที่ข้ารับภารกิจมาจากสำนักแต่ข้าไม่ได้คิดจะทำมันและกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่อาณานิคมเขาหมางระหว่างทางก่อนที่จะตรงมาที่นี่”
“เหลวไหลสิ้นดี”
จางหยวนอดไม่ได้ที่จะดุออกมาเมื่อได้ยิน “เฉินเฉียง เจ้าบอกกับข้าเองนะว่าจะมาเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยและต้องการสู้กับข้าเพื่อชิงธงนายพลเทียนเว่ยหลังเรียนจบจากสำนัก เจ้าลืมไปแล้วรึไง”
“ข้าย่อมไม่มีทางลืม” เฉินเฉียงได้ตอบกลับออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “สิ่งที่ข้ากล่าวไปแล้วข้าย่อมทำมันให้จงได้ แต่ในตอนนี้ข้าถูกบังคับอย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น”
“เจ้าหมายความว่ายังไง”
“ข้าได้รับแก่นโลหิตระดับราชามาจากผอ.เฉียน และคนอื่นๆในสำนักเองก็รู้เรื่องนี้ ระหว่างทางข้าเองก็ถูกไล่ล่าจากคนในสำนักมาโดยตลอด ข้าไม่มีทางเลือก เพื่อเลี่ยงการปะทะพวกนั้นข้าจึงต้องหนีออกมา”
เฉินเฉียงได้อธิบายประสบการณ์ที่ผ่านมาระหว่างทางของเขาอย่างไม่ปิดบังรวมถึงเรื่องแก่นโลหิตระดับราชา นี่แสดงให้เห็นว่าเข้าเชื่อใจว่าคนอย่างจางหยวนย่อมไม่คิดแย่งเขาไปอย่างแน่นอน
“หะ ผอ.เฉียนมอบแก่นโลหิตระดับราชากับเจ้าเนี่ยนะ นี่เจ้าไปรู้จักคนระดับเขาด้วยเหรอ ไม่สิ เขาสกุลเฉียนและเจ้านามสกุลเฉินนี่หว่า ถ้างั้น…..”
“เฮ้เฮ้เฮ้ นี่ท่านคิดไปถึงไหนเนี่ย” เฉินเฉียงเหลือกตามองจางหยวนในทันทีก่อนที่จะพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าแค่บังเอิญไปทำชื่อเสียงให้สำนักก็เท่านั้น แก่นโลหิตนี่คือรางวัลที่ข้าได้รับ”
“โอ้… เอาเถอะ เฉินเฉียง อย่าให้ใครรู้ว่าเจ้ามีมันก็แล้วกัน เข้าใจรึเปล่า”
“หากใครรู้เข้าล่ะก็ ไอ้พวกนั้นคงไล่ล่าเจ้าไม่ได้ต่างไปจากคนของสำนักอย่างแน่นอน”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าค่อนข้างจะมั่นใจเลยว่าผอ.เฉียนนั้นเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องแก่นโลหิตและเรื่องที่เจ้าไปทำภารกิจด้วยใช่ไหมล่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางยียวนของจางหยวนแล้ว เฉินเฉียงก็ทำได้เพียงพยักหน้าออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ตอนแรกข้าก็คิดว่าตาแก่นั่นจะกังวลว่าข้าจะเป็นภัยจนให้กำไลข้อมือหนึ่งวง แต่ที่ไหนได้ เขาบังคับขายข้าตั้งห้าพันแต้มคะแนนแน่ะ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ชูกำไลสื่อสารของสำนักที่เขาได้รับมาให้จางหยวนดู
“เฉินเฉียง นี่เจ้าเป็นลูกนอกสมรสของผอ.เฉียนรึเปล่าเนี่ย ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเขายอมขายมันให้เจ้าด้วยราคาแค่นั้น”
“…..อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่ากำไลนั่นมีค่าขนาดไหน อย่างน้อยๆมูลค่าของมันก็สมควรจะได้ครึ่งหนึ่งของแก่นโลหิตของเจ้าเลยนะ”
เฉินเฉียงรีบถามออกมาในทันทีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ไม่จริงน่า มันก็แค่มีแผนที่ละเอียดดีกับเข็มทิศที่แม่นยำเท่านั้น อ้อ เขาบอกว่ามันสามารถรับข้อมูลได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม นอกนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนี่นา”
“โฮ่….งั้นเหรอ งั้นมอบมันให้ข้า เจ้าเสนอราคามาได้เลย”
เมื่อเห็นจางหยวนมีท่าทางจริงจัง เฉินเฉียงก็ส่ายหัวตนเองอย่างถี่ยิบในทันทีก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่อ่ะ ผอ.สั่งว่าให้ข้าคอยรับข้อความจากเขาเพื่อที่จะไม่พลาดการประลองสี่สำนัก”
“เฉินเฉียง ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าเจ้าเป็นอะไรกับผอ.เฉียนกันแน่ ถ้าเป็นข้านะ ข้าจะหาโอกาสตรวจสอบเลือดของเจ้ากับเขาดูว่ามีความสัมพันธ์อะไรกันรึเปล่า”
เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงที่ดำมืด จางหยวนก็รีบพูดความเห็นออกมา “เอ้า ก็ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้าเนี่ยนะ แล้วผอ.ยังคาดหวังกับเจ้าถึงขนาดจะให้เข้าร่วมงานประลองสี่สำนักให้ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยแบบข้าล่ะว้า…”
ในตอนนี้จางหยวนยังคิดว่าเฉินเฉียงเป็นเพียงนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณที่พึ่งจะข้ามขั้นมาเพียงเท่านั้น เขาไม่ได้เก็บเรื่องที่ว่าทำไมเฉินเฉียงจึงสามารถสังหารเจิ้งตี้ได้เลยแม้แต่น้อย
หากเขารู้ว่าเขานั้นได้สังหารนักรับสายเลือดระดับกลางมาแล้วสองหน่อล่ะก็ เขาต้องหยิบยื่นตำแหน่งกัปตันของกองกำลังเทียนเว่ยในทันทีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม จางหยวนไม่ได้คิดจะคุยเล่นอีก เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าที่น่าสะพรึงกลัว “เฉินเฉียง เอาจริงๆข้าก็คิดว่าเจ้านั้นคิดถูกแล้วนะที่เลือกออกมาหาประสบการณ์ในโลกภายนอกแบบนี้ มีเพียงออกมาจากสำนักแล้วเท่านั้นถึงจะได้รับรู้ว่าโลกภายนอกนี้โหดร้ายขนาดไหน”
“และเป็นอย่างที่เจ้าว่า ต่อให้ต้องสังหารเจ้าเพื่อให้ได้แก่นโลหิตระดับราชามา ไอ้พวกในสำนักบางคนก็ยินดีที่จะทำ และแม้แต่คนในอาณานิคมของเจ้าพวกมันก็ไม่น่าจะละเว้น”
“หากอยู่แต่ในสำนัก จะไปรู้จักความดำมืดและโหดร้ายในจิตใจมนุษย์ได้เช่นไร”
“ความจริงแล้วภายในสำนักเองก็ไม่ได้ต่างจากสนามรบที่แท้จริงสักเท่าไหร่นัก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับด้านดำมืดของมนุษย์ เมื่อนำปัญหาสำนักมาเทียบแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากสวรรค์บนดิน”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ จางหยวนก็ไม่คิดจะพูดต่ออีกต่อไป เขาเงียบงันและนำพาเฉินเฉียงตรงไปยังตึกจอมพล
เฉินเฉียงเองก็เคยได้ยินเพียงชื่อของตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราเท่านั้น แต่ในวันนี้เขาก็ได้ประจักษ์กับตาว่ามันใหญ่โตราวกับอาณานิคมเขาหมางเลยทีเดียว
แม้แต่ยามที่อยู่ตรงประตูทางเข้าก็ยังเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณ
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าจางหยวนแม้แต่น้อย
นี่จึงไม่แปลกที่จางหยวนนั้น ในฐานะกัปตันกองกำลังแต่ยังต้องผ่านการตรวจสอบอีกหลายขั้นก่อนที่จะได้เข้าไป
แต่ถึงกระนั้น ส่วนสวนรับรองของตึกเองก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เพียงแค่เดินผ่านก็พบกับตึกจอมพลในทันที
ยังไงซะ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะมาใส่ใจในเรื่องนี้
เมื่อเฉินเฉียงตามจางหยวนเข้าไปในหอประชุม ที่นั่น นอกจากกัปตันกองกำลังคุนเผิงที่เขาเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็ยังมีนายพลอีกสองคนที่ปล่อยออร่าระดับที่เทียบเท่ากับอาจารย์ของเขาตอนที่อยู่ในหอประชุมในครานั้น แล้วก็มีผู้คุมจ้าวที่เขาเคยเห็นตอนภารกิจรังหมาป่ายืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่น่าจะเป็นของผู้การ
เฉินเฉียงเองจดจำผู้คุมจ้าวได้ขึ้นใจว่าก่อนหน้านี้เขาอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางตอนปลายและในตอนนี้เขาเองก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว
“หัวหน้ากองกำลังนายพลเทียนเว่ยผู้ล่วงลับ จางหยวน และเฉินเฉียง ทำความเคารพท่านผู้การ”
เมื่อเข้าไปในห้องประชุม จางหยวนได้ดึงให้เฉินเฉียงก้มลงต่ำในทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า จางหยวน เงยหน้าขึ้นแล้วมาพูดคุยกัน”
เสียงที่สุขุมนุ่มลึกได้ดังออกมา เฉินเฉียงได้เงยหน้าขึ้นมาและพบกับท่าทางเป็นกันเองของผู้นำแห่งตึกจอมพลแห่งนี้ ผู้การหลินเฟิง เขาดูเป็นชายหนุ่มที่ดูแล้วอายุยังไม่น่าจะถึงสามสิบปีดีนัก