ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 102 เข้าร่วมกองกำลัง
บทที่ 102 เข้าร่วมกองกำลัง
ที่ที่นั่งหลักของห้องประชุม ผู้การได้จ้องมองมายังเฉินเฉียงพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นศิษย์สำนักเต่าดำที่มีชื่อว่าเฉินเฉียงสินะ ข้าได้ยินมาจากหวู่เจียงว่าเจ้าเป็นคนเปิดโปงและสังหารคนทรยศเจิ้งตี้นั่นใช่รึเปล่า เจ้าพอจะแสดงพลังการบ่มเพาะของเจ้าได้รึเปล่า”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ไม่มีทางเลือกและทำได้เพียงยอมทำตาม เขาได้ปลดปล่อยพลังงานสายเลือดออกมาเคลือบร่างกายให้กายเป็นเกราะพลังงาน
หลังจากเห็นเกาะพลังงานนี้แล้ว สายตาของหลินเฟิงถึงกับกระตุกขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองราวกับดวงตาที่เปล่งประกาย เขาพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจและพูดออกมา “จางหยวน ศิษย์น้องของเจ้าคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ หึหึหึ”
ในระหว่างที่หลินเฟิงกำลังมองมายังเฉินเฉียงนั้น เฉินเฉียงเองก็ได้มองกลับไปยังผู้การหลินเฟิงเช่นเดียวกัน
และสายตาของหลินเฟิงเองก็เป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาก่อน
มันเป็นสายตาแบบเดียวกับผอ.เฉียนแห่งสำนักเต่าดำ
ผู้การหลินเองดูเหมือนว่าจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นพลังสายเลือดของเขา
“ผู้การหลินเฟิง…ท่าน….อยู่ในระดับราชางั้นเหรอ…”
นี่คือสิ่งที่เฉินเฉียงได้หลุดปากออกมาอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
“เจ้ากล้าดียังไง” ผู้คุมจ้าวผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆได้ตวาดออกมาดังลั่น
“เฉินเฉียง เจ้าเสียมารยาทเกินไปแล้ว ใครใช้ให้เจ้าพูดนามของผู้การต่อหน้าของทุกคนกัน”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อยพลางมองไปที่จางหยวนอย่างพูดอะไรไม่ออก
มันก็แค่ชื่อไม่ใช่รึไงกัน จะถือสาอะไรกันนักหนา
“หึหึหึ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
หลินเฟิงได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะยกมือขึ้นห้ามผู้คุมจ้าวและพูดออกมา
“เฉินเฉียง เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ในระดับราชาสงคราม จางหยวนบอกเจ้ารึ”
“ไม่ครับ” เฉินเฉียงได้ตอบกลับมาด้วยท่าทีจริงจัง
“ข้าเองได้เห็นสายตาของท่านผู้การ มันทำให้ข้านึกถึงสายตาของผอ.เฉียนที่ข้าเคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้ นี่จึงทำให้ข้าตกตะลึงจนเผลอพูดออกมา”
“ผอ.เฉียนเหรอ….อืมมมม เฉียนปิ่นสินะ พูดไปแล้วข้าก็ไม่ได้เห็นหน้าเขามาเป็นปีแล้ว ผอ.เฉียนของเจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่”
“เรียนท่านผู้การ ผอ.เฉียนท่านนั้นยังคง…มีชีวิตอยู่…ครับ สุขภาพยังแข็งแรงดีอยู่” เฉินเฉียงเองที่ได้ยินชื่อของผอ.เฉียนแล้วก็อดที่จะรู้สึกอารมณ์พุ่งปรี๊ดขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขานั้นยังถือว่าผอ.เฉียนนำปัญหามาสู่เขา นี่จึงทำให้เวลาเขาตอบเรื่องสุขภาพออกไปก็อดที่จะเน้นเสียงออกมาอย่างไร้ความเคารพยำเกรงเพื่อระบายความโกรธเคืองออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า เขายังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเหรอ อื้มๆ หากเฉียนปิ่นได้ยินคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลินเฟิงได้หัวเราะต่อไปอีกก่อนจะกระแอมและพูดต่อ
“จางหยวน หวู่เจียงได้บอกเรื่องราวทั้งหมดกับข้าแล้วว่าเจิ้งตี้เป็นสายลับ อย่างไรก็ตาม ข้าต้องการรู้ความจริงว่าเจ้านั้นใช้วิธีการใดในการสอดแนมศัตรูในครั้งนี้ แล้วจริงรึเปล่าที่แจ็คกัลนำทัพด้วยตัวเอง”
จางหยวนได้ก้มหน้าลงต่ำอย่างเคารพก่อนที่จะพูดออกมา “โปรดให้อภัยกับข้าในเรื่องนี้ด้วยท่านผู้การ ความเป็นจริงแล้ว ภารกิจในครั้งนี้ไม่ได้สำเร็จด้วยตัวข้าเอง”
“พวกเราเมื่อตอนนั้น ได้เข้าไปเพื่อทำการสอดแนมก็จริง แต่ยังที่ไม่ได้สอดแนมก็เป็นศิษย์น้องเฉินของข้าที่ได้เข้าแจ้งสถานการณ์ทั้งหมด พร้อมบอกข้าว่ากองกำลังของข้านั้นกำลังโดนปิดล้อม”
“โอ้” หลินเฟิงร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจก่อนที่จะหันไปมองเฉินเฉียงอีกครั้ง “เฉินเฉียง สิ่งที่จางหยวนพูดออกมาเป็นความจริงรึ”
“จริงครับท่านผู้การ แต่เดิมข้านั้นเพียงวางแผนจะตรงมาที่นี่ผ่านทางหุบเขาแห่งนั้น แต่ระหว่างที่ข้าดำดินพุ่งผ่านไปก็พบพวกมันอยู่ตลอดทางข้างบน ข้าผิดสังเกตก็เลยลองสอดแนมดู และนั่นทำให้ข้านั้นสามารถรถยืนยันได้ทั้งจำนวนและระดับการบ่มเพาะของพวกมันได้อย่างแม่นยำ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินเฟิงได้กระซิบกับผู้คุมจ้าวก่อนที่เขาจะเดินออกไป หลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้เปลี่ยนหัวข้อในทันที “เฉินเฉียง ข้อมูลที่เจ้าบอกมานี้สำคัญอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือตัวเจ้ายังสามารถสืบพบตัวตนที่แท้จริงของเจิ้งตี้ได้อีก นี่ทำให้พวกเราไม่เพลี่ยงพล้ำสูญเสียไพร่พลไปอย่างไม่จำเป็น”
“อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ข้ายังไม่เข้าใจ เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามีไส้ศึกในกองกำลังคุนเผิง อีกทั้งเรื่องสถานะของเจิ้งตี้นั่นอีก เจ้าพอจะบอกได้หรือไม่”
เฉินเฉียงได้นิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านผู้การ หากข้าพูดเหตุผลที่ทำให้ข้ามั่นใจว่าเจิ้งตี้เป็นสายลับได้ยังไงนั้น ข้าเกรงว่าอาจจะทำให้ท่านนั้นคิดว่าข้าโกหกและจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการบ่มเพาะของข้า ข้าจึงขอให้ท่านไปผ่านเรื่องนี้ไปได้หรือไม่”
ความจริงแล้วกับเรื่องที่เขาเข้าใจภาษาสัตว์ประหลาดนั้นไม่ใช่อะไรที่เขาต้องปิดบัง อย่างไรก็ตาม หากเขายังเก็บสิ่งนี้เป็นความลับต่อไป เขาเชื่อว่านี่เป็นประโยชน์มากกว่าการที่จะมาเปิดเผยทักษะต่อหน้าทุกคนแบบนี้ แล้วเขาจะเสี่ยงให้ตัวเองมีปัญหาไปทำไม
ยิ่งกว่านั้นคือยังไม่มีอะไรยืนยันว่าในตึกผู้การนั้นจะมีสายลับอยู่อีก
แต่หากว่าหลินเฟิงอยากจะรู้จริงๆเขาก็คงไม่คิดจะปิดบัง อย่างมากก็แค่นำสัตว์ประหลาดออกมายืนยันกันตรงนี้
“เฉินเฉียง อย่าให้มันมากนัก นี่เจ้ากล้าพูดกับท่านผู้การแบบนี้รึ”
ในห้องประชุมนี้มีนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงอยู่สี่คน และชายคนหนึ่งที่หนวดรุงรังได้พูดออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น แต่ก็เป็นผู้การหลินเฟิงที่ยกมือห้ามปราม
“หึหึหึ เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา เฉินเฉียง ข้าพอจะยอมรับเรื่องนี้ได้อยู่เมื่อได้เห็นพลังสายเลือดของเจ้าเมื่อครู่นี้ และในเมื่อนี่เกี่ยวพันกับวิธีการบ่มเพาะของเจ้าด้วยแล้วข้าเองก็จะไม่เค้นถามแต่อย่างใด”
“ก่อนที่เจ้าจะมาเอง ผู้คุมจ้าวก็ได้พูดเรื่องราวประมาณนี้ของเจ้ามาแล้ว และเมื่อได้เห็นเจ้ากับตาตัวเองก็ทำให้ข้าเข้าใจถึงเหตุผลได้มากขึ้น และนี่เองทำให้ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเจ้าเป็นอัจฉริยะที่ยากจะพบเจอ ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าเจ้านั้นสนใจจะมาทำงานในตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราแห่งนี้บ้างรึเปล่า”
“แล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับสถานะของเจ้า ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้ มันมากพอที่จะเป็นรองกัปตันกองกำลังหนึ่งได้เลย แต่หากเจ้าไม่สนใจที่จะรับตำแหน่ง ข้าก็พอที่จะพูดคุยให้เจ้ารับตำแหน่งกัปตันได้อยู่นา”
“ข้า….”
ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้ตอบออกมา จางหยวนก็ได้ตอบให้แทน “ท่านผู้การ เฉินเฉียงเองในตอนนี้ได้ถือว่าเป็นคนของตึกจอมพลเรียบร้อยแล้ว”
“เขาในตอนนี้เป็นสมาชิกชั่วคราว(ฝึกงาน)ของกองกำลังเทียนเว่ย”
“เหอะ กองกำลังเทียนเว่ยเนี่ยนะ”
ชายไว้หนวดได้บุ่ยปากออกมาพลางส่ายหัวอย่างดูถูก
“ลีกุย เจ้ามีปัญหาอะไร” จางหยวนได้พูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “อย่าคิดว่าเจ้าอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้วจะมาทำปากดีแถวนี้ คนของกำลังเทียนเว่ยของข้านั้นเพียงพอจะถล่มทีมหนึ่งของเจ้าได้ รึเจ้าคิดจะลอง”
ลีกุยได้ยืนขึ้นและเตรียมจะพูดตอกกลับในทันที แต่ภายใต้สายตาที่จ้องเขม็งของผู้การหลินเฟิงแล้วทำให้เขานั้นทำได้เพียงนั่งลงกลับไป และทำได้เพียงพูดออกมาอย่างดูถูกเท่านั้น “เออ กองกำลังของเจ้าอยู่ในระดับเดียวกับกองกำลังทั้งสี่ของเข้า”
“แต่กับระดับการบ่มเพาะของเจ้านั้นทำให้ข้าไม่เห็นด้วย”
“หากว่าผู้พันเฉินอยู่ล่ะก็ ข้ายินดีที่จะคอยถือรองเท้าให้เขาซะด้วยซ้ำ”
“แต่สถานการณ์ของกองกำลังของตัวเจ้าเองนั้น อย่าบอกนะว่าตัวเจ้ายังไม่รู้ตัว”
“ทั้งกองกำลังมีเพียงแปดคน นี่เรียกว่ากองกำลังไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วเจ้ายังมีหน้ามาบอกว่ากองกำลังของเจ้าเทียบเท่ากับข้า ฮึ่ม แม้แต่เป็นรองเท้าของข้าเจ้าก็ไม่คู่ควร”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็นิ่งอึ้งไปเช่นเดียวกัน เขาดึงจางหยวนเพื่อเรียกความสนใจและถามออกมาเบาๆ “กัปตันจาง ที่ไอ้หนวดนี่มันพูดทำไมมันดูเป็นเรื่องใหญ่นัก แล้วทำไมกองกำลังเขาเราถึงมีแค่แปดคนล่ะ”
“แล้วไง หากเจ้าไม่อยากจะอยู่ก็ออกไปได้เลย ไม่มีใครบังคับเจ้าให้อยู่ ” จางหยวนมองเฉินเฉียงอย่างตาขวางพร้อมอารมณ์ที่ฉุนเฉียว
หลินเฟิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงหยิบชาจิบไปเล็กน้อยรอจนกระทั่งจางหยวนใจเย็นลงจึงได้พูดออกมา “เฉินเฉียง สิ่งที่ลีกุยพูดนั้นถูกต้องแล้ว”
“ด้วยสถานการณ์ของกองกำลังเทียนเว่ยเป็นถึงขนาดนี้แล้ว หากเจ้าต้องการที่จะเข้าร่วมตึกจอมพลล่ะก็ ข้าสามารถหาตำแหน่งให้เจ้าได้ เอ้อ กองกำลังของลีกุยมีตำแหน่งกัปตันว่างอยู่นี่ เจ้าคิดว่ายังไง”
เฉินเฉียงได้เดินไปหาผู้การก่อนที่จะเหลือบมองลีกุยที่อยู่ระหว่างทางไปเล็กน้อย เขาได้ส่ายหน้าและพูดออกมา “ขอขอบคุณท่านผู้การสำหรับความหวังดีนี้”
“ตัวข้าในตอนนี้ยังเป็นศิษย์สำนักเต่าดำอยู่ก็ตาม แต่ขอให้คำมั่นกับผู้การว่าหลังจากสำเร็จการศึกษาจากที่นั่นแล้ว ยังไงซะข้าก็จะเข้าร่วมกับพวกท่าน”
อย่างไรก็ตาม ข้าไม่สนใจที่จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของลีกุยผู้นี้ และก่อนที่ข้าจะได้เข้าสำนักเต่าดำ ข้าได้ปรารภกับกัปตันจางไว้แล้ว เป้าหมายของข้าคือการได้เข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ย