ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 118 ผู้รักษาการที่ไม่ต้องการรักษาการ
บทที่ 118 ผู้รักษาการที่ไม่ต้องการรักษาการ
เว่ยหยวนตี้ได้หันไปมองที่ซากร่างของลีปิงอย่างไม่แยแสและพูดออกมาด้วยความเคารพ “ท่านผู้บัญชาการสูงสุด นี่เป็นความผิดของข้าเอง โปรดลงโทษข้าด้วย”
“เอาล่ะ หยวนตี้ ถึงแม้เจ้าดูจะไม่แยแสในเรื่องนี้ แต่ข้าก็เชื่อว่าเจ้านั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีเช่นเดียวกัน ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า”
“แต่ข้าก็ยังอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเจ้านั้นเสียสติไปได้ถึงขนาดนี้”
เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้เองก็ได้สังเกตเห็นว่าจางหยวนและพวกยังคงคุกเข่าอยู่กลับพื้นอย่างไม่ไหวติง เว่ยหยวนตี้ได้รีบเดินเข้าไปและช่วยพวกเขาให้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดออกมา
“ท่านผู้บัญชาการสูงสุด เมื่อสี่เดือนก่อน ข้าได้รับรายงานด่วนมาว่าสถานการณ์ทางใต้นั้นไม่สู้ดีนัก และในตอนนั้นเอง กองกำลังเทียนเว่ยได้มาหาข้าด้วยเรื่องบางอย่างพอดี ข้าเองในตอนแรกก็ยังลังเล แต่ในที่สุดก็ได้ส่งพวกเขาไปที่นั่น”
“แต่หลังจากที่พวกเขาได้กลับมาแล้ว แต่หลานชายข้าที่พึ่งจะได้พบเจอ กลับไม่ได้กลับมาด้วย”
“นี่ทำให้ข้าปวดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก และเป็นตอนนั้นที่ลีปิงเข้ามาพบข้าในขณะที่คลุ้มคลั่งพอดี ทำให้ข้าเผลอฆ่าลีปิงไป”
“ถึงแม้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่ลีปิงก็เป็นผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แถมยังเป็นคนที่สร้างคุณงามความดีให้กับเขตกันหนันอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าหวังว่าท่านผู้บัญชาการสูงสุด โปรดลงโทษข้าด้วย”
“เดี๋ยวนะ” ผู้บัญชาการสูงสุดได้ยกมือขึ้นห้ามปราม “หยวนตี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ได้มาสี่ห้าปีแล้ว ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินว่าเจ้ามีหลานเหลินที่ไหน เรื่องนี้มันยังไงกัน”
“ท่านผู้บัญชาการสูงสุดยังคงจดจำเพื่อนรักของข้า เฉินเทียนเว่ยได้หรือไม่”
ผู้บัญชาการสูงสุดได้ตอบออกมา “แน่นอน เจ้าแปดคนนี้เองแต่เดิมก็ควรจะเป็นคนของเฉินเทียนเว่ยเช่นเดียวกัน เฉินเทียนเว่ยนั้นคือฮีโร่แห่งยุค แต่ข้าเองก็ไม่คิดว่าเขาจะหลงเหลือคนเพียงน้อยนิดนัก นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าเศร้าใจ”
“ใช่แล้วครับ จางหยวนและคนเหล่านี้คือคนที่หลงเหลือของกองกำลังของเฉินเทียนเว่ย และข้าได้ส่งพวกเขาไปทำภารกิจที่ทะเลแดนใต้”
“แต่ตอนที่เขาจากไปนั้นมีเก้าคน และคนที่….ตกตายไปคือหลานชายของข้า ลูกชายเพียงคนเดียวของเฉินเทียนเว่ย เฉินเฉียง”
“ฮะ ลูกชายคนเดียวของเฉินเทียนเว่ย…เฉินเฉียงนั่นน่ะรึ นี่เขายังมีชีวิตอยู่เหรอ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้”
ผู้บัญชาการสูงสุดได้ยืนขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “พวกเรานั้นสมควรที่จะส่งทายาทเพียงคนเดียวของฮีโร่แห่งยุคสมัยไปเสี่ยงชีวิตโดยง่ายแบบนั้นหรือ หยวนตี้ เจ้านี่ช่างโง่งมนัก”
“รายงานท่านผู้บัญชาการสูงสุด ท่านผู้การแห่งกันหนัน เฉินเฉียงนั้นเขายินดีที่จะเข้าร่วมสงครามแดนใต้ครั้งนี้จริงๆ ไม่ได้ไปโดยใจที่ไม่อยากแต่อย่างใด ต่อให้เขาตายก็ไม่เสียดายที่ไปที่นั่น”
“แล้วก็ นี่ คือจดหมายจากนายพลหลิวเซียงผู้ซึ่งประจำการอยู่ที่ฐานบัญชาการอ่าวจันทร์เสี้ยว ในนี้เขียนไว้ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับสงครามในแดนใต้ โปรดเปิดดู”
หลังจากพูดจบ จางหยวนได้นำจดหมายในมือของตน ส่งให้กับผู้บัญชาการสูงสุด
“เฉินเฉียงแห่งกองกำลังเทียนเว่ย ได้ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่จนทำให้สามารถสร้างความขัดแย้งระหว่างกองทัพของสัตว์ประหลาดและสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลได้สำเร็จ ส่งผลให้พวกมันต้องตกตายไปกว่าสองหมื่นตัว”
“หลังจากนั้น เฉินเฉียงได้ปล่อยธนูแสงออกมา เป็นสัญญาณให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าไปร่วมต่อสู้ในสงครามระหว่างความขัดแย้งดังกล่าว และส่งผลให้กองกำลังร่วมของมนุษย์ มีชัยเหนือพวกสัตว์ประหลาดและได้รับชัยชนะได้ในที่สุด”
“….ในศึกสงครามครั้งนี้ การกระทำของเฉินเฉียงนั้นเปรียบได้ดั่งอัจฉริยะ ผู้ซึ่งทำการได้เทียบเท่ากับนักรบกว่าห้าพันคน…”
นำเสียงของผู้บัญชาการสูงสุดในระหว่างการอ่านจดหมายนี้ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่ออ่านจบแล้ว เขาก็ได้ใช้นิ้วดีดจดหมายนี้ไปยังเว่ยหยวนตี้และพูดออกมา “หยวนตี้ เจ้า ได้ทำให้อัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์ต้องตกตายด้วยเรื่องเพียงเท่านี้”
“เฉินเฉียง….เปรียบได้ดั่งนักรบอัจฉริยะ…กว่าห้าพันคน….”
เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้ได้อ่านจดหมายด้วยมือที่สั่นระรัวและน้ำตาที่นองหน้า
“เฉินเทียนเว่ย…ข้าขอโทษ..เฉฺินเฉียง….ลุง…เป็นคนฆ่าเจ้าเอง…”
เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้เกลียดชังลีปิงขึ้นมาอย่างสุดขั้วหัวใจต่อให้เขาตายไปแล้วก็ตาม เขาในตอนนี้กำลังสำนึกเสียใจที่หลงไปฟังคนใกล้ตัวจนต้องมาเจ็บปวดอย่างหมดใจในวันนี้
“เอาล่ะ”
ผู้บัญชาการสูงสุดได้พูดออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่นและหนักแน่น “สิ่งที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวงก็เกิดและย้อนกลับไม่ได้แล้ว แต่ยังไงซะ รางวัลที่เขาควรได้รับนั้นก็ยังคงอยู่”
“หยวนตี้ ในนามแห่งผู้การแห่งกันหนัน ให้เจ้าเป็นผู้มอบรางวัลให้กับกองกำลังเทียนเว่ยก่อน เดี๋ยวหลังจากนั้น หลินเฟิงจะจัดการต่อเอง”
“ส่วนลูกชายของเฉินเทียนเว่ย เฉินเฉียงนั้น เขาสมควรจะถูกแต่งตั้งในตำแหน่งนายพล เว่ยหวู่(ทรงพลัง,จอมพลัง)”
“รายงานท่านผู้บัญชาการสูงสุด เฉินเฉียงนั้นยังไม่ใช่คนของตึกจอมพลเหมันต์จันทราอย่างเป็นทางการ เขาเป็นเพียงศิษย์ของสำนักเต่าดำเท่านั้น เขาไม่สามารถรับยศนี้ได้”
“ฮะ เขาเป็นศิษย์สำนักเต่าดำอยู่รึ” ผู้บัญชาการสูงสุดได้นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง หลังจากนิ่งคิดอยู่นาน เขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “จางหยวน เจ้าไปที่สำนักเต่าดำในนามของข้าและบอกเขาว่าข้านั้นขอให้เขาอวยยศเฉินเฉียงในฐานะนายพลเว่ยหวู่ และเจ้าก็ขอให้เขาช่วยประกาศเกียรติคุณของเฉินเฉียงที่สำนักเต่าดำซะ”
คนทั้งแปดได้กล่าวขอบคุณผู้บัญชาการสูงสุดอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เว่ยหยวนตี้ได้ร่างจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งตามคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุด ก่อนที่จะมอบให้จางหยวนไป
ห้าวันถัดมา หลังจากหลินเฟิงได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการสูงสุดแล้ว เขาได้มอบรางวัลให้กับกองกำลังเทียนเว่ยด้วยตัวเองเป็นแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นจำนวนห้าหมื่นก้อน พร้อมทั้งมอบจดหมายให้จางหยวนและขอให้เขานำไปยังสำนักเต่าดำ
ด้วยจดหมายที่เขียนขึ้นด้วยตัวเองของหลินเฟิง และจดหมายจากผู้การแห่งกันหนัน จางหยวนได้นำคนทั้งเจ็ดตรงไปยังหอประชุม ก่อนที่จะใช้ค้อนเคาะระฆังแห่งสำนักเต่าดำสามครั้ง
“ผ่านไปยังไม่ทันครึ่งปีดี ระฆังของสำนักก็ดังขึ้นอีกแล้วเหรอ อย่าบอกนะว่าสำนักเรามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอีกแล้วน่ะ”
“สงสัยไปก็เท่านั้นแหละน่า ยังไงซะพวกเราก็ต้องไปรวมกันที่นั่นอยู่แล้ว เดี๋ยวก็รู้กันเอง คราวนี้อาจจะเป็นท่านผอ.เรียกรวมพวกเราเพื่อแจ้งข่าวแบบครั้งก่อนก็ได้”
และนี่เองทำให้เหล่าอาจารย์และศิษย์สำนักเต่าดำรีบเร่งไปยังหอประชุมสำนักอย่างรวดเร็ว
ที่ห้องทำงานของผอ. ผอ.เฉียนในตอนนี้กำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องกับรองผอ. เป็นตอนนี้ที่ทั้งสองได้ยินเสียงระฆังของสำนัก และนั่น ทำให้ทั้งสองต้องมองหน้ากันในทันที
หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน นอกจากผอ.แล้ว อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสรองเลย แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่นระฆังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่ในตอนนี้ พวกเขายังนั่งอยู่นี่ แล้วใครกันที่สั่นกระดิ่ง
“รองผอ. ดูเหมือนว่าพวกเรานั้นต้องเคร่งกฎของสำนักกันสักหน่อยซะแล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ สำนักของเราคงจะเละเทะไม่เป็นท่าแน่ๆ”
“อย่าได้กังวลไป ไหนๆระฆังมันก็ดังไปแล้ว ทุกคนควรจะไปรวมตัวกันที่นั่น ข้าจะใช้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีให้ทุกคนได้จดจำ”
หลังจากพูดจบ ทั้งสองก็ได้หายตัวไปจากห้องในทันที
หลังจากทั้งสองไปถึงหน้าหอประชุม พวกเขาก็พบกลุ่มของอาจารย์และศิษย์กลุ่มหนึ่ง ที่พูดคุยกันอย่างไม่หยุดปาก
“พี่ชายจางหยวน นี่ท่านเป็นคนลั่นระฆังนี้จริงๆอย่างนั้นเหรอ ท่านนี่ช่างกล้าหาญนัก ถึงแม้ว่าท่านจะออกจากสำนักไปแล้ว แต่ท่านก็น่าจะยังไม่ลืมกฎของสำนักได้นี่นา ระฆังสำนักนี้ไม่ใช่อะไรที่ท่านจะลั่นมันได้โดยไม่ได้รับอนุญาตนะ”
“จางหยวน ถึงแม้เจ้าจะออกจากสำนักไปแล้ว แต่ข้าก็เป็นอาจารย์ของเจ้าถึงสองปีเลยนะ และนี่เจ้ายังไม่คิดจะหยุดสร้างปัญหาอีกรึ”
กัวเหลียง และหลู่คังเฟิง คือคนที่กำลังยืนคุยอยู่กับจางหยวนอยู่ในขณะนี้ ส่วนศิษย์และอาจารย์คนอื่นได้อยู่รอบนอกเพื่อรอชมการแสดงดีๆที่นานๆจะมีสักที
“ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงมาที่นี่กัน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังกล้าที่จะลั่นระฆังของสำนักเราอีก”
หลิวซวนเอ๋อนั้นได้ฝ่าฝูงชนเข้ามาพร้อมถามออกมาด้วยท่าทางเป็นกังวล
“ซวนเอ๋อ….”
จางหยวนนั้น ความจริงแล้วต้องการพูดคำบางคำกับหลิวซวนเอ๋อ แต่เป็นตอนนี้ที่เขาได้ยินเสียงของผอ.เฉียน
“งั้น…เจ้าก็คือจางหยวนผู้ซึ่งออกจากสำนักไปกลางคันสินะ เจ้าทำงานที่ตึกจอมพลเหมันต์จันทราไม่ใช่รึ รู้สึกว่าตอนนี้จะเป็นรักษาการในตำแหน่งของผู้การเทียนเว่ยในกองกำลังของเขา แต่ต่อให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งผู้รักษาการของกองกำลังเทียนเว่ยก็ตาม นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้ามีสิทธิที่จะแหกกฎสำนักได้หรอกนะ”
“ผอ.เฉียน ข้าต้องทำให้ท่านยุ่งยากแล้ว” จางหยวนได้ก้มหัวขอโทษจนแทบจะขนานกับพื้นก่อนที่จะพูดออกมา “ข้านั้นไม่มีคุณสมบัติจะอยู่ในตำแหน่งรักษาการผู้นำกองกำลังเทียนเว่ยแต่อย่างใด แค่เป็นเพียงแค่กัปตันของกองกำลังเพียงเท่านั้น ตำแหน่งนั้นสมควรจะเป็นของเฉินเฉียงแห่งแผนกวิชายุทธพิเศษของสำนักเต่าดำแห่งนี้”