ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 119 นามที่ไม่ควรได้รับการดูถูก
บทที่ 119 นามที่ไม่ควรได้รับการดูถูก
ในทันทีที่สิ้นเสียงของจางหยวน ผอ.เฉียนก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของจางหยวนในทันที
“จางหยวน เจ้าหมายความว่ายังไง เฉินเฉียงไปหาเจ้าอย่างนั้นรึ”
ผอ.เฉียนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจการเคลื่อนไหวของเฉินเฉียงสักเท่าไหร่นักหลังจากเฉินเฉียงได้ปิดกำไลสื่อสารไป
เหตุผลนั้นก็เพราะขนาดหลู่คังเฟิงยังทำอะไรเฉินเฉียงไม่ได้ แล้วอันตรายจะย่ามกลายเขาได้ยังไงกัน
“จางหยวน เจ้าหมายความว่าศิษย์ของข้าไปเข้าร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ยงั้นรึ” ฮู่ต้าไฮ่นั้น ในฐานะอาจารย์แล้วแน่นอนว่าต้องใส่ใจในเรื่องเฉินเฉียงยิ่งกว่าใคร แต่ด้วยการที่ว่าช่วงที่ผ่านมานั้น เฉินเฉียงไม่ได้ส่งข่าวมากว่าสี่เดือนแล้ว นี่จึงเป็นธรรมดาที่เขาต้องถามออกมาถึงแม้ว่าจะไม่สมควรก็ตาม
“ผอ.เฉียน อาจารย์ พี่น้องทุกท่าน โปรดเข้าไปในหอประชุม นี่คือเอกสารจากผู้บัญชาการสูงสุดและผู้การแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา พวกเขามีคำสั่งให้มาส่งข้อความนี้ให้กับทุกคนในสำนัก”
-ผู้บัญชาการสูงสุด….งั้นเหรอ-
เมื่อได้ยินคำคำนี้ทำให้ผอ.เฉียนแสดงออกมาซึ่งใบหน้าที่เคร่งเครียด
เขานั้นสามารถเพิกเฉยหลินเฟิงได้เพราะเขานั้นถือได้ว่าอยู่ระดับเดียวกัน แต่หากนี่มาจากตึกผู้บัญชาการสูงสุดล่ะก็ นั่นถือว่าเป็นตัวตนที่แม้แต่เขาผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งในสำนักศึกษาแบบนี้ก็ไม่อาจที่จะเพิกเฉยได้
หลังจากอาจารย์และศิษย์ทุกคนได้เข้าไปในหอประชุม จางหยวนได้นำรายงานศึกสงครามจากตึกจอมพลเหมันต์จันทราและจากผู้บัญชาการสูงสุดออกมาอ่าน ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก
“เฉินเฉียงแห่งกองกำลังเทียนเว่ยเพียงคนเดียว ก่อการที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติเทียบเท่ากับอัจฉริยะนับห้าพันคนในชั่วข้ามคืน”
“ผู้บัญชาการสูงสุดได้ร้องขอให้สำนักเต่าดำ มอบยศพิเศษให้กับศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษแห่งสำนักเต่าดำ เฉินเฉียง เป็นนายพลเว่ยหวู่(จอมพลัง) และให้ประกาศเกียรติคุณให้แก่ศิษย์สำนักเต่าดำได้ประจักษ์ในความสามารถของเขา”
เมื่อจางหยวนอ่านคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดนี้ทำให้ทั่วทั้งหอประชุมมีแต่ความเงียบงัน
เมื่อสี่เดือนก่อน ผอ.ได้ลั่นระฆังแห่งสำนักเต่าดำ เพื่อมอบรางวัลให้กับคุณความดีที่เฉินเฉียงได้สร้างชื่อเสียงให้กับสำนัก สี่เดือนต่อมา เหตุการณ์เดิม เหตุผลเดิม และเฉินเฉียงคนเดิม กับชายหนุ่มอายุสิบแปดที่มาอยู่ได้ยังไม่ถึงครึ่งปีดี แต่กลับได้รางวัลจากเขตกันหนันอีกครั้ง
ที่แถวหน้าในตอนนี้ ที่นั่งข้างหลังจางหยวนนั้น หลู่คังเฟิงได้ตบหน้าตัวเองอย่างหนักหนึ่งที และก่อนที่ผู้คนจะได้ไต่ถาม เขาก็ได้ตบหน้าตัวเองอย่างหนักไปอีกทีหนึ่ง
“จางหยวน…นี่….เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ลูกศิษย์….ของข้า โดนไล่ฆ่า(ที่อาณานิคมเขาหมาง) โดนกล่าวหาจนเกือบโดนจับตัวสำเร็จโทษ(ตอนจับเจิ้งตี้ที่เป็นไส้ศึก)”
“แล้วยังต้องตกตาย”
“ผอ.เฉียน….ท่าน….ท่าน ให้คำมั่นกับข้าเมื่อสี่เดือนก่อนไม่ใช่เหรอว่าเขาจะไม่เป็นอะไร”
“ท่าน…สัญญา…กับข้าไว้”
ฮู่ต้าไฮ่ในตอนนี้ไม่อาจเก็บความรู้สึกอัดอั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาไม่ได้สนใจในตำแหน่งผอ.ของสำนักเต่าดำของผอ.เฉียนเลยแม้แต่น้อย และทำการพูดจาตะคอกใส่ผอ.เฉียนในทันที
ผอ.เฉียนผู้ซึ่งนั่งอย่างเงียบงันอยู่กลางห้องประชุมนั้นเขาพูดอะไรไม่ออก
แต่ก็เป็นตอนนี้ที่เขานึกอะไรบางอย่างออกจึงได้หยิบกำไลสื่อสารของตนออกมาจากกระเป๋าเสื้อและใส่มันไว้ที่ข้อมือของตน
กำไลสื่อสารแบบเดียวกับเฉินเฉียง ซึ่งมันมีระบบติดตามตัวระยะไกลอยู่
ตราบใดที่เฉินเฉียงยังคงอยู่ในที่ราบภาคกลาง ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ตำแหน่งของเฉินเฉียงก็จะแสดงบนกำไลสื่อสารของเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ดูข้อมูลในกำไลของตน เขาเองก็พบว่าตำแหน่งที่ตั้งของเฉินเฉียงนั้นได้หายไป
คงไม่ใช่ว่าเขาปิดกำไลสื่อสารไปหรอกนะ ไม่สิ
ต่อให้เฉินเฉียงปิดกำไลสื่อสาร กำไลของเขาก็จะบอกว่าเฉินเฉียงนั้นปิดกำไลอยู่
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เฉินเฉียง…..ตายแล้วจริงๆ….งั้นเหรอ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเหล่าศิษย์พี่ของเฉินเฉียงนั้นโศกเศร้าขนาดไหน แม้แต่นอกแผนกคนอื่นเองก็มีความรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย
แต่ก็ไม่ใช่คนคนที่จะเสียใจ อย่างน้อยๆก็คือจ้าวฮั่น
เมื่อเขานั้นได้ข่าวว่าเฉินเฉียงต้องตกตาย จ้าวฮั่นลูกสึกสบายใจขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่เมื่อเขาได้ยินว่า เฉินเฉียงนั้นแม้ต้องตกตาย แต่เขาก็ยังได้รับรางวัล นี่ทำให้หัวใจที่เกลียดชังของเขาไม่อาจยอมรับได้ และอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “ชิ กับไอ้คนที่ยังไม่จบการศึกษาตายไปก็ยังได้รางวัลจากกันหนันอีกเนี่ยนะ”
“ใคร ใครกล้าพูดออกมา ใครกล้ากล่าวดูถูกนายพลเว่ยหวู่ รีบก้าวออกมายอมรับความตายเดี๋ยวนี้”
ในตอนนี้ คนในกองกำลังเทียนเว่ยทั้งแปดคนได้พูดออกมาพร้อมกันอย่างไม่ต้องนัดหมาย
ถึงแม้จางหยวนและคนทั้งเจ็ดนี้จะมีระดับการบ่มเพาะไม่ได้สูงล้ำอะไรก็ตาม แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้จิตสังหารของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลู่ฟางและเหล่านักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่คนของกองกำลังเทียนเว่ยตะคอกออกมานี้ก็แทบจะทำให้จ้าวฮั่นต้องตกใจจนต้องตกตายเสียตรงนี้
“ไอ้หลานเวรตะไล”
มีหรือที่ผู้อาวุโสอันดับสองอย่างจ้าวหยาง ผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเวทีจะไม่ได้ยินเสียงหลานของตนเอง เขารีบกระโดดลงไปจากเวทีและตบไปที่หน้าของจ้าวฮั่นประหนึ่งการลอยตัวตบลูกวอลเล่ย์
จางหยวนและพวกมาที่นี่ในนามของผู้บัญชาการสูงสุด แม้แต่ผอ.เองก็ยังไม่มีทางเลือกและต้องทำตามคำสั่ง และยิ่งเฉินเฉียงในตอนนี้ได้รับการอวยยศเป็นถึงนายพลเว่ยหวู่ ตำแหน่งของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเต่าดำเลยด้วยซ้ำ
แต่จ้าวฮั่นผู้ซึ่งเป็นเพียงศิษย์สำนักตัวเล็กๆแต่กลับกล้ากังขากับคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดและทำการด่าทอทำลายชื่อเสียงของนายพลเว่ยหวู่ต่อหน้าคนของกองทัพ หากไม่ให้เรียกว่าหาที่ตายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
หลังจากเห็นผู้อาวุโสลำดับสองกระโดดเข้าไปตบหลานตัวเองแล้ว นี่ทำให้จางหยวนรู้ในทันทีว่าเป็นจ้าวฮั่นได้พูดออกมา และเขาย่อมรู้ดีว่าผู้อาวุโสลำดับสองผู้นี้ย่อมปกป้องหลานของตน
เมื่อคิดได้ดังนี้ จางหยวนจึงได้หยิบจดหมายของหลินเฟิงและอ่านออกมา
เมื่อทุกคนได้ยินเนื้อความในจดหมายนี้ เหล่าศิษย์และอาจารย์ทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงอีกครั้ง
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าศิษย์ของข้าผู้นี้คือเชื้อสายของผู้การเฉินเทียนเว่ย ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่พรสวรรค์ของเขานั้นสูงล้ำนัก”
ในตอนนี้ ไมมีใครใส่ใจกับการบ่นเสียดายของฮู่ต้าไฮ่เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะในตอนนี้มีเสียงหนึ่งที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเสียงของฮู่ต้าไฮ่ได้ดังขึ้นมา
“ผู้อาวุโสจ้าว ข้า จางหยวน เคารพท่านในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนัก แต่กับเรื่องของทายาทของผู้การเฉินเทียนเว่ยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่อให้นายพลเว่ยหวู่อยู่นี่และไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่ข้า กัปตันของกองกำลังเทียนเว่ย จะไม่ยอมให้ใครมาด่าทอชื่อนี้ได้เป็นอันขาด”
“กับเรื่องในวันนี้ หากไม่ใช่ว่าท่านนั้นมีคุณงามความดีกับมนุษยชาติอยู่บ้าง ต่อให้ผอ.เฉียนออกหน้า เขาก็ไม่อาจหยุดกองกำลังเทียนเว่ยในการปกป้องเกียรติของผู้นำพวกเรา”
เมื่อผอ.เฉียนได้ยินแบบนี้ มุมปากของเขานั้นก็ได้กระตุกถี่ยิบ แต่เขาก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้สักคำ
เขารู้ดีว่าจางหยวนนั้น เป็นพวกหัวขบถขนานแท้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เด็กนี้แม้จะไม่ได้จบจากสำนักออกไป แต่ก็สามารถเข้าร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ยได้ตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว
ในใจของจางหยวนนั้น ชื่อเสียงของกองกำลังเทียนเว่ยนั้น มีค่ากว่าชีวิตของตน
จ้าวหยางที่ได้ยินได้ถอดถอนลมหายใจออกมายาวอย่างสุดกู่ก่อนที่จะพูดออกมา “จางหยวน ข้าเข้าใจเจ้าดี และข้ารู้ดีว่าเฉินเฉียงนั้นคือศิษย์ที่ล้ำค่าที่สุดเท่าที่สำนักเรานั้นคือก่อตั้งมา เขาสมควรแล้วที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพลเว่ยหวู่”
“เป็นความผิดของข้าที่ไม่ได้ทำการอบรมสั่งสอนหลานชายไร้ค่าของข้าให้ดี ข้าต้องขอกล่าวคำขอโทษแทนความต่ำทรามของมันด้วย”
หลังจากพูดจบ จ้าวหยางได้ก้มหัวจนเรียกได้ว่าหน้าขนานกับพื้นกับคนของกองกำลังเทียนเว่ยต่อหน้าธารกำนัล ก่อนที่จะจับไปที่คอของจ้าวฮั่นผู้มีใบหน้าที่ซีดเผือด และเตรียมที่จะออกจากหอประชุม
“โปรดให้อภัยที่ข้าไม่อาจจะอยู่ต่อได้จนจบและบอกกล่าวลา นับจากนี้ครึ่งปี ข้าจะให้เขาหันหน้าชนกำแพงสำนึกผิดเป็นเวลาครึ่งปี”
….
ในบ้านของจ้าวฮั่น จ้าวหยางได้ทุบกำปั้นของตนลงกับพื้นและพูดออกมาอย่างเดือดดาล “ฮั่น บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเมื่อครึ่งปีก่อน เจ้าส่งคนไปฆ่าเฉินเฉียงใช่รึเปล่า”
“ท่านปู่ ก็ข้าทนไม่ได้นี่ หากว่าข้าไม่ได้ฆ่าเฉินเฉียงแล้วข้านอนไม่หลับ”
“ในตอนนี้ไอ้คนแล่เนื้อชั้นต่ำนั้นได้ตายไปแล้ว นี่ท่านจะไม่ยอมให้ข้าดื่มด่ำกับความสุขนี้หน่อยไม่ได้รึไงกัน”
“ไอ้หลานระยำ” จ้าวหยางได้ตบจ้าวฮั่นจนทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวมเป่งในทันที
“เป็นความผิดของข้าที่ให้ท้ายเจ้าเกินไป ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่ามันจะทำให้เจ้านั้นกลายเป็นคนแบบนี้”
“เฉินเฉียงนั้นแม้จะอายุน้อยกว่าเจ้า ระดับการบ่มเพาะน้อยกว่าเจ้า แต่เขากับสร้างคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติจนถูกเรียกขานว่าเป็นฮีโร่แล้วด้วยซ้ำ”
“แต่เจ้า…..กับคนที่มีจิตใจชั่วช้าแบบเจ้า ในอนาคตจะดักดานแค่ไหนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”
“นับจากวันนี้ เจ้าต้องหันหน้าเข้ากับแพงกับข้าเป็นเวลาครึ่งปี และไม่อนุญาตให้เจ้าออกไปไหนแม้เพียงก้าวเดียว”