ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 13 อุบัติเหตุเล็กน้อย
บทที่ 13 อุบัติเหตุเล็กน้อย
ก้าวย่างสวรรค์
เทียบกับก่อนหน้านี้ ก้าวย่างสวรรค์ของเขานั้นพัฒนาขึ้นมาก เพียงย่างก้าวแรกก็ไปได้ไกลถึง 110 เมตร
หมาไม้สายฟ้าตัวที่แยกไปซ้ายมือนั้นมันรับรู้ได้ถึงอันตรายในทันที แต่ก่อนที่มันจะทันได้หันกลับมา มันก็ถูกเฉินเฉียงฟันขาดสองท่อนไปแล้ว
เขารีบคว้าส่วนหัวของหมาไม้ตัวนี้ไว้ในทันที แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้รีบย่อยสลายมัน เขาหันหลังกลับไปตามหมาไม้สายฟ้าตัวสุดท้ายในทันใด
เพียงสองย่างก้าว เฉินเฉียงก็ได้กระโจนทะยานไปอย่างรวดเร็วประดุจดั่งเสือดาวสายฟ้า และนั่นเองก็ทำให้เขาได้พบหมาไม้สายฟ้าปรากฏอยู่ในสายตาของตน
เฉินเฉียงได้เร่งความเร็วขึ้น เขาได้ตั้งท่าเตรียมที่จะวาดดาบออกไป โดยในครั้งนี้เขานั้นคิดจะใช้พลังภายในผนวกเข้ากับกระบวนท่าในเพลงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณเพื่อจบงาน
แต่ยังไม่ทันที่ได้ของเขาจะเข้าถึงตัวหมาไม้สายฟ้าตัวสุดท้าย กระบี่ยาวเล่นหนึ่งที่พวกเร็วปานไวแสงก็ได้แทงหมาไม้สายฟ้าเข้าไปทางปาก
และเพียงแค่กระบี่บิดตัว หมาไม้สายฟ้าก็ได้ถูกฉีกออกไปชิ้นๆตั้งแต่หัวจรดหางในทันที หมาไม้สายฟ้าตัวสุดท้ายไม่ได้มีโอกาสที่จะร้องออกมาเลยสักแอะเดียว
ช่างทรงพลังยิ่งนัก
เฉินเฉียงได้หยุดเท้าลงและยืนจ้องมองอยู่เงียบๆ เขาพบว่าชายคนนี้มีอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ชายคนนี้ได้หยิบหนังของหมาไม้ที่ยังหลงเหลือไว้ที่ตัวกระบี่ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี และจ้องมองเฉินเฉียงกลับด้วยเช่นกัน
“เจ้าเป็นใคร….นี่กำลังล่าหมาไม้สายฟ้างั้นเหรอ”
ชายหนุ่มจ้องมองมายังเฉินเฉียงอย่างยิ่งทะนง เขาได้สอดกระบี่เข้าไปในแขนเสื้อก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อไปหนึ่งที กระบี่เล่มยาวก่อนหน้านี้ก็ได้หายไปราวกับไร้ตัวตนมาตั้งแต่ต้น
เฉินเฉียงไม่ได้พูดออกมา เขาเดินตรงไปเก็บหัวของหมาไม้สายฟ้า ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เฉินเฉียงแห่งอาณานิคมเขาหมาง”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้หันหลังกลับและวิ่งกลับไปยังรังของหมาไม้สายฟ้า
“อาณานิคมเขาหมางเหรอ เยี่ยมเลย เจ้า…”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดความต้องการของตัวเองออกมา เฉินเฉียงได้จากไปไกลแล้ว
“เร็วฉิบ”
ชายหนุ่มหรี่ตามองและรีบตามไปในทันที
ด้วยความเร็วของเฉิงเฉียวในตอนนี้ก็ยังไม่สามารถสลัดชายคนนี้ให้หลุดออกไปได้ ยิ่งเขาคิดก็ยิ่งแปลกใจ แต่ว่าในตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้มีเวลาสนใจชายคนนี้ขนาดนั้น ในตอนนี้เขานั้นต้องการเพียงแค่นำซากของหมาไม้ทั้งหมดกลับไปยังอาณานิคมของเขาเท่านั้น
ตรงหน้าของปากทางเข้ารังของหมาไม้สายฟ้า เฉินเฉียงได้หิ้วหัวของหมาไม้อีกสามตัวเอาไว้ พร้อมทั้งแบกหัวของหมาไม้สายฟ้าตัวใหญ่ซึ่งเป็นตัวที่ฆ่าผู้อาวุโสซุนเอาไว้ที่หลัง หลังจากนั้นก็ได้ตรงไปยังหลุมศพของผู้อาวุโสซุนในทันที
ชายหนุ่มเองก็คอยตามอยู่ข้างหลังของเฉินเฉียวด้วยท่าทีสงบแต่ไม่ห่าง เขาติดตามไปยังสุสานด้วย
“เฮ้…เจ้าน่ะ ข้ามีข้อความลับจากผู้พันแห่งเมืองเหมันต์จันทรา” ถ้าเจ้าเสร็จเรื่องแล้วช่วยพาข้าไปที่อาณานิคมเขาหมางของเจ้าหน่อยสิ รีบๆหน่อยก็ดี
เฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีแยแสสักเท่าไหร่ เขาโยนหัวของหมาไม้ทั้งเจ็ดไว้ที่ป้ายหน้าหลุมศพและได้นั่งลง ก่อนที่จะชี้ไปทางทิศตะวันออกโดยไม่สนใจที่จะมองไปที่ชายหนุ่มแม้แต่น้อย “ไปทางตะวันออกห้าไมล์ อาณานิคมอยู่ที่นั่น”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงที่ในมือได้ถือมีดเอาไว้ในมือขวา และในมือซ้ายถือหัวของหมาไม้เอาไว้ ในตอนนี้เขาได้เริ่มใช้มีดถลกหนังมันออกมา
เมื่อเห็นท่าทีของเฉินเฉียงแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจแค่เพียงส่งเสียงพึมพำรับรู้ออกมาเบาๆ ก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังทิศทางดังกล่าวในทันที
ในจำนวนหมาไม้ทั้งหมดนั้น เขาได้ย่อยสลายและดูดซับความสามารถของพวกมันมาแค่สองตัวเท่านั้น หนึ่งคือตัวแรกที่เจอหลังจากฆ่างูสองหัว อีกหนึ่งคือตัวใหญ่ที่ฆ่าผู้อาวุโสซุน ส่วนตัวที่เหลือนั้น เขาไม่สนใจเพราะคิดว่าพวกมันนั้นย่อยสลายไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา การดูดซับพวกมันนั้นเปลืองค่าพลังงานของเขาไปอย่างเปล่าประโยชน์
หลังจากผ่านไปสิบนาที เขาก็ได้รับแก่นคริสตัลระดับกลางหนึ่งชิ้น แก่นคริสตัลระดับสูงอีกหนึ่งชิ้น พวกมันให้ค่าพลังงานแก่เขา 90 หน่วย
“ปู่ซุน ไอ้พวกหมาไม้ที่กล้ามาทำร้ายปู่ข้ากวาดล้างพวกมันไปหมดแล้วนะ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกมันอีก พักผ่อนให้สบายนะครับ”
เฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหลุมศพของผู้อาวุโสซุนนั้นได้ตัดชิ้นเนื้อของหมาไม้สายฟ้าตัวใหญ่ออกมาชิ้นหนึ่ง และทำการย่างมันซะตรงนั้น
“ปู่ซุน ในช่วงระหว่างหนึ่งเดือนมานี้ ปู่เองก็สั่งสอนข้าบ่มเพาะอย่างเอาใจใส่อย่างกับเป็นปู่ของข้าจริงๆ หากไม่ใช่เพราะปู่ ข้าเองในตอนนี้ก็คงไม่บรรลุเพลงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณและการบ่มเพาะหลอมเลือดทำลายล้างมาได้เร็วถึงขนาดนี้เป็นแน่”
“ต่อให้โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายขนาดไหนก็ตาม แต่ข้าจะไม่ลืมความต้องการของปู่อย่างแน่นอน ข้าจะนำตราแห่งนายพลเทียนเว่ยมาสักการะที่หลุมศพของปู่”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบเนื้อหมาป่าสายฟ้าเข้าปากไปคำหนึ่ง หลังจากเขี้ยวได้พักหนึ่งเขาก็ต้องถ่มถุยมันออกมาอย่างหนัก
“ไอ๊หยา…. เนื้อของไอ้เวรตัวนี้นี่เหม็นบรรลัยเลยนี่หว่า ไม่น่ากินเข้าไปเล้ยยยยย”
“เฉินเฉียง ไม่ใช่ว่าเนื้อของสัตว์ประหลาดทุกตัวจะกินเข้าไปได้หรอกนะ”
โดยที่เขาไม่ได้สังเกต ในตอนนี้ผู้การหลิงได้มายืนอยู่ข้างๆเขาแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ในตอนนี้ได้มีเหล่านักรบสายเลือดแห่งอาณานิคมเขาหมาง แม้แต่ไอ้หนุ่มที่มาส่งข้อความจากตึกนายพลเมืองเหมันต์จันทราก็อยู่ด้วย
“เฉินเฉียง ที่เจ้าไม่ได้กลับไปเมื่อคืนเป็นเพราะเจ้าไปตามล่าหมาไม้สายฟ้าพวกนี้มารึ แถมยังมีระดับทหารขั้นสูงอีก”
ผู้การหลิงในตอนนี้ได้ก้มตัวลงมองสินสงครามที่เฉินเฉียงได้มาด้วยตัวคนเดียวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
แม้แต่เหล่านักรบสายเลือดระดับทหารที่ได้ยินก็ต้องตกตะลึงในความสามารถของเฉินเฉียงไปตามๆกัน
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงยังเป็นเพียงคนทั่วไปที่ไร้ซึ่งระดับสายเลือดอยู่เลย(สายเลือดขยะ) แต่ในตอนนี้เขานั้นกลับแข็งแกร่งขนาดที่ว่าสังหารได้แม้แต่หมาไม้สายฟ้าระดับทหารขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าความเร็วของหมาไม้สายฟ้านั้นรวดเร็วขนาดไหน โดยเฉพาะหมาไม้สายฟ้าระดับทหารขั้นสูง ความรวดเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้ แม้แต่ในตึกนายพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราก็ยากที่จะได้เห็น
เฉินเฉียงที่หันไปก็ได้เห็นชายหนุ่มเมื่อครู่นี้เขาก็ได้ชี้ไปที่ชายหนุ่มและพูดขึ้นมา “ผู้การ ไอ้หมอนั่นเองก็ฆ่าไปตัวหนึ่งนะ”
“เฉินเฉียง อย่าเสียมารยาทสิ”
“นายพลจางผู้นี้เป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณ ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะอยู่ในฐานะคนส่งสารแต่เจ้าก็ต้องให้ความเคารพนะ”
เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นมาในทันที เขาจ้องมองไปยังคนส่งสารอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มหัวทำความเคารพและพูดออกมา “ขออภัยครับ นายพลจาง”
ในตอนนี้เฉินเฉียงไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมชายคนนี้ถึงสามารถฆ่าหมาไม้สายฟ้าได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าคนๆนี้อยู่ในระดับนายพลวิญญาณแล้วนี่เอง
ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้นั้น ความจริงแล้วการจะต่อสู้ระดับนักรบทหารขั้นกลางนั้นไม่สิ แม้แต่สัตว์ประหลาดระดับทหารขั้นกลางก็ไม่ได้มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่กับทหารและสัตว์ประหลาดระดับทหารขั้นสูงนั้นยังยากนัก นับประสาอะไรกับระดับนายพลวิญญาณ นี่ถือว่าห่างไกลแบบสุดๆ
ดูเหมือนว่าความหวังของปู่ซุนนั้น สำหรับเขาในตอนนี้ยังห่างไกลนัก
นายพลจางได้จ้องมองไปยังป้ายหลุมศพง่ายๆที่อยู่ตรงหน้าหลุมศพ บรรยากาศของเขาในตอนนี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปยังผู้การหลิงด้วยท่าทางที่ยากจะคาดเดาและพูดขึ้นว่า “หลิงเว่ย ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ข้าคิดว่าเจ้าควรให้เฉินเฉียงติดตามไปด้วยนะ”
“เฉินเฉียงงั้นเหรอ”
หลิงเว่ยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “นายพลจาง เฉินเฉียงในตอนนี้แม้เขาจะกลายเป็นนักรบสายเลือดระดับทหารขั้นกลางแล้วก็จริง แถมเขาเองก็ยังหนุ่มแน่น แต่….ข้าว่าท่านน่าจะหาคนอื่นไปแทนนะ”
“ห้ะ หลิงเว่ย อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เห็นด้วยกับความต้องการของข้า”
“ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงในตอนนี้จะอยู่ในระดับทหารขั้นกลางก็จริง แต่ว่าการที่เขานั้นสามารถฆ่าหมาไม้สายฟ้าระดับทหารขั้นสูงได้นี่… ข้าขอถามหน่อยก็แล้วกันว่าถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำได้หรือไม่”
“ให้พูดตรงๆเลยนะ ต่อให้เป็นข้าเองก็ต้องเล่นลูกไม้ถึงจะชนะมันได้เลย”
ผู้การหลิงที่ได้ยินก็ได้ส่ายศีรษะไปมาในทันที เขาเองก็รู้ความสามารถของตัวเอง และย่อมรู้ดีว่าตัวเขานั้นจะต้องตกอยู่ในสภาพไหนเมื่อเผชิญหน้ากับมัน
เขานึกออกเลยว่าหากเป็นเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับหมาไม้สายฟ้าพวกนี้ แค่หนีรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยก็ถือได้ว่าดีมากแล้ว นับประสาอะไรจะสู้กับสัตว์ประหลาดที่รวดเร็วไม่ต่างจากเสือดาวสายฟ้าแบบนี้ แค่ฆ่าได้สักตัวก็ถือได้ว่าปาฏิหาริย์เลยด้วยซ้ำ
และเมื่อได้ฟังประโยคต่อจากนี้ไป ยิ่งทำให้เขานั้นเถียงไม่ออก
“ ยังมีเหตุผลสำคัญที่สุดที่ข้าเลือกเขานะ สิ่งนั้นก็คือความเร็ว เขานั้นมีความเร็วที่น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว”
“ตอนที่ข้าวิ่งตามเขามาเมื่อครู่นี้นั้น ข้าถึงกับต้องใช้พลังสายเลือดของตนเองเลยนะถึงจะตามเขามาได้ทัน หากข้าไม่ได้อยู่ในระดับนายพลวิญญาณล่ะก็…”
“เจ้าคิดว่าในอาณานิคมแห่งนี้จะมีใครหน้าไหนมีความเร็วระดับนี้รึเปล่าล่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหล่านักรบสายเลือดทุกคนต่างก็ต้องหันมองหน้ากันในทันที ก่อนที่จะก้มหน้าลงพร้อมความอับอายและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผู้การหลิงเองในตอนนี้ทำได้เพียงหยักหน้าอย่างยอมรับเท่านั้น และไม่สามารถจะพูดทัดทานได้อีก
“รองผู้การซิ่วจงฟัง ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องเป็นผู้นำของทุกคนในการดูแลความปลอดภัยของอาณานิคมเขาหมางแห่งนี้”
ชายคนหนึ่งที่มีอายุประมาณสี่สิบปี ได้ก้าวออกมาละก้มหัวรับด้วยความภาคภูมิใจ “ได้ครับ ท่านผู้การ”
นายพลจางได้ยกมือขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “หลิงเว่ย ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปกันเถอะ เรื่องนี้รอไม่ได้”
“ตกลง เฉินเฉียง เจ้าไม่ต้องไปเตรียมตัวอะไร ตามพวกเรามาก็พอ”
เฉินเฉียงที่นิ่งอึ้งอยู่นานเพราะไม่เข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่จะถามออกมา “…..ผู้การครับ..ขอถามได้ไหมครับว่านี่มีเรื่องอะไรกัน”