ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 144 ฉิงเชิน
บทที่ 144 ฉิงเชิน
ด้วยคำสั่งที่ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประลองสี่สำนักนี้ เขตกันหนันได้ทำการจัดเตรียมสถานที่อันกว้างใหญ่ให้เป็นลานประลองเอาไว้ที่ด้านนอกของเมืองจีหยาง พวกเขานั้นสูญเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกเฟ้นอัจฉริยะที่แท้จริงไปในการประลองครั้งนี้อย่างมหาศาล
ซุนไคและหลัวเฟิงนั้นพึ่งจะก้าวเข้าไปนั่งที่นั่งของตน แต่ยังไม่ได้นั่งเสร็จดี ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ซุน ศิษย์สำนักข้าเฉินเฉียงอยู่ไหน”
หลัวเฟิงที่เห็นผอ.เฉียนพุ่งเข้ามาหานี้ก็ได้หันหัวตนไปยังซุนไคก่อนจะถามออกมา “ซุน เฉียนฝู่เป็นบ้าอะไรของมัน”
“หึ ไม่บ้าก็เกือบจะบ้าแล้วล่ะ”
ซุนไคได้มองไปที่เฉียนฝู่ด้วยท่าทีไม่แยแสและพูดออกมา “เฒ่าเฉียน พวกเราตกลงกันแล้วนี่ว่าข้านั้นจะพาเฉินเฉียงมาอย่างปลอดภัย นี่ถือว่าเจ้าติดค้างข้าล่ะ”
“ไอ้นรก” ผอ.เฉียนสบถออกมาในทันทีและพูดต่อ “ซุน เจ้าบอกด้วยตัวเองว่าเฉินเฉียงของสำนักข้าช่วยเหลือสำนักมังกรอาชูร่าไว้อย่างมหาศาล ต่อให้เจ้านั้นไม่มอบรางวัลให้เด็กนั่นก็ไม่เป็นไรแต่เจ้ายังกล้าที่จะคิดบัญชีกับข้าอีกเรอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ถึงกับทำให้ซุนไคอารมณ์ขึ้นในทันทีและพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “เฮ้ ไอ้เฒ่า ข้านั้นไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้นนะเฟ้ย”
“รางวัลของเฉินเฉียนศิษย์สำนักเจ้านั้นข้าให้เด็กนั้นใช้ห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของสำนักข้าที่มีเพียงสองห้องให้เขาอยู่นั้นกว่าหนึ่งเดือนเลยนะ นี่แกจะเอาอะไรอีก”
“อ้า…ฮ่าฮ่าฮ่า ซุน ข้าบอกแล้วว่าแกไม่ใช่คนขี้เหนียวอย่างแน่นอน เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก เร็วเข้า ขอข้าพบเจอหน่อยเถอะว่าศิษย์ของข้าเป็นยังไงบ้าง”
หลังจากเฉียนฝู่พูดจบ เขาก็ได้หัวเราะออกมาดังลั่น แล้วรีบมองไปโดยรอบ
หลัวเฟิงที่ได้ยินก็รีบเข้ามาแทรกถามเฉียนฝู่อย่างงงๆ “เฉียนฝู่ เฉินเฉียงที่เจ้าพูดถึงนี่มันยังไงกัน”
“ทำไมข้าฟังดูแล้วรู้สึกแปลกๆพิกล”
“เท่าที่ข้าฟังดูเหมือนกับว่าเฉินเฉียงผู้นี้คือศิษย์สำนักเต่าดำแต่กลับได้รับการฝึกพิเศษจากสำนักมังกรอาชูร่าเช่นนั้นรึ”
“ไหนจะที่ซุนบอกว่าให้เฉินเฉียงอยู่ในห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดถึงหนึ่งเดือนอีก”
“ซุน นี่เจ้าจะบอกว่าในคราวนี้สำนักมังกรอาชูร่าและสำนักเต่าดำนั้นร่วมมือกันน่ะ”
“นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึไงกัน”
“ข้าเรอะ” ซุนไคถามออกมาพลางชี้ไปที่หน้าของตนเอง หลัวเฟิงก็ได้สบถในลำคออย่างหนักไปหนึ่งทีโดยไม่พูดอะไรออกมา
อย่างไรก็ตาม บทสนทนาของทั้งสามคนนี้ได้ทำให้ใครคนหนึ่งสนใจในทันที
ใครคนนั้นก็คือผู้จัดงานประลองในครั้งนี้ เว่ยหยวนตี้
“พี่เฉียน พี่ซุน พวกท่านพูดถึงใครกัน เฉินเฉียง ท่านหมายถึงเฉินเฉียงใช่รึเปล่า”
เว่ยหยวนตี้ได้เด้งขึ้นมาจากเก้าอีกและวิ่งมาหาซุนไคและผอ.อีกสองคน เขาจับบ่าซุนไคและเฉียนฝู่เขย่าจนตัวสั่นและถามออกมาในทันที “พี่เฉียน พี่ซุน เฉินเฉียงแห่งสำนักเต่าดำคนนั้น หลานชายของข้าคนนั้นน่ะเหรอ”
“เขายังมีชีวิตอยู่เหรอ”
“เขาอยู่ไหนกัน”
ท่าทางของเว่ยหยวนตี้นี้ทำให้ผอ.ทั้งสามคาดไม่ถึงในทันที
เป็นตอนนี้ที่ซุนไคไม่คิดจะเล่นแง่อีกต่อไป เขารีบหันไปทางศิษย์สำนักตนและตะโกนออกมาดังลั่น “เฉินเฉียง มานี่เดี๋ยวนี้”
ความจริงก่อนหน้านี้เฉินเฉียงนั้นได้เห็นเฉียนฝู่และเว่ยหยวนตี้ที่อยู่ที่นั่งแขกผู้ทรงเกียรติแล้ว แต่เพื่อไม่เกิดปัญหาเขาจึงยังไม่แสดงตัว
แต่เมื่อได้ยินซุนไคเรียก เขาเองก็จำต้องกระโดดพรวดออกไปในทันที
ในทันทีที่เฉินเฉียงปรากฏกาย ศิษย์สำนักเต่าดำก็ได้ส่งเสียงออกมาอย่างดังลั่น
“เฉินเฉียง นั่นมันเฉินเฉียงไม่ใช่เหรอ นี่เขายังมีชีวิตอยู่”
“เย้ ศิษย์น้องยังไม่ตาย”
แน่นอนว่าคนที่ตกตะลึงมากกว่าใครและผิดหวังแบบสุดๆหนีไม่พ้นจ้าวฮั่น
เมื่อหนึ่งปีก่อน ด้วยการที่เขาล่วงเกินนามของเฉินเฉียงทำให้เขานั้นต้องโดนลงทัณฑ์โดยจ้าวหยางปู่ของเขาถึงครึ่งปี
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าเฉินเฉียงผู้ซึ่งเขานั้นเกลียดชังอย่างสุดหัวใจยังคงมีชีวิตอยู่
ส่วนทางฝั่งของสำนักวิหคอสนีบาตนั้นเมื่อหัวหน้าทีมประลองที่เป็นสาวน้อยชุดเขียวนั้น เมื่อได้เห็นเฉินเฉียงปรากฏกาย เธอรีบวิ่งขึ้นไปหาด้วยอารามดีใจอย่างสุดชีวิต
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง”
ผอ.สำนักวิหคอสนีบาตเมื่อเห็นฉากนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น เขานั้นไม่คิดเลยว่าสุดยอดอัจฉริยะของสำนักเขานั้นจะไปเอี่ยวกับเขาด้วย
เฉินเฉียงที่พึ่งจะก้าวขึ้นเวทีไปนั้น ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำความเคารพผอ.ของตนและลุงของตนนั้น ก็โดนสาวน้อยจับชายเสื้อที่ด้านหลัง
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง พี่ พี่ยังไม่ตายจริงๆด้วย”
ในระหว่างที่เธอพูดออกมานั้นน้ำตาของเธอก็ไหลบ่าออกมาราวกับแม่น้ำราวกับว่าเธอได้ระบายความอัดอั้นทั้งหมดออกมา
หลังจากผ่านไปปีครึ่ง เมื่อเฉินฉียงได้เห็นฉิงเชินอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทางนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจอย่างสุดหัวใจ เขาได้ยิ้มและกล่าวทักทายออกมา “ฉิงเชิน ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่ายังไงซะข้าก็จะมาพบเจ้าในงานประลองสี่สำนักให้ได้”
ตั้งแต่ที่เขานั้นได้มาอยู่ในโลกแห่งอนาคตแห่งนี้ เขานั้นได้ดิ้นรนเอาตัวรอดมามากหลายครั้ง เขานั้นยังต้องการรักษาคำมั่นที่มีต่อซุนต้าฮู่และชิงธงพลแห่งกองกำลังเทียนเว่ยมาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่เมื่อได้เห็นเว่ยฉิงเชินแล้ว เขานั้นรู้สึกว่าชีวิตนี้ของเขานั้นมีเป้าหมายในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เป็นเพราะว่าสถานะของเขาและเว่ยฉิงเชินต่างกันมากเกินไป ต่อให้เขานั้นทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจในทันที แต่นั่นก็จะทำให้เขานั้นเหนื่อยเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่เพียงเว่ยฉิงเชินจะเป็นอัจฉริยะที่สูงล้ำเท่านั้น เธอยังผู้คนที่สนใจในตัวเธอมากมายนัก ไม่เว้นแม้แต่ระดับราชาการต่อสู้แห่งตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราอย่างหลินเฟิงที่คอยตามจีบเธออยู่ แล้วเขานั้นจะเอาอะไรไปสู้ได้กัน
อย่างไรก็ตาม ความรักนั้นเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์พันลึก
ในช่วงปีกว่าที่ผ่านมานั้น ถึงแม้เขานั้นจะไม่ได้ติดต่อเธอเลย แต่เขากลับรู้สึกว่ายิ่งคิดถึงเธอมากขึ้นชนิดประทับฝังไว้ในจิตใจ
และเมื่อตอนที่เขาได้เห็นเธออีกครั้ง เฉินเฉียงก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงมากกว่าเดิมจนเต็มหัวใจไปแล้ว
ในช่วงชีวิต ผู้คนมากมายต่างก็หาคนที่จะเป็นคนคุ้นเคยของตนได้ คนที่อยู่ห่างกันเล็กน้อยก็คิดถึง ราวกับว่ามีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นผูกมัดคนพวกนั้นเข้าไว้ด้วยกัน
ความจริงแล้วพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
ต่อให้คนเรานั้นมีชาติก่อน เขาก็เชื่อว่าเธอผู้นี้ไม่ได้มีส่วนในชีวิตก่อนของเขาเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอนั้นสมควรจะเป็นคนที่เขาทำได้เพียงมองอยู่ไกลๆในช่วงชีวิตนี้
สิ่งที่เรียกว่าคนคุ้นเคยนั้นจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชะตาก็ว่าได้ บางคนนั้นต่อให้อยากจะทำความคุ้นเคยแค่ไหน ก็ทำได้เพียงแค่มองก็เท่านั้น บางคนก็ไม่เคยคิดจะมอง แต่กลับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“ฉิงเชิน ทำไมเจ้าถึงได้สวมชุดแบบนี้กัน”
ในความคุ้นเคยของเฉินเฉียงนั้น ฉิงเชินคือสตรีที่งามสง่าผู้ซึ่งสวมชุดสีขาวที่แสนบริสุทธิ์ แต่ชุดที่เธอใส่อยู่ตอนนี้นั้นมันช่างต่างจากภาพลักษณ์ที่เขาจดจำได้อย่างสิ้นเชิง
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อว่าชุดยาวนั้นเหมือนชุดไว้ทุกข์ แล้วหลังจากนั้นท่านพ่อก็บอกว่าท่าน ท่าน….”ยังไม่ทันที่จะได้พูดออกมา เธอก็น้ำตาไหลพรากอีกครั้งเมื่อได้นึกถึงเรื่องเศร้าๆ
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นท่าทางของฉิงเชินแล้วก็อดที่จะประทับใจไม่ได้ หากไม่ได้อยู่กลางที่สาธารณะล่ะก็ เขาคงจะสวมกอดและปลอบประโลมเธอในทันที
เหนือสิ่งอื่นใดแล้วนี่ยังเป็นแท่นที่นั่งของแขกผู้ทรงเกียรติ ไม่ใช่ที่ที่เขาจะทำอะไรประเจิดประเจ้อให้ผู้คนติฉินนินทา
ไม่นาน เว่ยฉิงเชินก็ได้ปาดน้ำตาจากตาของเธอและยิ้มออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียงหากว่าในการประลอง พวกเราได้พบเจอกัน ท่านจะต้องร่วมทีมกับข้านะ น้า….”
“โอ้ แน่นอนสิ”
ถึงแม้เฉินเฉียงจะยังไม่รู้กฎการประลองในครั้งนี้ แต่ยังไงซะลูกสาวของลุงตนนั้นออกปากมาซะขนาดนี้ นี่แสดงว่าเธอนั้นย่อมรู้กฎการประลองเป็นอย่างดี แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมทำได้
“เอาล่ะ ฉิงเชิน ที่นี่มีคนเยอะแยะนา… อย่าร้องไห้ไปเลย ตอนนี้เจ้าลงไปก่อนแล้วกัน”