ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 145 อารมณ์พลุ่งพล่าน
บทที่ 145 อารมณ์พลุ่งพล่าน
เมื่อเห็นเฉินเฉียงเสร็จเรื่องจากลูกสาวตน เว่ยหยวนตี้ก็ได้เดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะวางมือบนบ่าและมองซ้ายขวาบนล่างจับหมุนตัวไปอีกสองสามรอบราวกับเขานั้นยังไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็น
ในที่สุด เว่ยหยวนตี้ก็ได้ถอนลมหายใจและพูดออกมา “หลายชายเฉินเฉียง เป็นเพราะลุงคนนี้โง่เขลาจึงได้ส่งเจ้าลงไปยังสนามรบทะเลแดนใต้ ลุงเว่ยผู้นี้นึกว่าได้ทำผิดอย่างมหันต์ที่สุดและต้องเสียใจไปชั่วชีวิตซะแล้ว”
“เจ้านั้นคงไม่รู้ว่าหลังจากฉิงเชินนั้นได้ยินว่าเจ้าตายไป นางไม่เคยออกจากบ้าน แถมยังไม่อยากจะยอมรับว่าข้าเป็นพ่อของเธอซะด้วยซ้ำ”
“แต่ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วย่อมดี นี่เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”
“เจ้านั้นสมควรจะอยู่อย่างยากลำบากในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเป็นแน่”
เฉินเฉียงนั้นความจริงแล้วต้องการจะกล่าวต่อว่าเว่ยหยวนตี้เหมือนกัน แต่เมื่อได้เห็นความจริงใจจากท่าทางและคำพูดของเว่ยหยวนตี้แล้วทำให้เขาต้องกล่าวคำอื่นออกมาแทน
“ลุงเว่ย ข้าต้องขอขอบคุณการตัดสินใจของท่านจริงๆ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา”
“ดี ดี สมแล้วที่เป็นผู้สืบเชื้อสายของผู้การเทียนเว่ย เขานั้นต้องภูมิใจมากแน่ๆที่เป็นพ่อของเจ้า” เว่ยหยวนตี้เอ่ยปากชมพร้อมยกนิ้วให้
“เฉินเฉียง เจ้านั้นโชคดีนัก” ในที่สุดเฉียนฝู่ก็มีโอกาสตัดบทกับเขาได้สักที คำพูดของเขาเองก็มีน้ำเสียงปนเศร้าไม่น้อยไปกว่ากัน
“ท่านผอ. ท่านน่ะหวังกับข้าเกินไปแล้วนา ท่านเกือบส่งข้าลงนรกแล้วรู้ไหมนั่น”
“อะไรเล่า นี่เจ้ายังโทษข้าอยู่อีกรึไง” เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เฉียนฝู่นั้นตั้งท่าเตรียมที่จะเฉ่งเขาในตอนนี้เลยทีเดียว
“เฮ้ เฒ่าเฉียน ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะไม่ค่อยพอใจเฉินเฉียงนา ทำไมเจ้าไม่ยกเขาให้สำนักข้าล่ะ” ซุนไคถือโอกาสนี้ยุส่งในทันที
“ฝันไปเถอะเอ็ง” ผอ.เฉียนถลึงตาใส่ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าและดึงเฉินเฉียงไปไว้ข้างหลังในทันที
หลัวเฟิง ผอ.แห่งสำนักเสือขาวเองในตอนนี้กำลังสับสนเล็กน้อย ก่อนที่จะถามออกมาอย่างต้องการคำตอบ “ท่านเว่ย เฒ่าเฉียน ซุน ทำไมทุกคนถึงดูให้ค่ากับเจ้าหนูนายพลวิญญาณขั้นต้นคนนี้นักล่ะ”
ผอ.สำนักวิหคอสนีบาต หลิวฉิน ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งแขกผู้ทรงเกียรติเองที่เห็นฉากนี้เอง เธอนั้นหมายมั่นที่จะหาคู่ครองให้กับศิษย์ของเธอไว้แล้ว เมื่อได้เห็นว่าเว่ยฉิงเชินมีสัมพันธ์อันแนบแน่นกับเฉินเฉียงทำให้เธอเองไม่พอใจอย่างยิ่ง
และมาในตอนนี้เมื่อเธอได้เห็นว่าคนเหล่านี้พูดคุยเกี่ยวกับเฉินเฉียงไม่หยุด เธอจึงเดินไปหาผู้คนที่กำลังวุ่นวายกันอย่างอารมณ์เสียและพูดออกมา “ท่านเว่ย ผอ.เฉียน นี่พวกท่านคิดจะคุยกันอยู่กลางงานแบบนี้รึไง”
“กับอีแค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พวกท่านจะตื่นเต้นกันไปทำไม”
เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยิน เขาก็ได้ดึงเฉินเฉียงไปตรงหน้าแท่นพิธี ก่อนที่จะแนะนำเขาต่อหน้าศิษย์จากสี่สำนัก “ศิษย์จากสี่สำนักแห่งพื้นที่ภาคกลางทุกคน ข้าขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก เฉินเฉียง”
“พ่อของเขาคือฮีโร่แห่งยุคสมัย ผู้การเหนือจอมพล ผู้การเฉินเทียนเว่ยแห่งกองกำลังเทียนเว่ยแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา”
“สองปีก่อน เฉินเฉียงได้ลอบเข้าไปในเขตแดนหมอกโลหิตด้วยตัวเพียงคนเดียวตั้งแต่ตอนที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับทหารขั้นสูง ในตอนนั้นเขาได้ฆ่าสี่ขุนพลโจรร้ายและขยะแห่งเผ่าพันธุ์ผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่นายพลวิญญาณที่เกือบจะมีระดับการบ่มเพาะนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว”
“ท้ายที่สุด เขาได้ร่วมมือกับลูกสาวของข้าและสังหารผู้นำกองโจร ถูหมั่นเถียนผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง”
ยังไม่หมดแค่นั้น
เมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ ที่ชายฝั่งทะเลแดนใต้ กองกำลังร่วมระหว่างเขตกันหนันและตึกจอมพลเป่ยเชิน(แดนเหนือ) ได้ร่วมกองกำลังกันเพื่อต่อกรกับกองทัพสัตว์ประหลาดและสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลที่ร่วมทัพโจมตีเผ่าพันธุ์
ท้ายที่สุดพวกเรานั้นพ่ายแพ้และเตรียมที่จะถอนทัพ
อย่างไรก็ตาม ในตอนหลัง เฉินเฉียงภายใต้นามกองกำลังเทียนเว่ยแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา ได้นำกองกำลังอีกแปดคนใช้ยุทธวิธีสร้างความโกลาหลให้กับสัตว์ประหลาดทั้งสองฝ่ายและท้ายที่สุดเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงได้ยึดครองดินแดนที่เสียไปกลับคืน
และความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกันหนันได้ทำการอวยยศให้เขาด้วยตัวเองและให้เฉินเฉียงผู้นี้ดำรงตำแหน่งนายพลเว่ยหวู่
เมื่อผอ.แห่งสำนักเสือขาวและสำนักวิหคอสนีบาตได้ยินข้อมูลเหล่านี้ เขาได้มองเฉินเฉียงตั้งแต่หัวจรดเท้าในทันใด
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมองยังไงก็ไม่เห็นว่าเฉินเฉียงมีความพิเศษแตกต่างตรงไหน
อย่างไรก็ตาม กับนักเรียนที่นั่งอยู่ในพิธีนั้นแตกต่างกันออกไป
ในสำนักมังกรอาชูร่านั้น เจิ้งยี่ดูแคลนเฉินเฉียงมาโดยตลอดโดยเฉพาะเรื่องของระดับบ่มเพาะ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ยินเว่ยหยวนตี้บอกเล่าเรื่องราวออกมาต่อหน้าทุกคน เขาเองได้แต่ทำเพียงลอบถอนลมหายใจ
หากเป็นเขา เขาจะกล้าพอที่จะไปยังเขตแดนหมอกโลหิตเพียงคนเดียวตั้งแต่ระดับทหารขั้นสูงรึเปล่า
เมื่อทุกคนได้นึกถึงตอนที่เห็นสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาระหว่างสุดยอดอัจฉริยะอย่างเว่ยฉิงเชินและเฉินเฉียง หลายๆคนนั้นไม่คิดว่าทั้งสองนั้นไม่คู่ควรอีกต่อไป แต่หลายๆคนเองกลับก้มหน้าก้มตานึกอิจฉาเสียอย่างนั้น
เว่ยฉิงเชินเองในตอนนี้ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความภูมิใจเมื่อได้เห็นเฉินเฉียงที่อยู่บนบัลลังก์พิธี
ส่วนศิษย์สำนักเต่าดำนั้นแทบจะไม่ตั้งพูดถึงแต่อย่างใด
หลังจากเว่ยหยวนตี้พูดเสร็จ ภายใต้การนำของกัวเหลียง พวกเขาต่างกู่ร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียง “นายพลเว่ยหวู่ นายพลเว่ยหวู่”
ศิษย์ที่แกร่งที่สุดแห่งรุ่นของสำนักเสือขาว เฉียวกัง ได้มองไปที่หลินฟานที่เป็นดาวเด่นของสำนักและถามออกมา ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าไอ้คนที่ชื่อเฉินเฉียงนั่นเป็นยังไง“
สีหน้าของหลินฟานฉายแววอำมหิตออกมา เขาได้มองไปยังเฉินเฉียงและพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย “หึ นายพลเว่ยหวู่งั้นเหรอ ศิษย์พี่ ข้าสนใจในตัวเด็กนี่นัก เมื่อถึงเวลาข้าขอลงมือเองแล้วกัน”
ในณะเดียวกัน เมื่อเฉินเฉียงได้เผลอไปสบตากับหลินฟานเข้า หลินฟานได้ชูคอก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วของตนลูบคางประหนึ่งดังพบเจอสาวน้อยที่ยั่วยวน
เฉินเฉียงขมวดคิ้วในทันทีที่เห็นพร้อมหัวใจที่แทบจะกระโดดออกมาเสียให้ได้
กับคนที่ชื่อว่าหลินฟานนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้ นี่ทำให้เวลาเขาได้เข้าร่วมการประลองแล้วเขาคงต้องระวังตัวจากชายคนนี้อย่างแน่นอน
ที่บัลลังก์พิธี เว่ยหยวนตี้ได้พูดต่อ “ศิษย์ทั้งหลาย ที่ข้าให้เฉินเฉียงแสดงตัวออกมาในวันนี้ ไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้านั้นแสดงความยินดีกับรางวัลที่เขาได้รับแต่อย่างใด ไม่ใช่เป็นเพราะเขาคือลูกชายของเพื่อนสนิทของข้า”
“ข้า ต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อที่จะได้บอกกับพวกเจ้าเอาไว้ ในวันนี้ ไม่ว่าผลการประลองสี่สำนักจะออกมาเป็นเช่นไร ไม่ว่าสำนักของเจ้านั้นจะได้รับชัยชนะไปหรือไม่”
“แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญไปกว่าชัยชนะในงานประลองสี่สำนักในครั้งนี้อยู่ ขอให้ทุกคนจดจำเอาไว้ให้ดี”
“ด้วยการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ในตอนนี้ต้องอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ยากลำบาก พวกเรานั้นถูกคุกคามจากมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดเมื่อไหร่ก็ได้”
“ในวันนี้ แม้หลายๆคนจะชนะการประลองสี่สำนัก แต่ในวันพรุ่งนี้ ใครจะรู้ เมื่อต้องเจอกับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเจ้าจะมั่นใจได้รึเปล่าว่ายังคงชนะพวกมัน”
“ใช่ พวกเราต้องชนะ”
ศิษย์ทั้งสี่สำนักได้มองไปที่เว่ยหยวนตี้ด้วยท่าทางที่มุ่งมั่น ก่อนที่จะชูกำปั้นและตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ดี ศิษย์ที่ดี นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในงานประลองสี่สำนักในครั้งนี้”
“ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะมีระดับการบ่มเพาะเพียงแค่ระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น แต่เขานั้นกลับได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์มามากมายหลายครั้งแล้ว และนี่ถือได้ว่าเขานั้นคือนักรบที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ยังไม่รวมถึงที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าอีก”
“การกระทำของเขานั้นเปรียบได้กับคำพูดที่ว่า ผู้ที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ จะชักดาบเข้าใส่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ผู้ที่อ่อนแอและขลาดเขลา จะชักดาบใส่ผู้ที่อ่อนแอ”
“ข้าเชื่อว่าผอ.ทั้งสี่สำนักได้บอกพวกเจ้าถึงเหตุผลที่มีการจัดงานประลองสี่สำนักในครั้งนี้แล้วด้วยเช่นกัน”
“ถูกต้อง หลังจากที่งานประลองสี่สำนักสิ้นสุดลง คนที่ชนะจะได้สิทธิในการเข้าเขตแดนจักรพรรดิ ร่วมกับกองกำลังของผู้บัญชาการสูงสุด”
“เจ้านั้นจะได้พบเจอการนองเลือดที่นั่น”
“สถานที่แห่งนั้น พวกเจ้านั้นจะไม่มีเวลามานั่งเสียน้ำตาและละทิ้งความขลาดเขลา จะหลงเหลือก็เพียงความคิดที่จะเอาตัวรอดเพียงเท่านั้น”
สถานที่แห่งนั้น เจ้าจะได้พบเจอกับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์นับไม่ถ้วน
หากไม่มีจิตใจที่ห้าวหาญและแข็งแกร่ง มีเพียงความตายนั้นที่รออยู่
“บอกข้ามาสิว่าเจ้านั้นกลัวรึเปล่า”
“ไม่กลัว ไม่กลัว ไม่กลัว”
เสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวจนหูดับได้ ได้ดังก้องไปทั่วเขตแดนเมืองจีหยางแห่งนี้ นี่ทำให้อารมณ์ของศิษย์สี่นักได้พลุ่งพล่านขึ้นมาใจทันที
เว่ยหยวนตี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะปล่อยให้เฉินเฉียงกลับไปนั่งที่ที่สำนักของตน ส่วนตัวของเขาเองก็หันหลังกลับไปนั่งยังบัลลังก์ของประธานพิธี