ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 170 ต่อสู้กับหลินฟาน
บทที่ 170 ต่อสู้กับหลินฟาน
“หึหึหึ หลินฟาน เจ้านี่ช่างฉลาดนัก เจ้าสงสัยได้ถูกแล้ว ข้าได้เรียนมันมาจากกองกำลังพันหน้าของมนุษย์กลายพันธุ์”
“เจ้าว่าไงนะ”
-ไม่ใช่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทุกตนตั้งตนเป็นศัตรูของมนุษยชาติหรอกรึ-
หลินฟานได้มองเฉินเฉียงราวกับกำลังมองคนโง่ “ไอ้หนู เจ้าอย่าได้มาบอกข้าอย่างเรื่องมนุษย์ยอมรับความช่วยเหลือจากมนุษย์กลายพันธุ์หรืออย่างการที่มนุษย์กลายพันธุ์จะยอมเป็นเพื่อนกับมนุษย์กลายพันธุ์ซะจะดีกว่า”
“เหอะ” เฉินเฉียงไม่ได้แยแสกับคำถามของหลินฟาง เขาได้ทำการเติมพลังงานให้กับธนูสีดำและพูดออกมา “หลินฟาน ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นต้องการทำให้ข้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่รึไงกัน”
“แต่บอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าทำแบบนั้นได้อย่างแน่นอน เจ้าจะไม่มีโอกาสจนกว่าจะฆ่าข้าในการประลองนี้ซะก่อน”
“ไปลงนรกซะ”
เพียงสิ้นคำพูด เขาได้ปล่อยสายธนูและมีธนูสองดอกพุ่งไปหาหลินฟาน
ถึงแม้เฉินเฉียงนั้นจะมีระดับการบ่มเพาะเพียงนายพลวิญญาณขั้นต้นตอนปลาย แต่พลังสายเลือดที่เขาใช้ออกมานั้นกลับหนาแน่นไปด้วยพลังสายเลือดอย่างไม่น่าเชื่อและแทบไม่ต่างจากพลังสายเลือดของนายพลวิญญาณขั้นกลางทั่วไป นี่ทำให้หลินฟานไม่กล้าที่จะรับมันตรงๆ
ด้วยการที่หลินฟานนั้นมีท่าเท้าที่แปลกประหลาดและนี่ทำให้เขาตั้งใจที่จะหลบธนูทั้งสองดอกของเฉินเฉียง
หลังจากหลบได้ เขาก็ลอยตัวบนเฉินเฉียงได้ราวกับวิญญาณหลอนและเริ่มโจมตีระยะประชิด
เมื่อเห็นเป็นแบบนี้ เฉินเฉียงไม่มีทางเลือกทำได้เพียงแค่เก็บธนูดำและรับมีกับหลินฟานด้วยมือเปล่า
เมื่อเห็นแสงสว่างในมือของหลินฟาน เฉินเฉียงได้หัวเราะออกมา “หลินฟาน อย่ามาเล่นลูกไม้ซะจะดีกว่า”
“เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าที่ด้านนอกมิติประลองแห่งนี้มีระดับราชาอยู่นับสิบ”
“หากพวกนั้นเป็นแผ่นแก่นพลังงานของเจ้าล่ะก็เจ้าต้องตายแน่นอน”
“อ้อ แล้วก็ไอ้ดาบทองคำของเจ้าที่อยู่ในแหวนนั่นด้วยล่ะ ข้าแค่มองมันแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าดาบเล่นนั้นหลอมสร้างโดยมนุษย์กลายพันธุ์”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าก็ลองดูได้นะ ข้าบอกได้อย่างเต็มปากเลยว่าทันทีที่เจ้าเอาออกมา เจ้าจะต้องตกเป็นเป้าหมายของเหล่าราชาข้างนอกนั่นในทันที”
แน่นอนว่าหลังจากโดนเฉินเฉียงรู้ทันแล้ว หลินฟานก็ไม่กล้าที่จะทำตัวอวดฉลาดแต่อย่างใด เขาลอบเก็บแผ่นแก่นพลังงานชิ้นสุดท้ายและได้นำดาบธรรมดาออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินฟาน เจ้าจะสู้ด้วยดาบนั่นจริงเรอะ”
หลังจากหลุดออกมาจากการโจมตีได้ เฉินเฉียงได้นำดาบดั้นเมฆออกมาและกวัดแกว่งควงดาบไปมาอย่างภูมิอกภูมิใจและเอ่ยชมดาบนี้อย่างหมดใจ “หลินฟาน ข้านั้นไม่ค่อยเห็นด้วยที่เจ้าว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์แบบเจ้านั้นจะทรงพลังมากกว่ามนุษย์อยู่หลายด้านหรอกนะ แต่อย่างน้อยๆข้านั้นยอมรับจริงๆว่าทักษะหลอมอาวุธของพวกเจ้านั้นสุดยอดจนน่าตื่นตา”
“ลองดูความเงางามของมันนี่สิ ไหนจะความคมที่วิบวับนี่อีก”
เมื่อเห็นดาบดั้นเมฆในมือเฉินเฉียงแล้ว หลินฟานถึงกับสะดุ้งในทันที
“เฉินเฉียง ไอ้มีดของเจ้านั่นมาจากมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่รึไง”
“ถูกต้อง ก็ไม่อยากจะบอกเจ้าหรอกนะว่าคนที่ตีมันให้ข้านั้นคือราชาสวรรค์แห่งเกาะเทียนลี่ เป็นไงล่ะ เจ้าอิจฉาข้ารึเปล่า”
“ราชาสวรรค์ ใครวะ ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อ” เมื่อเห็นหลินฟานได้ส่ายหัวงกๆแบบนี้นี่อยู่เหนือจากที่เฉินเฉียงคาดการณ์ไว้มากนัก
เมื่อเห็นเฉินเฉียงมีท่าทีสงสัยและดูถูกดูแคลน หลินฟานได้เม้มปากเล็กน้อยและพูดออกมาอย่างจริงจัง “เหอะ ถึงข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อราชาสวรรค์แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกโว้ย”
“มนุษย์กลายพันธุ์มีระดับราชาอยู่นับไม่ถ้วน กับอีแค่ราชาสวรรค์ของเจ้ามันก็เป็นแค่หนึ่งในนั้นล่ะวะ”
“โฮ่ นับไม่ถ้วนเลยเหรอออออ”
เฉินเฉียงทำท่าสับสนยิ่งกว่าเดิม
“ฮึ่ม เฉินเฉียง ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าไม่ได้รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย เจ้าไม่แม้แต่จะรู้จักท่านจอมพลสินะ” หลังจากเห็นว่าตัวเองโดนเฉินเฉียงล้วงข้อมูลไป หลินฟานจึงได้พุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงด้วยท่าทางแปลกๆก่อนที่จะปล่อยมือจากดาบต่อยไปที่เฉินเฉียงตรงๆ
ในการต่อสู้ระยะประชิดขนาดนี้ ต่อให้เฉินเฉียงจะมีดาบดั้นเมฆในมือก็ตามก็ไม่อาจจะขยับมันได้อย่างอิสระนัก จนราวกับว่าหลินฟานนั้นดูได้เปรียบในการต่อสู้ระยะประชิดในทันที
ด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาดของหลินฟานนี้ทำให้เฉินเฉียงพยายามจะหาโอกาสโจมตีหลินฟานอยู่หลายครั้ง แต่นั่นก็ราวกับว่าหลินฟานได้รับรู้จนโต้ตอบได้ทุกท่วงท่า
เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนี้ เฉินเฉียงจึงคิดที่จะใช้เพียงมือและเท้าประเคนใส่หลินฟานตรงๆ
ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้น ในตอนนี้มีเคล็ดวิชาฝึกร่างกายพื้นฐานอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าในการดวลหมัดนี้เขาจะโดนโจมตีโดยหลินฟานอยู่หลายครั้ง แต่นั่นทำให้เขารู้สึกเพียงเจ็บๆคันเพียงเท่านั้น
หลังจากผ่านไปสิบนาที หลินฟานและเฉินเฉียงได้ผละออกจากกัน พวกเขามองหน้ากันและดูเหมือนว่าไม่ได้มีอาการบาดเจ็บหนักแต่อย่างใด
“เฉินเฉียง นึกไม่ถึงว่าร่างกายเจ้านั้นจะแข็งแกร่งนัก สมแล้วที่เจ้านั้นเป็นอัจฉริยะแห่งแผนกวิชายุทธพิเศษ”
ทางฝั่งเฉินเฉียงเองนั้น ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บๆคันๆอยู่บ้างหลังจากแลกหมัดกับหลินฟาน แต่ด้วยพลังสายเลือดที่เข้มข้นของเขานั้นทำให้เขานั้นรู้สึกได้ราวกับมีพลังที่ไม่สิ้นสุดไหลเวียนไปทั่วร่างและยังต้องการออกแรงต่อ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นการต่อสู้ที่สนุกจริงๆ มา เรามาสู้กันต่อ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้โจมตีออกไปโดยไม่ได้ใช้สุดยอดของอาวุธของเขาอย่างดาบดั้นเมฆแต่อย่างใด นี่ทำให้หลินฟานมีความสุขอย่างมาก
ด้วยการที่เฉินเฉียงถือครองความลับของเขาไว้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำให้เฉินเฉียงตกตายอยู่ในมิติประลองแห่งนี้ให้ได้
ทั้งสองยังต่อสู้กันในระยะประชิด ทุกๆการโจมตีของอีกฝ่ายที่โจมตีถูกคู่ต่อสู้ การโจมตีเหล่านั้นจะบังเกิดเสียงหนักอึ้งราวกับเป็นการโจมตีของสิ่งที่หนักอึ้งนับพันโล
พวกเขายังคงต่อสู้กันต่อไปจนถึงสี่ชั่วโมง ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ ทั้งสองก็โจมตีกันรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น นี่ทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ภายนอกตกตะลึงในทุกๆครั้งที่มีเสียงดังเกิดขึ้น
เว่ยฉิงเชินที่ยืนอยู่ข้างพ่อของตนในตอนนี้นั้นได้กุมมือของตนเอาไว้พร้อมร่างกายที่สั่นเทิ้มไม่หยุด
“พ่อ หากเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็พี่ใหญ่เฉินเฉียงต้องแพ้แน่ๆ ทำไมเขาไม่เอาดาบดั้นเมฆออกมาสู้กันล่ะ”
“หลินฟานเป็นจุดชีพจรได้ถึงสิบห้าจุดแล้ว พี่ใหญ่เฉินเฉียงเข้าไปประลองราวกับแข่งความอดทนกันแบบนี้ นี่เขาไม่ได้มองหาความตายอยู่จริงๆหรอกนะ”
บรรดาผอ.ของสี่สำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัวเฟิงแห่งสำนักเสือขาวมีท่าทางและหน้าตาที่แสดงออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ท่านเว่ย ท่านสังเกตรึเปล่าว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นฝ่ายเลือกที่จะเข้าต่อสู้ในระยะประชิดด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาจะใช้โอกาสนี้ในการทะลวงขั้นการบ่มเพาะนะ”
เว่ยหยวนตี้พยักหน้ารับแต่ก็ขมวดคิ้วในเวลาเดียวกัน “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นแต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ พี่เฉียน เฉินเฉียงเป็นคนของสำนักท่าน ท่านคิดว่ายังไง”
เฉียนฝู่เองในตอนนี้มีอารมณ์ที่หลากหลายเกิดขึ้นในใจ
ในระหว่างการต่อสู้นี้ เขาได้ยืนตัวตรงตลอดการต่อสู้
-คนอย่างเฉินเฉียงแห่งสำนักเต่าดำเนี่ยนะจะขี้ขลาด-
-แค่มองดูในตอนนี้ก็รู้แล้วว่าหากเขานั้นต้องประลอง เขาจะประลองกับคนที่แกร่งกว่าเท่านั้น-
-ยิ่งไปกว่านั้นคือตลอดระยะเวลาการต่อสู้นี้ เขาเห็นว่าเฉินเฉียงนอกจากจะแสดงออกมาซึ่งความทรงพลังของร่างกายแล้ว เขานั้นยังยิ้มออกมาด้วยท่าทางปลื้มปีติอยู่ไม่ขาด เมื่อเห็นฉากนี้ แม้แต่ผอ.ของสำนักเสือขาวเองก็เริ่มชื่นชอบเฉินเฉียงขึ้นมาหน่อยนึง-
“ท่านเว่ย ข้ามั่นใจว่าเฉินเฉียงนั้นคิดจะทะลวงผ่านระดับขั้นจริงๆ แต่ด้วยวิธีการไหนนั้น มีเพียงเฉินเฉียงเท่านั้นที่จะรู้ได้”
หลัวเฟิงได้มองไปที่เฉียนฝู่ก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “พี่เฉียน ดูเหมือนว่าศิษย์ของท่านนั้นจะทำเกินไปหน่อยนะ นี่ถึงกับคิดจะใช้ศิษย์ของสำนักข้าเป็นเครื่องมือในการทะลวงขั้นเลยเหรอ”
“ข้านั้นคิดว่าศิษย์ทั้งสองคนนี้มีทักษะที่สูงล้ำนัก น่าเสียดายที่จะให้พวกเขาต้องสู้กันจนตกตายกันไปข้างหนึ่ง”
“ท่านเว่ย ข้าคิดว่าเราควรจะหยุดการประลองนี้ลงก่อนจะดีกว่า”
เว่ยหยวนตี้เองที่คิดเช่นเดียวกันก็ได้พยักหน้าออกมา แต่ผอ.สำนักวิหคอสนีบาตและผอ.สำนักมังกรอาชูร่าไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง
“ผอ.หลัว เฉินเฉียงและหลินฟานได้ลงชื่อในสัญญาเป็นตายต่อหน้าศิษย์สี่สำนักทุกคน ท่านไม่อาจเปลี่ยนกฎนี้ได้เพียงแค่เห็นค่าในตัวศิษย์เพียงเท่านั้น”
“ในการประลองสี่สำนักนั้นมีอัจฉริยะมากมายที่ได้ตกตายไปในทุกครั้ง หากว่าชื่อเสียงของการประลองจะถูกทำให้เสียหายเพียงเพราะใครบางคนไม่อยากจะให้ใครบางคนเสียชีวิต ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้จัดมันอีกเลยไอ้งานประลองแบบนี้ ข้าพูดถูกรึเปล่า”
เมื่อมีคนที่ไม่เห็นด้วย เว่ยหยวนตี้ก็ทำได้เพียงถอนลมหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ทุกคน ไม่ต้องเถียงกัน พวกเราแค่ลองดูกันไปก่อนก็พอ”
“ฮื้ม ท่านเว่ย พี่เฉียน ดูนั่น”
เป็นตอนนี้ที่ซุนไคแห่งสำนักมังกรคลั่งได้ชี้เข้าไปในมิติประลองเป็นตายด้วยท่าทางตกตะลึง
————————–
ทุกคน ใครที่ค้างคาใจเรื่องนี้เดี๋ยวพระเอกจะมาเฉลย สปอยไว้ 1.ทำไมพระเอกจึงปล่อยให้หลินฟานทำให้พวกคนเหล่านั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์…