ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 171 ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
บทที่ 171 ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
“ท่านพ่อ นั่นคือวิธีที่เฉินเฉียงคิดจะใช้ในการทะลวงขั้นเหรอคะ”
เว่ยฉิงเชินที่ยืนดูอยู่ข้างเว่ยหยวนตี้นั้นได้มองการต่อสู้ของทั้งสองคนโดยไม่กะพริบตา และเป็นตอนนี้ที่เธอได้เห็นว่าเฉินเฉียงนั้นมีออร่าที่ทรงพลังได้ปรากฏ นี่ทำให้เธอนั้นทั้งประหลาดใจและมีความสุข
เว่ยหยวนตี้ได้แสดงท่าทางที่เคร่งขรึมและพูดออกมา “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“อย่างไรก็ตาม หากว่าอยู่ในการต่อสู้แบบนี้แล้วเขานั้นทะลวงขั้นการบ่มเพาะในช่วงเวลาแบบนี้ล่ะก็ ยามที่เขาทะลวงได้สำเร็จ”
“ยามนั้นเฉินเฉียงสมควรจะต้องตกตาย”
“หากว่าเขานั้นทะลวงขั้นในระหว่างการต่อสู้ล่ะก็ เขาจะไม่มีโอกาสที่จะได้ดูดซับพลังสายเลือดเข้าสู่จุดชีพจร พลังสายเลือดในจุดชีพจรเองก็จะถูกดึงไปเกินกว่าครึ่งในทันทีเมื่อจุดใหม่ได้เปิด ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาน่าจะรับไม่ไหว”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขานั้นสู้กันมาได้กว่าครึ่งวันแล้วแต่ร่างกายของหลินฟานยังดูมีแรงเหลืออยู่เลย หากว่าเฉินเฉียงจะใช้วิธีการนั้นในการทะลวงขั้นจริงล่ะก็ เขานั้นจะมีโอกาสเติมเต็มพลังสายเลือดอยู่ได้ยังไง”
“หลินฟานนั้นย่อมรับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีและต้องไม่ยอมให้เขานั้นมีโอกาสให้เฉินเฉียงได้เติมพลังงานสายเลือดอย่างแน่นอน”
“ท่านพ่อ นี่จะไม่ได้หมายความว่าเฉินเฉียงต้องตกตายไปจริงๆหรอกเหรอคะ” เว่ยฉิงเชินถามออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดและเศร้าหมอง “พ่อ ท่านพอจะคิดหาวิธีช่วยเฉินเฉียงได้รึเปล่าคะ”
เว่ยหยวนตี้ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงปลอบลูกสาวของตนเพียงเท่านั้น
นั่นก็เพราะทั้งสองคนนี้ลงนามในข้อตกลงเป็นตายแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ไม่ใช่เรื่องที่เขานั้นจะเข้าไปยุ่งย่ามได้โดยง่าย
ในมิติประลอง หลินฟานก็รับรู้ได้ถึงออร่าที่ไหลรินของเฉินเฉียงแล้ว ในฐานะที่เขาเองก็เป็นนักรับที่อยู่ในขั้นกลาง เขาบอกได้เลยตั้งแต่แรกเห็นฉากนี้ว่าเฉินเฉียงเตรียมที่จะทะลวงขั้น
“เฉินเฉียง นี่เจ้าคิดจะทะลวงขั้นเรอะ อย่าดีกว่าน่า ข้าไม่ให้เจ้าได้มีเวลาดูดซับพลังสายเลือดหรอกโว้ย ดูสิว่าเจ้ายังจะมีปัญญาทะลวงขั้นอยู่อีกรึเปล่า”
“รึว่าเจ้าจะเอายังงี้ดี เฉินเฉียง ตราบใดที่เจ้านั้นยินดีที่จะต่อสู้กับพวกมนุษย์ ข้าก็ยินดีที่จะสงบศึกกับเจ้า เจ้าคิดว่ายังไง”
เฉินเฉียงได้มองหลินฟานด้วยหางตาก่อนจะพูดออกมา “นี่เจ้ายังมีหน้ายื่นข้อเสนออีกรึ”
“หากเจ้าปล่อยข้าไปล่ะก็ เจ้าจะมั่นใจได้ยังไงว่าข้านั้นจะไม่แฉเรื่องของเจ้า”
“เอาเถอะนะ ต่อให้แกคิดจะสงบศึกแต่ว่าสำหรับข้าไม่มีทาง”
“เจ้าก็แค่อยากจะเบี่ยงเบนความสนใจของข้าและจะได้ฆ่าข้าตอนที่ข้าไม่ได้ใส่ใจเจ้าแหละวะ”
“ยังไงซะ หากข้าไม่ตาย เจ้าก็ยังไม่วางใจว่าข้าจะไม่ปากโป้งเรื่องของเจ้าได้ตลอดรอดฝั่ง ข้าพูดถูกรึเปล่า”
หลินฟานในตอนนี้มองเฉินเฉียงด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง นั่นก็เพราะเป็นอีกครั้งที่เฉินเฉียงได้มองความคิดของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และนี่ทำให้เขาอารมณ์เสียแบบสุดๆ
“เมื่อเป็นแบบนี้ เฉินเฉียง เจ้าก็ตายไปซะ”
หลังจากพูดจบ หลินฟานได้พุ่งตรงไปที่เฉินเฉียงอีกครั้ง
“กว่าจะเข้ามาได้เนาะ”
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงได้พุ่งเข้าใส่เช่นกัน
พวกเขาได้สู้ต่อจนเกือบจะทั้งวันแล้ว
หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ออร่าของเฉินเฉียงที่ปลดปล่อยออกมานั้นยิ่งสู้นานก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ พลังภายในที่กระจุกแน่นอยู่ในจุดชีพจรทั่วร่างตลอดจนจุดชีพจรลับที่สิบสองของเขานั้นแน่นขนัดชนิดที่ว่าเอ่อล้นออกมา ราวกับว่ามันกำลังอดทนที่จะไหลไปสู่จุดชีพจรที่สิบสามแล้วพร้อมที่จะกระทุ้งเปิดมันออกได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงยังคงจดจำคำพูดของราชาสวรรค์ได้เป็นอย่างดี เขาได้ชี้แนะเอาไว้ว่าเขาจะต้องสกัดกั้นพลังงานสายเลือดให้อ้วนพลีและเอ่อล้นไม่ยอมให้พวกมันไปยังจุดชีพจรที่สิบสามได้โดยง่าย
และด้วยเหตุนี้เอง หลังสายเลือดของเฉินเฉียงในตอนนี้ราวกับได้พบกับทางตัน พวกมันราวกับดิ้นรนไปมาแต่ก็ไม่อาจจะทะลุผ่านไปได้ และนี่ทำให้พวกมันมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะไป นั่นก็คือการซาดซัดใส่กล้ามเนื้อและกระดูกของเฉินเฉียงอย่างรุนแรง ราวกับกำลังระบายความโกรธที่ไม่ยอมให้พวกมันออกไปสักที
นี่คือสิ่งที่เฉินเฉียงต้องการ
เขาต้องการให้พลังสายเลือดของเขานั้นซึมลึกเข้าไปในร่างกายส่วนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และปล่อยให้เป็นไปอย่างช้าๆในระหว่างต่อสู้กับหลินฟาน
นี่สมควรจะเป็นขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
ตราบใดที่พลังงานสายเลือดกักเก็บไว้ในปริมาณที่มากพอ ยามที่มันพุ่งตรงไปยังจุดชีพจรลับที่สิบสาม นั่นจะทำให้เขาได้รับผลตอบรับที่คุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม หาเขานั้นกักเก็บพวกมันได้ไม่มากพอ นี่จะทำให้พลังงานสายเลือดของเขาไม่รุนแรงพอที่จะทะลวงผ่าน และจะทำให้เขานั้นเสียเวลาเปล่า
และด้วยเหตุผลนี้ เพื่อที่จะให้ร่างกายของเขานั้นตื่นตัวพอที่จะสามารถรวบรวมพลังงานสายเลือดให้เกินกว่าขีดจำกัด เขาจึงทำได้เพียงเปิดหน้าต่างแสดงค่าสถานะของตนในระหว่างการต่อสู้และคอยเพิ่มพลังค่าสถานะของเขาไปด้วย
นี่คือสิ่งที่ทุกคนนั้นสมควรจะนึกไม่ถึง และนี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ทุกคนนั้นประหลาดในเมื่อได้เห็นว่าพลังสายเลือดของเฉินเฉียงได้ไหลโรยรินออกมาจนเห็นได้ แถมร่างกายของเขานั้นยังดูมีแรงเหลือ
ถ้าจะให้พูดกับตามตรงแล้ว ต่อให้เฉินเฉียงทะลวงจุดชีพจรลับที่สิบสองได้แล้วก็ตาม แต่ด้วยการต่อสู้ที่ยาวนานแบบนี้ พลังงานสายเลือดของเขานั้นสมควรจะหมดไปหลายรอบแล้วด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสักคนคิดว่าตราบใดที่เฉินเฉียงนั้นมีแก่นคริสตัลในแหวนมิติ เขานั้นจะไม่มีทางขาดพลังงานสายเลือด ต่อให้ต้องสู้ไปอีกร่วมเดือนก็ตาม
อีกหนึ่งวันได้ผ่านพ้นไป ออร่าของเฉินเฉียงเริ่มจะทำให้หลินฟานเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ถึงจะอย่างนั้น เฉินเฉียงยังไม่มีท่าทีที่จะหยุดต่อสู้แต่อย่างใด
เฉกเช่นการหลอมตีอาวุธ ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังต่อสู้ เขาก็ได้ทำการหลอมตีพลังงานสายเลือดที่อยู่ในร่างกายของเขา และนี่ยิ่งทำให้พวกมันไม่อาจทะลวงผ่านจุดชีพจรลับยิ่งขึ้น พวกมันจึงได้ถูกผลักออกมาเป็นออร่าที่ทรงพลัง
ในท้ายที่สุด ในตอนเย็นของการต่อสู้ในวันที่สองนี้ ออร่าของเฉินเฉียงก็ได้มาถึงขีดสุดเท่าที่ร่างจะรับไหว
เขาได้ตะโกนกู่ก้องออกมาลั่นท้องฟ้า ถึงแม้เสียงของเขาจะไม่ได้ออกมาจากมิติประลองแม้แต่น้อย แต่นี่ก็ทำให้หลินฟานที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นต้องตกตะลึงในทันที
นั่นก็เพราะออร่าของเฉินเฉียงนั้นได้ราวกับว่ามันเป็นวัตถุที่ทรงพลังและพุ่งตรงเข้าไปโจมตีจิตใจอันหนักแน่นของหลินฟาน
-เกิดอะไรขึ้นกันแน่-
-ทำไมอยู่ๆทำไมเฉินเฉียงถึงได้ดูน่ากลัวขนาดนี้ฟะ-
หลินฟางในตอนนี้อยู่ๆก็นึกกลัวเฉินเฉียงขึ้นมาจับใจจนไม่กล้าแม้แต่นะสบตาเฉินเฉียงตรงๆ
แค่เพียงออร่าแต่กลับใช้การต่อสู้แบบนี้ได้ยังไงกัน
ในตอนนี้เฉินเฉียงกู่ร้องลั่นท้องฟ้าอย่าไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด ความรู้สึกอัดอั้นภายในอกและอวัยวะภายในที่สั่งสมมาหนึ่งวันหนึ่งคืนราวกับได้ระบายออก และนี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกราวกับว่าขยับตัวได้ง่ายขึ้น
เขารู้สึกว่าเขานั้นบังคับร่างกายได้ดีกว่าแต่ก่อนอย่างมาก
ท่ามกลางความรู้สึกดีใจอย่างที่สุดนี้ เมื่อเฉินเฉียงได้มองไปที่หลินฟาน เขารู้สึกได้ว่าในตอนนี้หลินฟานดูราวกับเตี้ยลงไปอย่างบอกไม่ถูก
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอยากจะอธิบาย
ถึงแม้ว่าหลินฟานนั้นจะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณเหมือนกับเขา แต่เฉินเฉียงก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาสามารถชนะหลินฟานได้อย่างไม่ยากเย็น
มันเป็นความรู้สึกมั่นใจที่ราวกับว่าเป็นต้นไม้ฝังรากไว้ในใจของเขาจนแน่นลึกจนไม่อาจจะถอนออกได้โดยง่าย
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้นึกถึงคำพูดของราชาสวรรค์ขึ้นมา
-หรือนี่จะเป็นขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้กันนะ-
เขาจดจำได้ว่าหลังจากที่เขาโดนจับตัวไปโดยหยานเสวี่ยหลังจากไล่ฆ่าสายลับไปนั้น ราชาสวรรค์ได้พูดกับเขาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าก่อนที่จะก้าวข้าวระดับขั้นการบ่มเพาะไปขั้นกลางนั้นเขาจะต้องไม่เร่งร้อนจนกว่าจะพบเจอขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
ก่อนที่จะทะลวงผ่าน พลังงานสายเลือดจะต้องถูกกักเก็บเอาไว้ให้หนาแน่นที่สุด
และนี่จะทำให้บังเกิดออร่าพิเศษที่สามารถคุกคามศัตรูได้
และที่สำคัญที่สุดก็คือออร่าพิเศษนี้จะทำให้ศัตรูกลัวเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในตอนนี้ เว่ยหยวนตี้และคนอื่นต่างก็เห็นผลของออร่าของเฉินเฉียงเช่นกัน
“ท่านเว่ย ท่านสังเกตหรือไม่ว่าถึงแม้หลินฟานยังดูมีสภาพพอที่จะพร้อมสู้เฉินเฉียงได้อีกวันสองวันแต่เขากับดูราวกับเกรงกลัวขึ้นมา”
“ข้าก็เห็นเช่นกัน พี่เฉียน เมื่อไหร่กันที่สำนักเต่าดำมีเทคนิคการต่อสู้ระดับนี้งั้นรึ”
เฉียนฝู่ส่ายหน้าไปมาในทันทีอย่างงงๆและพูดออกมา “ท่านเว่ย นี่ไม่ใช่ทักษะของสำนักเต่าดำแต่อย่างใด”
“ท่านเว่ย ท่านอาจจะยังไม่รู้ เฉินเฉียงนั้นแต่เดิมก็แปลกประหลาดไม่เหมือนใครอยู่แล้ว หากนับจนถึงวันนี้เขาก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์สำนักเต่าดำได้เพียงปีหน่อยๆเพียงเท่านั้น”
“หะ”
เว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆตกอยู่ในห้วงความคิดในทันทีที่ได้ยิน