ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 183 ระดับการบ่มเพาะของราชันย์
บทที่ 183 ระดับการบ่มเพาะของราชันย์
หลังจากนั้นเว่ยหยวนตี้ได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวเฉินเฉียงว่าตัวเขานั้นกับเจิ้งยี่ได้ร่วมมือกันเปิดโปงเจิ้งยี่ได้ยังไง นี่ทำให้ศิษย์ทั้งสี่สำนักมีท่าทีที่หลากหลาย
เมื่อมาถึงจุดนี้ ทุกคนได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเจิ้งยี่และเฉินเฉียงนั้นต่างก็ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์และมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นี่ทำให้พวกเขามองทั้งสองคนอย่างเคารพและชื่นชม
ยิ่งไปว่านั้น เฉินเฉียงยังถูกนับถือว่าคือคนที่ยุติธรรมและเที่ยงธรรมไปโดยปริยาย นั่นก็เพราะ เขานั้นไม่ลังเลที่จะยอมไม่รับแต้มคะแนนจนได้อันดับหนึ่งเพื่อที่จะรับเฉพาะสิ่งที่ควรจะได้ นี่ทำให้เขานั้นได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้คนมากเสียยิ่งกว่าเดิม
“การประลองในครั้งนี้ หลังจากผ่านการรวมคะแนนแล้ว นี่คือผลคะแนนสุดท้าย
“อันดับหนึ่ง สำนักมังกรอาชูร่า 724,283 คะแนน”
“อันดับสอง สำนักเต่าดำ 642,748 คะแนน”
“อันดับสาม สำนักวิหคอสนีบาต 612,832 คะแนน”
“อันดับสี่ สำนักเสือขาว 610,419 คะแนน”
“อีกห้าปีนับจากนี้ ทรัพยากรที่แต่ละสำนักจะได้รับนั้นให้ถือลำดับตามนี้”
“แล้วก็ เหล่าศิษย์ที่สร้างผลงานได้ดีสิบอันดับแรกให้เข้าไปบ่มเพาะในห้องบ่มเพาะของตึกผู้การที่ได้เตรียมไว้แล้ว พวกเจ้าอยู่ได้ทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“ข้าหวังว่าพวกเจ้านั้นจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเจ้าในช่วงหนึ่งเดือนนี้เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะเข้าสู่เขตแดนจักรพรรดิในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า”
“เอาล่ะ ศิษย์สำนักห้าร้อยอันดับแรก ตามข้าไปที่ตึกจอมพลกันหนันซะ”
“ในตอนนี้มีกองกำลังของผู้การภาคกลางทั้งสามกองกำลังไปรอพวกเจ้าอยู่ที่ตึกจอมพลกันหนันเรียบร้อยแล้ว”
พวกเจ้าทั้งห้าร้อยคนที่ติดอันดับสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมกองกำลังที่ตัวเองต้องการ และอีกหนึ่งเดือนให้หลัง พวกเจ้าจะต้องติดตามกองกำลังเหล่านี้เข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิ
เมื่อมาถึงจุดนี้ งานประลองสี่สำนักถือได้ว่าสิ้นสุดอย่างแท้จริง
หากนับดูจากผลการประลองในครั้งนี้เมื่อเทียบกับครั้งก่อนแล้ว มีเพียงอันดับของสำนักมังกรอาชูร่าและวิหคอสนีบาตที่ไม่เปลี่ยนแปลง
หากไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องของหลินฟานล่ะก็ อันดับของสำนักเต่าดำและสำนักเสือขาวคงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงขนาดนี้
นั่นก็เพราะหลินฟานนั้นทำถึงขนาดที่ว่าฆ่าศิษย์สำนักเดียวกันที่ไม่ระวังตัวไปจนเกือบหมดสิ้นในมิติประลอง เมื่อแต้มคะแนนโดนเฉินเฉียงและเจิ้งยี่ได้ไปจึงเป็นธรรมดาที่คะแนนจะหายไปมากกว่าปกติ
และนี่ถือได้ว่าเป็นอันดับที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์การประลองของสำนัก
ยิ่งไปกว่านั้นคือในช่วงห้าปีนับจากนี้ ด้วยทรัพยากรที่สำนักเต่าดำได้ไปนั้นจะทำให้พวกเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมเรียกได้ว่าใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าพร้อมเผชิญการประลองในครั้งหน้าได้อย่างดี
และเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนแล้วเกิดขึ้นจากม้ามืดอย่างเฉินเฉียงเพียงคนเดียวเพียงเท่านั้น
และก่อนที่เฉียนฝู่จะพาศิษย์ที่เหลือกลับไป เขานั้นยังแสดงท่าทางมิตรไมตรีกับเฉินเฉียงอยู่เช่นเดิม
“เฉินเฉียง เรื่องที่แล้วไปแล้วก็แล้วกันไปเถอะนะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เจ้าก็ยังเป็นความภาคภูมิใจของสำนักเต่าดำ”
เฉินเฉียงเองไม่ต้องการให้สายสัมพันธ์ของพวกเขาต้องสั่นคลอนไปเหมือนกัน “ผอ.เฉียน อย่าได้กังวลไป ถึงแม้ว่าหลังจากออกจากเขตแดนจักรพรรดิข้าอาจจะต้องเข้าไปทำงานให้ตึกจอมพลเหมันต์จันทราเลยก็ตาม”
“แต่ยังไงซะข้าก็ยังจดจำได้อยู่ดีว่าข้านั้นคือศิษย์แห่งสำนักเต่าดำ”
“ข้าเองในตอนนี้คงทำได้เพียงฝากท่านผอ.กลับไปขอบคุณท่านอาจารย์ฮู่ต้าไฮ่ของข้า และรบกวนฝากบอกท่านด้วยว่าข้าจะหาโอกาสกลับไปเยี่ยมท่านให้ได้”
หลังจากศิษย์ไร้อันดับได้จากไป เว่ยหยวนตี้และเจ้าหน้าที่ของกองกำลังตึกจอมพลกันหนันนำพาศิษย์ที่ติดอันดับทั้งห้าร้อยคนไปยังตึกจอมพลกันหนัน
ในระหว่างทาง เว่ยหยวนตี้ได้เรียกเฉินเฉียงให้มาเดินไปด้วยข้างๆ
ในตอนนี้ นักเรียนทั้งห้าร้อยคนแห่งสี่สำนักได้ร่วมกลุ่มกันโดยไม่แบ่งแยกสำนักกันอีกต่อไป
เพราะยังไงซะนับจากนี้พวกเขาก็จะต้องถึงเวลาเลือกกองกำลังของผู้การทั้งหลายที่จะเข้าร่วมหลังจากไปถึงตึกจอมพลกันหนันแล้ว
และนี่แน่นอนว่าเว่ยฉิงเชินย่อมต้องเลือกเข้ากับพ่อของเธอ
“ศิษย์พี่ใหญ่เฉินเฉียง ข้าขอกล่าวขอบคุณท่านด้วยใจจริง”
เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมา “แค่เจ้าไม่โทษข้า แค่นั้นข้าก็ดีใจแล้ว”
แน่นอนว่าเฉินเฉียงย่อมเข้าใจดีว่าทำไมเว่ยฉิงเชินนั้นขอบคุณเขา นั่นก็เพราะว่าเขาได้คืนคะแนนของเธอกลับไป
นั่นก็เพราะหากว่าเขาไม่ยอมคืนละก็นี่จะเท่ากับว่าเธอไม่สามารถสร้างผลงานให้กับสำนักวิหคอสนีบาตก่อนที่จะจบการศึกษา และนี่จะเป็นเรื่องที่แย่ต่อจิตใจของเธอและสภาพการณ์ของสำนักวิหคอสนีบาตในอีกห้าปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
และนี่จะกลายเป็นแผลเป็นในใจของเธอและสำนักของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“แต่เรื่องนี้ทำให้พี่ใหญ่เฉินเฉียงไม่ได้รับรางวัลอันดับหนึ่งในการประลองนี้ไปนี่นา”
“นั่นน่ะสิ เฉินเฉียง หากว่าเจ้านั้นรู้ว่าวิธีการบ่มเพาะนี้ล้ำค่าขนาดไหนล่ะก็ ข้าเชื่อว่าเจ้านั้นจะต้องไม่ยอมปล่อยอย่างแน่นอน”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินมาจนถึงตอนนี้ก็อดที่จะสนใจไม่ได้เพราะเว่ยหยวนตี้ย้ำนักย้ำหนาราวกับต้องจะยั่วเขาเสียให้ได้
“ลุงเว่ย มันก็แค่เคล็ดวิชาการบ่มเพาะไม่ใช่เหรอ ข้าเองก็มีวิธีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะอยู่แล้วนา ไม่ใช่ว่าเคล็ดวิชาการบ่มเพาะไหนก็เหมือนกันไม่ใช่รึไง”
“เจ้าคิดผิดแล้ว เฉินเฉียง ข้าบอกได้เลยว่าเมื่อเจ้าถึงระดับราชาแล้ว เคล็ดวิชาการบ่มเพาะทั้งหลายที่เจ้าเคยใช้ได้ในระดับต่ำกว่าราชานั้นจะเป็นเพียงแค่เศษกระดาษเพียงเท่านั้น”
“และเพื่อที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาด หรือว่ามนุษย์กลายพันธุ์ ล้วนแล้วต้องการถวิลหาเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่ทำให้กลายเป็นราชาที่แท้จริง”
“ส่วนหนึ่งนั้นก็เพราะว่าระบบการบ่มเพาะในระดับราชานั้นอยู่เหนือกว่าที่พวกเจ้าเรียนรู้มาในระดับต่ำกว่าราชา จะบอกว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ว่าได้”
“และนี่จึงเป็นธรรมดาที่เหล่าระดับราชานั้นสามารถฆ่าล้างระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้อย่างง่ายดายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ”
เฉินเฉียงนั้นไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่นี่ก็ทำให้เชานึกถึงตอนที่โดนซุนไคจับกุมตัวไว้ ในตอนนั้นไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็ไม่อาจจะหลุดออกจากการควบคุมของระดับราชาได้ และนี่แสดงให้เห็นว่าหากเขาต้องเผชิญหน้ากับระดับราชา มีแต่ต้องตกตายเพียงเท่านั้น
“ท่านพ่อ แล้วที่ว่าระบบการบ่มเพาะที่แตกต่างกันนี่เป็นยังไงเหรอคะ”
เมื่อมาถึงตอนนี้ แม้แต่เว่ยฉิงเชินเองก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นไม่เชื่อว่าเว่ยหยวนตี้นั้นจะไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอมาก่อน นี่เป็นว่าเธอนั้นต้องการให้เฉินเฉียงรับรู้และคอยตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อของตนจะพูดต่อไปนับจากนี้
“เมื่อเจ้าทั้งสองเขาสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้ว พวกเจ้าจะต้องเข้าสู่ระดับกึ่งราชา”
“เมื่อเจ้ามาถึงระดับกึ่งราชานี้ การดูดซับแก่นคริสตัลจะแทบไม่ได้ผลเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่จะเสริมสร้างร่างกายของเจ้าได้จริงๆจะมีเพียงแก่นโลหิต”
“เฉินเฉียง เจ้าพอจะคิดออกหรือไม่ว่าพวกสัตว์ประหลาดนั้นบ่มเพาะกันยังไง”
“หรือเจ้าคิดว่าพวกมันเองก็ใช้แก่นโลหิตในการบ่มเพาะเหมือนกัน”
“เอ่อออ อืมมมม ข้าเองไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ” เฉินเฉียงได้พูดออกมาตามตรง
แน่นอนว่าเขานั้นไม่คิดว่าสัตว์ประหลาดจะบ่มเพาะโดยแก่นคริสตัลของสัตว์ประหลาดด้วยกันเองอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะมันไม่ต่างจากการกลืนกินตัวเองแต่อย่างใด
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ก็ทำให้เขาสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้สามารถยกระดับการบ่มเพาะได้ยังไงกัน
“งั้นให้ข้าบอกเจ้าแล้วกัน”
“สัตว์ประหลาดเหล่านี้แม้จะดูเหมือนว่าพวกมันได้สร้างปัญหาให้กับโลกของเราและนี่ทำให้พวกมันนั้นเป็นศัตรูของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ และด้วยการที่สัตว์ประหลาดเหล่านี้นอกจากจำนวนที่เพิ่มขึ้นมากแล้ว พวกมันยังแข็งแกร่งขึ้น จนพวกมันนั้นอยู่ในสภาวะที่พร้อมจะครองโลกได้ตลอดเวลา”
“และนี่จะบอกว่าสวรรค์นั้นคอยค้ำชูพวกมันมากที่สุดก็ว่าได้”
“ในทันทีที่พวกมันเกิดมานั้น พวกมันจะได้รับสิ่งที่เรียกว่าการสื่อสารกับพลังสวรรค์และโลกและนี่คือสิ่งที่พวกมันใช้ในการบ่มเพาะ”
“แต่มนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์นั้นทำแบบนี้ไม่ได้”
“เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นทำได้เพียงแค่รับรู้พลังแห่งสวรรค์และโลกได้เพียงเท่านั้น และเมื่อคนเหล่านี้สัมผัสพลังสวรรค์และโลกได้เมื่อไหร่ นี่จะถือได้ว่าเกิดการตื่นของสายเลือดและทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นตามสายเลือดที่ตื่น”
“และด้วยเหตุนี้ มีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับกึ่งราชาที่มีพลังจิตที่สูงล้ำเท่านั้นที่สามารถเริ่มสื่อสารกับพลังฟ้าดินได้และดูดซับพลังนี้ไว้ในร่างกายได้โดยตรง และนี่จะเสริมความแข็งแกร่งขั้นพื้นฐานของร่างกายได้อย่างมาก”
“เมื่อคนคนหนึ่งมาถึงระดับกึ่งราชาแล้ว ทั้งสายเลือดและพลังสายเลือดที่คนคนนั้นเคยได้รับรู้มาจะไม่เหมาะกับการบ่มเพาะร่างกายอีกต่อไป”
“และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้านั้นถึงจะต้องหาเคล็ดวิชาการบ่มเพาะใหม่เมื่อถึงเวลานั้น”
“ส่วนรางวัลของผู้ได้อันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้นั่นก็คือวิธีการบ่มเพาะยามที่คนคนนั้นไปถึงระดับกึ่งราชานั่นเอง”