ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 190 ธง
บทที่ 190 ธง
“กัปตัน นี่เป็นของท่าน”
หลังจากที่เดินออกมาได้สักระยะ จางหยวนได้นำธงพลสีดำออกมาให้
“กัปตัน นี่คือธงพลของพ่อของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะนำเกียรติยศแห่งกองกำลังเทียนเว่ยกลับมาได้”
จางหยวนในตอนนี้ได้ยื่นธงพลให้เฉินเฉียงด้วยมือทั้งสองข้างด้วยอาการที่สั่นอย่างยินดีแก่เฉินเฉียง
เฉินเฉียงเองก็รับธงพลมาพร้อมจับจมูกตัวเองเล็กน้อยราวกับกำลังภูมิใจ
เมื่อสามปีครึ่งที่แล้ว ตอนที่เขาปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาได้นั้น ปู่ซุนของเขาได้ฝากฝังความหวังให้เขาครอบครองธงพลนี้ให้ได้
ในฐานะที่ตนเป็นอดีตสมาชิกของกองกำลังเทียนเว่ย ถึงแม้ซุนต้าฮู่จะได้รับบาดเจ็บหนักเพื่อช่วยเฉินเฉียงจนท้ายที่สุดจุดตันเถียนของเขาต้องขาดสะบั้น สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทั้งหมดไป ด้วยวัยเพียงสี่สิบปีแต่ใบหน้าของเขากลับแก่ชราเต็มไปด้วยริ้วรอย
ถึงแม้ว่าจะเหลือตัวคนเดียว แต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่ปกป้องเฉินเฉียงอยู่ในหน่วยเก็บกู้ซากศพ และเก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้กับตนจนทำให้ผู้คนต่างรู้สึกว่าเขานั้นเป็นคนสันโดษ
หากว่าไม่ใช่เพราะพวกเขายังคงติดภารกิจอยู่ล่ะก็ เฉินเฉียงคงจะนำธงผืนนี้กลับไปยังอาณานิคมเขาหมางและกางต่อหน้าหลุมศพของซุนต้าฮู่เพื่อให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบสุขจริงๆสักที
และในขณะที่ถือธงผืนนี้ เขารู้สึกภูมิใจในพ่อของตน เฉินเทียนเว่ย พ่อผู้ซึ่งเขานั้นไม่เคยได้พบเจอ
ผู้คนทั้งสิบสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาต่างก็เชื่อว่าเฉินเฉียงนั้นจะนำพาให้กองกำลังกลับมาทรงพลังเฉกเช่นดังเดิม
นับจากนี้เขา เฉินเฉียงจะไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป
ทุกการกระทำของเขานั้นจะทำเพื่อตอบสนองต่อกองกำลังทั้งสิบสามคนของเขา
“จางหยวน….พี่ชายทุกท่าน ข้าขอสัญญาว่าทุกคนในกองกำลังจะต้องไม่ถูกโดนดูแคลนอีกต่อไป”
“ไม่เพียงที่จะรื้อฟื้นเกียรติยศให้พ่อของข้าเท่านั้น พวกท่านทุกคนเองก็จะต้องได้รับเกียรติยศที่ตั้งมั่นในการเข้าร่วมกองกำลังของพวกเรา”
แม้กัวเหลียง เจิ้งยี่ และคนที่เข้าใหม่จะไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เฉินเฉียงพูดสักเท่าไหร่ แต่จางหยวนกับคนอื่นๆนั้นแตกต่างกันออกไป
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในฐานะผู้ที่หลงเหลือของกองกำลังเทียนเว่ย พวกเขานั้นกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อแบกรับคำดูถูกเพื่อให้ธงผืนนี้ยังคงโบกสะบัด
ในวันนี้ เฉินเฉียงผู้ที่ได้รับรู้กันทั่วแล้วว่าคือทายาทของอดีตผู้นำกองกำลังได้มาถือธงนี้เอาไว้ นี่ทำให้พวกเขานั้นได้เห็นถึงอนาคตที่จะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจได้ยังไง
“กัปตัน เอ่อออ พี่สาวหนี่เฟิงและพี่สาวซวนเอ๋อผู้นี้ไม่ใช่ผู้ชายนา อย่างน้อยๆเจ้าก็ควรจะเพิ่มคำว่าพี่สาวสักหน่อยนะ
เป็นตอนนี้ที่น้ำแห่งความสุขของพวกเขาราวกับจะคืนกลับ มีเพียงเม่ยหลัวหลันเท่านั้นที่ร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะในที่สุดก็มีคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอเข้ามาเพิ่มสักที
เฉินเฉียงได้เก็บธงพลกลับเข้าไปก่อนที่จะหันไปถามจางหยวน “จางหยวน ข้าเองก็ได้เห็นท่าทางของทุกคนก่อนหน้านี้ พวกท่านไม่ได้มีกำไลสื่อสารระยะไกลกันหรอกเหรอ”
จางหยวนได้เกาหัวอย่างยากจะเอ่ย ในที่สุดก็ได้พูดออกมา “กัปตัน หลังจากที่ท่านจากไปนั้น พวกเราเองก็ได้รับทำภารกิจต่อสู้อยู่บ้าง”
“อย่างไรก็ตาม ค่าตอบแทนที่พวกเราได้นั้นช่างน้อยนิด แม้แต่แก่นคริสตัลที่ท่านให้ไว้ในตอนนี้ก็ยังหมดสิ้น”
เฉินเฉียงมองไปยังข้อมือจองจางหยวนและคนอื่นๆ มีเพียงเทพเงินตราและเม่ยหลัวหลันเท่านั้นที่มีกำไลนี้เป็นของตัวเอง ส่วนของคนอื่นอีกหกคนนั้นเป็นกำไลสื่อสารแบบธรรมดาเท่านั้น แม้แต่สิ่งที่ใช้เก็บของก็ยังเป็นกระเป๋าเก็บของเพียงเท่านั้น
ส่วนเหล่าคนใหม่นั้น เจิ้งยี่และหลัวซวนเอ๋อต่างก็มีแหวนมิติ ส่วนกัวเหลียงและหนี่เฟิงนั้นมีแบบคู่รักเสียด้วยซ้ำ
“กัปตัน ไม่ใช่ว่าลูกสาวของท่านเว่ยนั้นได้บอกมาว่าให้พวกเรายืมแก่นคริสตัลได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าท่านไม่ว่าอะไรทำไมเราไม่ยืมพวกเขามาก่อนแล้วค่อยคืนพวกเขาหลังจากออกมาล่ะ”
“หลางซานเอ๋อ เจ้าหุบปากไปเลยนะ” จางหยวนได้มองที่หลางซานเอ๋อด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดอกมา “กัปตัน ดูเหมือนว่านายพลหลินเองจะชังท่านพอดูเลยนา”
“เดี๋ยวก่อนนะจางหยวน ให้ข้าเดาก่อน….อืมมมม ศิษย์น้อง ข้าว่าต้องเป็นเรื่องที่เจ้ามีสายสัมพันธ์อันดีกับเว่ยฉิงเชินใช่ไหมล่า…”
“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”
“ข้าเห็นนะ เวลานายพลหลินมองไปที่เว่ยฉิงเชินนั้นเขามองเธอด้วยสายตาที่ราวกับจะกลืนกิน ศิษย์น้อง ดูเหมือนว่าเจ้าต้องเจอศัตรูความรักตัวเป้งอู๊วววว”
กัวเหลียงเองก็คิดคำนวณไว้แล้วว่าเฉินเฉียงนั้นต้องเผชิญหน้ากับศัตรูด้านความรักตัวฉกาจแน่ๆ และเป็นตอนนี้ที่มีใครบางคนได้ดึงหูของเขา นั่นก็คือหนี่เฟิง
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ยิ้มออกมา “ข้าไม่สนหรอก แล้วก็ไอ้ของที่เราต้องใช้ พวกเราจะซื้อหาพวกมันทั้งหมดในตอนนี้”
“ดังคำกล่าวที่ว่า เงินตราย่อมนำพาความสุขให้กับผู้คน”
“ตราบใดที่เราเข้าไปที่นั่น พวกเราจะทำงานด้วยกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเรานั้นจะไม่ได้อะไรกลับมา”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้มอบแก่นคริสตัลทั้งหมดที่มีให้กับหวังต้าลู่
“เทพเงินตรา ไปกับพี่หลัวหลันนะแล้วซื้อแหวนมิติมาคนละวงและกำไลสื่อสารระยะไกลมาอีกสิบสองอัน”
“กัปตัน ข้าไม่ต้องการมันหรอก ข้ามีอยู่แล้ว” เจิ้งยี่พูดจบก็ได้แสดงกำไลสื่อสารระยะไกลให้ดู
“ข้าเองก็มีแล้วเหมือนกัน” หลิวซวนเอ๋อได้พูดออกมา
“ดี ถ้างั้นพวกท่านก็ไปซื้อมาสิบอันแล้วกัน หลังจากนั้นก็ไปพบกันที่ชั้นสองของภัตตาคารติ้งฮู่ พวกเราจะรออยู่ที่นั่น”
หลังจากแจกแจงงานแล้ว เฉินเฉียงได้พาจางหยวนและคนอื่นๆไปยังชั้นสองของภัตตาคารติ้งฮู่
ครั้งสุดท้ายที่เขามา เว่ยฉิงเชินเคยพาเขามากินอาหารที่นี่ จางหยวนและพวกเองยังคงจดจำรสชาติของเตกีลาของร้านนี้ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสองปี ถึงแม้พวกเขาจะกินไวน์มากมายขนาดไหนแต่ก็ยังไม่เคยลืมรสชาติของเตกีลาที่นี่เลยแม้แต่น้อย
เฉินเฉียงเองรู้ว่าเจิ้งยี่เองก็มีสมบัติอยู่มากมายอยู่ในแหวน คราวนี้ไม่เพียงเขานั้นจะต้องจ่ายทุกสิ่งให้กับเจิ้งยี่และหลิวซวนเอ๋อด้วยแก่นคริสตัลแล้ว เขายังต้องเตรียมเตกีลาให้กับทุกคนเอาไว้ยามที่เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ
“เสี่ยวเอ้อ นำเตกีลามาให้พวกเราสิบไห แล้วก็เนื้อสัตว์ประหลาดดีๆสักหน่อยนะ”
เพียงพวกเขานั่งลง เฉินเฉียงก็ได้ยกมือและพูดกับผู้จัดการด้วยความคุ้นเคย
“โอ้ ท่านแขกผู้ทรงเกียรตินี่เอง ท่านเองก็จะเข้าไปยังมิติจักรพรรดิใช่ไหมครับ”
“หัวหน้าของเราได้สั่งไว้ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้กล้าที่จะเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิ ให้พวกเรานั้นลดค่าอาหารให้ครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าทั้งเครื่องดื่มทุกชนิดและอาหาร”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปจัดการสั่งบริกรของเขาให้จัดการอาหารอย่างรวดเร็ว
เพียงอาหารได้เริ่มวาง เม่ยหลัวหลันและหวังต้าลู่ได้กลับมาอย่างเซ็งๆ
“กัปตัน พวกเรากลับมาแล้ว”
เม่ยหลัวหลันได้กลับมาอย่างคอตก ก่อนที่จะนั่งซังกะตายอยู่ข้างเทพเงินตรา
“เกิดอะไรขึ้นกัน” เฉินเฉียงถามออกมาอย่างสงสัย “อย่าบอกนะว่าแก่นคริสตัลที่ให้ไปไม่พอน่ะ”
“ไม่ใช่ค่ะกัปตัน พวกเร…”
เม่ยหลัวหลันต้องการจะพูดอะไรออกมาแต่เธอถูกหยุดไว้ก่อน
“ให้ข้าพูดเอง”
เทพเงินตราได้ถอนหายใจและพูดออกมา “กัปตัน พวกเราได้ซื้อแหวนมิติมาแล้ว แต่ตอนที่เรากำลังจะไปซื้อกำไลสื่อสารนั้น พวกเราก็ได้พบกับองครักษ์ของตึกจอมพลภาคกลาง”
“พวกเขายกพวกเข้าไปในร้านอย่างกับร้านตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขานั้นยังบอกว่าให้เลือกซื้อของกันอย่างช้าและไล่ให้พวกเรานั้นไปซื้อของกันที่อื่น”
“ไอ้นรก รีบไปเตะตูดมันกันดีกว่า”
เหรินหมิงที่หัวร้อนและหลางซานเอ๋อได้ยืนขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน พวกเขาโยนตะเกียบในมือในทันที
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”
จางหยวนสบถออกมาอย่างเย็นชา “กัปตันอยู่ที่นี่ นี่ใช้เรื่องที่พวกเจ้าเป็นคนตัดสินใจรึไงกัน”
ทั้งสองคนได้หยุดท่าทางก่อนที่จะหันไปมองเฉินเฉียงพร้อมกัน
เฉินเฉียงเองก็โยนตะเกียบในมือก่อนที่จะกลอกตามองทั้งสองคน “จะมัวมองทำบ้าอะไรกันล่ะ พวกเรากองกำลังเทียนเว่ยยินดีที่จะตกตายในสนามรบ พวกเราไม่เคยกลัวความตายอยู่แล้ว”
“เจิ้งยี่ ไปจ่ายเงินค่าไวน์และอาหารก่อน หลังจากพวกเราซื้อของเสร็จแล้ว พวกเราจะกลับมาที่นี่”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้นำคนอื่นออกไปจากภัตตาคารติ้งฮู่และตรงไปยังร้านขายอุปกรณ์