ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 199 เปิดเขตแดน
บทที่ 199 เปิดเขตแดน
“ฉิงเชิน เงียบนะ”
เว่ยหยวนตี้ได้ตวาดลูกสาวของตนออกมาในทันทีก่อนที่จะโค้งให้กับฮั่นจุยและพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น โปรดอภัยให้กับการเสียมารยาทของลูกสาวของข้าและเฉินเฉียงด้วยเถอะครับ”
“อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อาวุโสฮั่น ความจริงแล้วท่านนั้นก็ไม่ควรที่จะทำร้ายเฉินเฉียงแบบนี้ด้วยเช่นกัน”
“เขานั้นคือนายพลเว่ยหวู่ที่ท่านผู้การสูงของเขตกันหนันแต่งตั้งยศให้ด้วยตัวเอง แถมเขานั้นยังเป็นถึงทายาทของวีรบุรุษแห่งเขตกันหนัน เฉินเทียนเว่ย”
“เมื่อสองปีก่อน ตึกจอมพลกันหนันและตึกจอมพลเป่ยเชินได้ร่วมมือกันต่อกรกับกองกำลังสัตว์ประหลาด หากในครั้งนั้น เฉินเฉียงไม่นำกองกำลังของเขาเข้าร่วมเผชิญหน้า มนุษยชาติจะต้องสูญเสียอย่างหนักไปแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังได้ช่วยสำนักมังกรอาชูร่าจัดการเรื่องของสายลับที่เตรียมจะถูกส่งเข้ากับตึกจอมพลภาคกลางไปได้อีก”
“กับอัจฉริยะที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติไว้มากมายตั้งแต่ยังหนุ่ม โปรดให้อภัยในความผิดของเขาด้วยเถอะครับ”
คำพูดของเว่ยหยวนตี้นี้ได้ทำให้นักรบทุกคนนั้นรู้สึกเคารพเฉินเฉียงขึ้นมาอยู่ในใจ
“โห่ ข้าไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าไอ้เด็กน้อยนี่จะมียศมีตำแหน่งกับเขาแล้ว หึหึหึ เว่ยหยวนตี้ เจ้านั้นคิดว่าจะกดดันข้าที่เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสภาสูงด้วยผลงานของไอ้เด็กนี่เนี่ยนะ”
คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าฮั่นจุยนั้นไม่คิดจะปล่อยเฉินเฉียงไป
แต่เป็นตอนนี้ที่ผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียที่อยู่ข้างๆได้พูดออกมา
“เฮ้ออออ ผู้อาวุโสฮั่น ช่างมันเถอะ ทำไมเจ้าต้องไปใส่ใจกับท่าทางของผู้น้อยแบบนี้กัน”
“แถมนี่ก็เกือบถึงเวลาที่ต้องเปิดเขตแดนแล้วนะ ช่างมันแล้วรีบเตรียมตัวได้แล้ว”
อย่างที่คาด ถึงแม้ว่าระดับการบ่มของผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียจะด้อยกว่าฮั่นจุย แต่ทั้งสองต่างก็เป็นผู้อาวุโสของสภาสูง ฮั่นจุยจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงเลิกรังแกเด็กไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า โชคดีไปนะเอ็ง เฉินเฉียง เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสทั้งสองนี่หรอกนะ เรื่องในวันนี้ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า”
หลังจากนั้น ฮั่นจุยได้พูดออกมาอย่างเย็นชา “เว่ยหยวนตี้ ในเมื่อลูกสาวของเจ้านั้นอยากจะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินักล่ะก็ ได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้านั้นจะหาคนที่มีฝีมือพอที่จะปกป้องเธอได้ด้วยก็แล้วกันนะ”
“หากว่าเธอนั้นเป็นอะไรขึ้นมาตอนอยู่ที่นั่น คนคนนั้นต้องถูกประหาร”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ยังมีใครที่กล้าจะอยู่ข้างเธออีก
เว่ยฉิงเชินโกรธจัดในทันทีเมื่อได้ยิน “ผู้อาวุโสฮั่น ข้าจะเป็นจะตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนอื่นกัน นี่มันเรื่องของข้าไม่ใช่คนอื่นเลยสักนิด”
“และข้านั้นไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องข้าเลยสักนิด”
“หากท่านยังคิดจะบังคับข้า ข้า เว่ยฉิงเชิน ขอสาบานว่าจะรายงานเรื่องของท่านต่อสภาสูงให้จงได้”
“ฉิงเชิน นี่เจ้าจะมากเกินไปแล้ว”
เว่ยหยวนตี้โกรธขึ้นมาในทันที เขานั้นอยากจะตบหน้าลูกสาวของตนสั่งสอนสักทีเสียตรงนี้ แต่เมื่อเขานั้นได้เห็นใบหน้าที่เย็นยะเยียบของฮั่นจุย เขาจึงรีบพร่ำพูดคำขอโทษออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น เป็นข้าที่ให้ท้ายลูกสาวมากเกินไป โปรดให้อภัยข้าด้วย ท่านผู้อาวุโส”
ฮั่นจุยได้สบถออกมาในทันที “เว่ยฉิงเชิน เหอะ นี่เจ้าจะรายงานข้า พูดเรื่องบ้าอะไรกัน”
“ถ้าอย่างงั้นข้าขอถามหน่อยเถอะว่าเจ้าจะรายงานข้าเรื่องอะไร”
“เจ้าจะรายงานข้าเรื่องที่ว่าข้านั้นต้องการให้มีคนปกป้องเจ้าในเขตแดนจักรพรรดิเนี่ยนะ”
“หรือเจ้าจะรายงานข้าที่ว่าข้านั้นป้องกันไม่อัจฉริยะของเผ่าพันธ์ุคิดสั้นวิ่งเข้าหาอันตรายในเขตแดนจักรพรรดิ”
“ให้ข้าบอกเจ้าเลยนะว่าหากเจ้าเกิดอะไรขึ้นมาในเขตแดนจักรพรรดิ อย่าว่าแต่เอาคนที่ต้องคอยดูแลเจ้าเลยที่ต้องตาย แม้แต่เฉินเฉียงเองก็ต้องตายไปด้วย”
เมื่อได้ยินดังนี้ เฉินเฉียงได้เดินมาขวางหน้าฉินเชิงเอาไว้ และมองผู้อาวุโสฮั่นด้วยสายตาที่เย็นชา “ก็ได้นะ ผู้อาวุโสฮั่น ยังไงท่านก็เป็นใหญ่อยู่แล้วนิ ท่านพูดอะไรก็ถูกต้องอยู่แล้ว”
“มันก็แค่ปกป้องฉิงเชินเองไม่ใช่เหรอ”
“ข้า เฉินเฉียงจะรับมันไว้เอง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า กับเด็กน้อยเช่นเจ้าที่อยู่เพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเนี่ยนะจะมาปกป้องเว่ยฉิงเชิน โว้ยยยย ข้าล่ะขำนัก”
“ไอ้เด็กน้อยเช่นเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะปกป้องนางได้หรอก”
“ที่ข้าพูดนั้นหมายความว่าไม่ว่าเจ้านั้นจะอยู่ข้างนางหรือไม่ หากเธอเป็นอะไรไป เจ้านั้นก็ต้องถูกสังหาร”
“ท่าน” ในตอนนี้เฉินเฉียงรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ
ฮั่นจุยคนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าคิดจะฆ่าเขาให้ได้
“ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลไป ปล่อยให้เรื่องของศิษย์น้องฉิงเชินไว้กับข้า ข้าจะคอยดูแลนางเอง”
เป็นตอนนี้ที่หลู่ฟางตะโกนออกมาอย่างดัง
นั่นก็เพราะเขานั้นกลัวว่าเฉินเฉียงจะก่อปัญหาจนกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงกับผู้อาวุโสฮั่น และหากเป็นถึงระดับนั้น เฉินเฉียงน่าจะต้องตกตายก่อนที่จะได้เข้าไปที่นั่นเป็นแน่
เฉินเฉียงที่ได้ยินและพยักหน้ารับด้วยความจริงใจและมองที่หลู่ฟางและพูดออกมา “ข้าขอโทษศิษย์พี่ใหญ่ด้วยจริงๆที่สร้างปัญหาให้ท่าน”
“เอาล่ะ ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว ผู้อาวุโสฮั่น พวกเรามาเริ่มกันได้แล้ว ข้าเองรู้สึกได้ว่าไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดได้เข้าไปแล้ว”
“หากพวกเราช้าไปกว่านี้ ข้าเกรงว่าเผ่าพันธุ์ของเรานั้นจะเสียหายไปมากกว่านี้”
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสฮั่นเองจะรับรู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เขานั้นก็ไม่คิดว่าจะโดนผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียนพูดออกมาแบบนี้
นี่ทำให้ผู้อาวุโสฮั่นทำได้เพียงหันหลังกลับไปและนั่งลงระหว่างผู้อาวุโสทั้งสอง
“ทุกคนจงฟัง”
“พวกเราสามผู้อาวุโสจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการเปิดทางเข้าสู่เขตแดนจักรพรรดิ พวกเจ้านั้นต้องเข้าไปข้างในให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ และเมื่อเข้าไปแล้ว พวกเจ้าจะไม่อาจออกมาจากที่นั่นได้อีกในช่องทางเดิม”
หลังจากพูดจบ ฮั่นจุยและผู้อาวุโสอีกสองคนก็ได้ยื่นมือออกไป ก่อนที่จะชี้ไปที่กำแพงหินที่อยู่ตรงตีนเขาเอเวอเรสต์
ทั้งสามคนได้ปล่อยกระแสพลังงานออกมาและบังคับมันไปยังกำแพงหินจนบังเกิดการสั่นสะเทือน
ไม่นาน หลุมขนาดเท่าร่างกายมนุษย์ก็ได้ปรากฏขึ้นมา มันดำสนิทและขอบวงเปล่งประกายราวกับหินผาตรงนั้นเกิดการลุกไหม้อยู่
หลุมนี้ได้ใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งมีขนาดพอที่จะให้คนเข้าไปได้ทีละสามคนในคราวเดียว ภายใต้คำสั่งของเว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆ เหล่านักรบก็ได้พุ่งตรงเข้าไปในหลุมแห่งนี้
แต่เฉินเฉียงนั้นได้มองไปที่อุโมงค์ทางเข้าเขตแดนนี้โดยไม่แสดงท่าทีจะเข้าไปแต่อย่างใด
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง เข้าไปกันเถอะ”
“ฉิงเชิน เจ้าเข้าไปก่อนแล้วกัน ข้านั้นอยากอยู่ดูมันอีกสักพัก”
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทางโกหกเธอ เธอจึงทำได้เพียงตามหลู่ฟางและคนอื่นๆไปเพียงเท่านั้น
“กัปตัน พวกเขาจะเข้าไปตอนไหนเหรอ”
“จางหยวน พาทุกคนเข้าไปก่อนแล้วกัน ข้าจะตามเข้าไปทีหลัง”
“ทำไมล่ะ”
“อย่าถามมากน่า ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
น้ำเสียงของเฉินเฉียงนี้ทำให้เขานั้นไม่ได้ถามอะไรอีก ในฐานะที่เป็นรองกัปตันไม่อาจขัดคำสั่งได้
“เจิ้งยี่ เจ้าก็ด้วย”
“ไม่ ข้าเป็นองครักษ์ของท่าน ท่านอยู่ที่ไหน ข้าอยู่ที่นั่น”
เจิ้งยี่นั้นเป็นคนมีหลักการ เขาปฏิเสธในสิ่งที่ขัดกับหลักการของเขาในทันที นี่ทำให้เฉินเฉียงร้อนรนในทันใด
“เจิ้งยี่ ทุกคนในกองกำลังของเรานั้นบาดเจ็บ แล้วถ้าเฉียวกังยังคิดผูกใจเจ็บล่ะก็ เจ้าคิดว่าจงหยวนและพวกในตอนนี้จะจัดการศัตรูได้งั้นรึ”
“แต่…” เจิ้งยี่ยังคงรั้นอยู่ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงแล้วทำให้เขานั้นเลิกที่จะรั้นไป
“เจิ้งยี่ หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลัง ข้า เฉินเฉียงคนนี้คงไม่อาจจะสงบใจลงได้เป็นแน่”
“ข้าเพียงต้องการให้เจ้าเข้าไปก่อนเพียงเท่านั้น อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบกับพวกเจ้าในนั้น”
“ในเมื่อเจ้าเป็นองครักษ์แล้ว ยังไงซะก็ต้องฟังคำสั่งของข้า เร็วๆเข้า”
เจิ้งยี่ไม่มีทางเลือกและทำได้เพียงฟังคำสั่งเท่านั้น “ระวังตัวด้วย” หลังจากนั้นเขาก็ได้ตามจางหยวนและคนอื่นๆเข้าไป
ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง นักรบเกือบหมื่นก็ได้เข้าจนเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงเฉินเฉียงเท่านั้นที่ยังจ้องมองไปยังปากทางเข้ามิติจักรพรรดิ
“เฉินเฉียง นี่เจ้าจะรออะไรอีก เข้าไปซะ ทางเข้าจะปิดอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงยังคงยืนอยู่ เว่ยหยวนตี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างร้อนรน
เฉินเฉียงได้เดินไปช้าๆตรงปากทางเข้ามิติจักรพรรดิ
“ไอ้หนู นึกกลัวรึไง”
“แกน่ะ ไม่กล้าที่จะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิใช่ไหมล่ะ”
“เหอะไอ้หนูขี้ขลาด”
“ข้านึกไม่ออกเลยจริงๆว่าเด็กอย่างแกนั้นได้รับตำแหน่งนายพลเว่ยหวู่ได้ยังไง”
เพียงเห็นเฉินเฉียงยังยืนยึกยักอยู่ที่หน้าทางเข้ามิติ ฮั่นจุยนั้นนึกว่าเฉินเฉียงนั้นลังเลว่าควรจะเข้าไม่เข้าดี เขาจึงได้กล่าวคำดูถูกออกมา
เฉินเฉียงได้สบถออกมาหนึ่งทีก่อนที่จะพูดออกมา “เหอะ ผู้อาวุโสฮั่น ท่านั้นคงไม่ใช่ว่าหมดแรงแล้วหรอกนะถึงเปิดทางเข้านี้ต่อไม่ได้น่ะ”
“เจ้า ฮึ่ม ไอ้เด็กจองหอง เจ้ากล้าท้าทายข้าเรอะ” ดวงตาของฮั่นจุยฉายแววเย็นยะเยียบก่อนที่จะถอนมือของตนออกในทันที
นี่ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองนั้นประสบปัญหาใหญ่ในทันใด
อุโมงค์ทางเข้านี้จำเป็นต้องใช้พลังของระดับราชาสามคนในการเปิด พวกเขานั้นไม่คิดว่าอยู่ๆฮั่นจุยจะถอนพลังตัวเองออกอย่างนี้
และนี่ทำให้อุโมงค์ทางเข้าเล็กลงเรื่อยอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเล็กเหลือเท่าแขนคน นี่ทำให้ทั้งสองต้องถอนมือออกมาอย่างช่วยไม่ได้
พวกเขาต่างก็หันไปมองฮั่นจุยและเฉินเฉียงที่กำลังตั้งแง่ใส่กัน
“เหอะ เป็นไอ้เด็กนั่นต่างหากที่มันกลัวตายที่นั่น ไม่อย่างนั้นมันจะยึกยักทำซากอะไรล่ะ ฮึ่ม”
อย่างไรก็ตาม เพียงสิ้นคำของฮั่นจุย เขาก็เห็นว่าเฉินเฉียงมองเขาอย่างดูแคลนก่อนที่จะใช้หัวของตนพุ่งเข้าใส่กำแพงหินตรงหน้าในทันที