ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 208 เฉียวกังอีกครั้ง
บทที่ 208 เฉียวกังอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงได้จากไปแล้ว กัวเหลียงได้มองตามพร้อมพูดออกมาเบาๆ “หนี่เฟิง เจ้าคิดว่าศิษย์น้องเล็กของเรานั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์รึเปล่า เจ้าคิดว่าไง”
มุมปากของหนี่เฟิงกระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าน่ะไม่เชื่อ แต่….”
“หลักฐานนั้นมันชัดเจนเกินไป ด้วยปีกสีเงินที่ยาวกว่าสิบเมตรบนหลังของเขานั้นไม่เพียงจะไม่เหมือนกับมนุษย์กลายพันธุ์ที่พวกเราเคยเห็นมาแล้ว มันยังใหญ่เกินกว่าปีกสีเงินที่ข้าเห็นมากนัก”
“ไม่ ไม่มีทางเลยที่กัปตันจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”
หลางซานเอ๋อส่ายหัวไปมาอย่างหนัก
“จางหยวน เจ้าคิดว่าศิษย์น้องของข้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆงั้นเหรอ”กัวเหลียงถามออกมาอีกครั้ง
จางหยวนเมื่อได้ยินก็พูดออกมาด้วยเสียงที่นิ่งลึก “ข้าไม่เชื่อในความรู้สึก ข้าเชื่อในสิ่งที่เห็น เจ้าก็เห็นไม่ใช่รึไง”
“ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ พวกเราจะต้องรีบส่งข้อมูลนี้ให้ทุกคนได้รับรู้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เฉินเฉียงนั้นแฝงตัวเข้าไปในฐานะมนุษย์และทำอันตรายกองกำลังอื่น”
“ไม่มีทาง” กัวเหลียงได้จับกำไลสื่อสารของจางหยวนแล้วแย่งออกมาในทันที “จางหยวน ที่เจ้าพูดออกมามันก็ถูก พวกเราต่างก็เห็นปีกของศิษย์น้อง”
“แต่เจ้าเองก็เห็นท่าทางของเขาก่อนที่เขาจะจากไป”
“เขายังพูดออกมาอย่างมั่นใจด้วยซ้ำว่าเขานั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์”
“เจ้าเองบอกว่าเชื่อในสิ่งที่เห็น แล้วทำไมเจ้าไม่คิดจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินดูบ้าง ห้ะ”
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ศิษย์น้องนั้นเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายพร้อมพวกเรา แถมตอนนี้เขายอมเสี่ยงเพื่อช่วยพวกเราไว้ด้วยซ้ำ”
“แล้วหากว่าเขานั้นพิสูจน์ตัวเองได้ว่าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้าได้ใส่ร้ายว่าเขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์รึไงกัน”
“ถูกต้อง รองกัปตัน แต่ให้พวกเรานั้นคิดถูก เขาอาจเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริง แต่มาถึงตอนนี้ เขานั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นเภทภัยของมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดเสียด้วยซ้ำ”
แล้วหากว่าเราเข้าใจเขาผิดไปจริงๆ และด้วยการรายงานของพวกเรานี้จะกลายเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง แล้วในภายภาคหน้าจะต้องมาเศร้าเสียใจกันทีหลัง
ด้วยคำพูดของหนอนหนังสือหลูจี้ที่ถือได้ว่าเป็นคนฉลาดที่สุดในกองกำลังนั้นได้ทำให้ทุกคนส่วนใหญ่เห็นด้วย
เมื่อเห็นดังนี้ จางหยวนทำได้เพียงตัดใจไปเท่านั้น
“ปี๊บปี๊บปี๊บ”
ในตอนนี้ เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมา เป็นกำไลสื่อสารของเจิ้งยี่
เจิ้งยี่ได้มองไปที่ข้อความแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรอีก เขาปิดกำไลสื่อสารในทันที
“เจิ้งยี่ เกิดอะไรขึ้น เป็นเฉินเฉียงงั้นรึ”
เจิ้งยี่ได้ส่ายหัวไปมาและพูดตอบไป “ไม่มีอะไร รองกัปตัน นับจากนี้ท่านเป็นคนตัดสินใจ บอกมาว่าพวกเราต้องทำอะไรต่อ”
แต่เดิมนั้น เจิ้งยี่เข้ามาในกองกำลังนี้เป็นเพราะเฉินเฉียง จางหยวนเองก็กังวลไม่น้อยในตัวเขา เขากลัวว่าเจิ้งยี่จะจากไปด้วยอีกคน
อย่างไรก็ตาม เท่าที่เขาดูแล้วน่าจะเป็นการกังวลมากเกินไป
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าเป็นคนที่มีท่าเท้าที่ดีที่สุดในกองกำลัง นับจากนี้ ข้าจะเป็นคนลาดตระเวนเส้นทางก่อน”
“เจิ้งยี่ เจ้ามีระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุด ช่วยข้าดูแลทุกคนตอนที่ข้าไม่อยู่ คิดว่ายังไง”
เมื่อเจิ้งยี่ได้ยินก็พยักหน้ารับ “อย่าได้กังวล ข้าจะปกป้องทุกคนอย่างสุดความสามารถ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นเก็บสินสงครามซะ หลังจากฟื้นฟูร่างกายแล้วค่อยเดินทางต่อ”
……
เฉินเฉียงในตอนนี้ที่ถูกขับไล่ออกจากกองกำลังแล้วนั้น เขาได้บินออกมาไกลนับร้อยไมล์ในชั่วอึดใจเดียวก็ได้เก็บปีกของตนและลงไปสู่พื้นดิน
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้สึกผิดหวัง แต่หลังจากสงบใจลงเลยก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลแล้วเหมือนกัน
หากว่าเป็นเขาเองเมื่อพบว่าคนที่อยู่ด้วยนั้นมีสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แสดงออกมาให้เห็นล่ะก็ เขาเองก็คงมีท่าทางไม่ต่างกัน
ส่วนเรื่องเจิ้งยี่นั้น เขาค่อนข้างมั่นใจตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีทางทำอะไรมนุษย์จึงได้ช่วยเอาไว้ตั้งแต่ต้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงจึงรีบส่งข้อความไปบอกเจิ้งยี่ หวังให้เขาช่วยค้ำชูกองกำลังเทียนเว่ยและปกป้องทุกคนไว้
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เจิ้งยี่นั้นคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังเอาไว้
หากว่าเขายังคงอยู่ในกองกำลัง อย่างน้อยๆเขาจะสบายใจในเรื่องของจางหยวนและคนอื่นๆ
ในขณะเดียวกัน เขานั้นต้องการใช้โอกาสนี้ในการผูกมัดเจิ้งยี่ให้มีความผูกพันกับคนในกองกำลัง ถึงแม้เขานั้นจะยอมหักหน้าจ้าวลี่ไปแล้วก็ตาม แต่ความเคลือบแคลงย่อมไม่จางหายไปโดยง่าย
หลังจากเริ่มคลายความกังวลได้แล้ว เฉินเฉียงก็เริ่มใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบในทันที และในครั้งนี้เขาคิดว่าจะหากองกำลังมนุษย์กลายพันธ์ุ
ในเมื่อตอนนี้เขานั้นไม่อาจจะลงความคับแค้นใจกับกองกำลังของตนได้ เขาจึงเลือกที่จะลงกับมนุษย์กลายพันธุ์แทน
ในระหว่างนี้ ถึงแม้เขาจะได้พบเจอกองกำลังมนุษย์อยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่คิดจะเข้าไปข้องเกี่ยวแต่อย่างใด
ถึงแม้เขตแดนนี้จะเต็มไปด้วยพืชพรรณ แต่สำหรับเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากหญ้าข้างทาง
ด้วยค่าพลังจิตของเขาที่สูงล้ำ ทำให้เขานั้นมีระยะการตรวจสอบด้วยกระแสจิตอยู่ที่หนึ่งพันกว่าเมตร และยิ่งถ้าเขาได้บินอยู่ในอากาศแล้ว นี่ยิ่งทำให้เขารับรู้ได้ในทุกสิ่งที่อยู่ข้างล่างอย่างชัดเจน
หลังจากผ่านไปสิบวัน เขาก็ได้พบเจอกองกำลังของมนุษย์กลายพันธุ์
ความจริงแล้วหากไม่ใช่ว่าต้องต่อสู้กันล่ะก็ เขาเองก็ไม่คิดจะเผยตัวอยู่ดี
ยังไงซะ เขาก็ไม่ใช่หนึ่งในพวกมัน
แต่ตอนนี้ต่างกันไป เพราะว่ามนุษย์กลายพันธ์ุกว่ายี่สิบตนนี้กำลังรุมล้อมกองกำลังมนุษย์อยู่อย่างสุดความสามารถ
ในตอนนี้ มีเพียงไม่กี่คนในกองกำลังนี้เท่านั้นที่พอจะต่อกรกับมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ได้
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงได้พุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล ก่อนที่จะใช้ปีกสีเงินโจมตีออกไปประดุจเครื่องบดเนื้อที่ทรงพลัง
การปรากฏตัวของเฉินเฉียงนี้ทำให้เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นแตกฮือกันในทันที
“ไอ้ระยำ นี่แกมาจากกองกำลังไหนกันเนี่ย ทำไมถึงไปช่วยพวกมนุษย์ได้”
มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่มาทีหลังนั้น ทั้งๆที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกันแต่ดันมาโจมตีพวกเดียวกันซะเอง
เฉินเฉียงได้ยกดาบดั้นเมฆของตนและตวัดออกไปพลางตอบคำถามของหัวหน้ากลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงไปพลาง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคือนักล่าผู้เชี่ยวชาญในการล่าพวกแกยังไงล่ะ ตาย”
เพียงแค่ช่วงสั้นๆก็ทำให้เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่มัวแต่ตกตะลึงถูกเฉินเฉียงฆ่าไปกว่าครึ่ง
เมื่อเห็นว่าพวกของตนตกตายไปเกินครึ่ง มนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลือก็ได้พุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงพร้อมๆกันและโจมตีอย่าสุดกำลัง
มนุษย์ที่เหลือรอดก็ได้ฉวยโอกาสนี้ในการออกจากวงล้อมของมนุษย์กลายพันธุ์
แต่เมื่อเขาหันกลับมาดูก็ต้องตกตะลึงจนพูดออกมา
“เฉินเฉียง เป็นเจ้า”
เฉินเฉียงที่อยู่กลางต่อสู้นั้นแทบรู้สึกอยากจะตบหน้าของตัวเองไปสักสองที
กลายเป็นว่าคนที่เขามาช่วยนั้นดันเป็นเฉียวกังคนที่เกลียดเขาเข้าไส้
“เฉียวกัง รีบกลับมาช่วยฆ่าศัตรูเร็วเข้า”
เฉียงกังได้ตะโกนในขณะที่วิ่งหนีออกไป “เฉินเฉียง แกคิดว่าข้าโง่รึไงกัน”
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าแม้แต่แกก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์กับเขาด้วย”
“แกแสร้งทำเป็นคนดีแล้วข้าหลินฟานแห่งสำนักเสือขาวสินะ ทั้งๆที่เจ้าเองก็ไม่ได้ต่างไปจากมัน”
“แกรอก่อนเถอะ รอข้าบอกเรื่องนี้ให้กับเผ่าพันธุ์ของเราก่อน ข้าต้องเปิดโปงเรื่องของแกต่อเผ่าพันธุ์ให้ได้”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ร้อนรนในทันใด
ให้เฉียวกังหนีออกไปได้จริงล่ะก็ เขาคงจะหมดโอกาสในการอธิบายเรื่องนี้แล้ว
นี่จึงให้เขารีบวิ่งตามไปแม้จะอยู่ในวงล้อมการต่อสู้ก็ตาม
ด้วยการที่มนุษย์กลายพันธุ์หกตนที่เหลือนี้ตามมาติดๆ หนึ่งในนั้นเองถึงกลับใช้ทักษะเหนือมนุษย์เพื่อไล่ตามหลังเฉียวกังไป
เฉียวกังที่วิ่งหนีสุดชีวิตอยู่นี้ เมื่อหันไปมองก็พบเฉินเฉียงและมนุษย์กลายพันธุ์กำลังไล่ล่าตัวเองอยู่ นี่ทำให้เขากลัวจนราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง