ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 223 ผิดพลาด
บทที่ 223 ผิดพลาด
ถึงแม้จางหยวนจะไม่อยากที่จะทำตามคำสั่งนี้ แต่คำพูดของเฉินเฉียงเองก็ถูกต้องแล้ว พวกเขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ
“ศิษย์พี่หลู่ ไปกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ จองหยวนก็ได้เรียกคนในกองกำลังเทียนเว่ยให้จากไป
หลู่ฟางเองแม้จะไม่อยาก แต่สิ่งสำคัญของเขาในตอนนี้ไม่ใช่เหมืองแก่นวิญญาณ แต่เป็นความปลอดภัยของเว่ยชิงเฉิน
“ไปจากที่นี่ได้ก็ดี”
หลู่ฟางได้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะพาเว่ยฉิงเชินและคนของตนตามจางหยวนไป
“กัปตันหลู่ นี่พวกเราจะยอมแพ้ไปอย่างนี้เหรอ”
นอกจากเว่ยฉิงเชินและชุยหยันหลันแล้ว คนอื่นๆในกองกำลังองครักษ์ไม่มีท่าทางจะขยับตามไป
นี่คือเหมืองแก่นวิญญาณแรกที่พวกเขาได้พบเจอนับแต่เข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้
หากว่าพวกเขาปล่อยมือจากมันไปทั้งแบบนี้ พวกเขาจะมีโอกาสพบเจอมันอีกรึเปล่าก็ไม่รู้
หลู่ฟางได้หันไปมองซูชุยและคนอื่นๆแล้วถามออกมาด้วยคิ้วขมวดแน่น “ซูชุย เจ้าความั่นใจที่จะชนะชุนเหลียงกับพวกของมันรึไงกัน”
“หากไม่มีก็ตามข้ามา”
“ไม่เอา กัปตันหลู่ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม พวกเราเองก็เป็นถึงองครักษ์ของตึกจอมพลเหมันต์จันทราเลยนะ แล้วเราจะถอยหนีเพียงเพราะเจอศัตรูที่แกร่งกว่าอย่างนั้นรึ”
“ไหนจะการที่มีแก่นวิญญาณตรงหน้าแล้วต้องปล่อยมือไปนี่อีก ข้า ซูชุยคนนี้ไม่ยินยอม”
“กัปตันหลู่ ในฐานะผู้นำของกองกำลังองครักษ์ แล้วท่านมาทำตัวอ่อนด้อยแบบนี้เนี่ยนะ”
“แล้วแบบนี้จะเป็นผู้นำของพวกเราได้ยังไง”
“ถูกต้อง กัปตันหลู่ หากท่านไม่ยอมสู้เพื่อพวกเราเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเราล่ะก็ พวกเราก็จะไม่ติดตามท่านอีกต่อไป”
เมื่อเห็นคนในสังกัดของอีกฝ่ายก่อหวอดอย่างนี้ ซุนเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตัวโยนแล้วพูดออกมา “พี่หลู่ ดูเหมือนว่าพี่น้องของท่านนั้นจะไม่ยอมรับท่านเป็นผู้นำน้า….”
“เอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเจ้าก็มาเข้าร่วมกับพวกข้าซะสิ ข้า ซุนเหลียงผู้นี้จะยอมให้เจ้าเก็บเกี่ยวในเหมืองนี้ร่วมกับพวกเราด้วย”
ใครจะไปคิดว่าซุนเหลียงผู้นี้จะด้านหน้าพอที่จะกล่าวคำนี้ออกมาต่อหน้าทุกคนในตอนนี้
หลู่ฟางไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงแค่มองไปที่ซูชุยและคนของตนเพียงเท่านั้น
ซูชุยและคนอื่นๆเองเมื่อได้ยินก็ตาเป็นประกายในทันที
“ข้าขอโทษด้วย กัปตันหลู่ ถึงแม้พวกเราจะไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ แต่พวกเราในที่สุดก็พบสถานที่ที่เห็นค่าพวกเราแล้วนับแต่พวกเราเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดินี้ ยังไงซะ พวกเราก็ไม่อาจจะกลับออกไปมือเปล่าได้ใช่ไหมล่ะ”
หลู่ฟางที่ได้ยินก็ผายมือออกไปพลางถอดถอนลมหายใจ “ลืมเรื่องพวกนั้นไปเถอะ ทุกคนก็มีแนวทางของตนเอง ข้าไม่บังคับพวกเจ้า แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
หลังจากพูดจบ หลู่ฟาง เว่ยฉิงเชิน และชุยหยันหลันก็รีบติดตามจางหยวนออกไปจากถ้ำ
และด้วยเหตุนี้ทำให้กองกำลังของหลู่ฟางนั้นแทบจะไม่หลงเหลือใครเลย นี่ทำให้กัวเหลียงรีบวิ่งมาหาหลู่ฟางและพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าคิดมากเลยน่า กับไอ้คนที่เห็นผลประโยชน์ดีกว่าพวกพ้องแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องหักหลังพวกเราเป็นแน่”
“เมื่อนึกถึงตอนนั้นแล้ว ข้าเองก็อดที่จะคันไม้คันมือไม่ได้”
ก่อนที่หลางซานเอ๋อจะพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เห็นกันอยู่ชัดๆว่าพวกเราเองก็มีส่วนร่วม แต่ดันเอาพวกมาข่ม เขี่ยพวกเราไม่ให้ได้อะไรกันเนี่ยนะ”
“รองกัปตัน ข้าว่าพวกเรากลับไปสั่งสอนพวกมันหน่อยจะดีกว่า”
“ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่นายพลวิญญาณขั้นสูง แต่หากต้องต่อสู้จริงๆ พวกเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามันอย่างแน่นอน”
“โง่เง่า”
จางหยวนได้หันไปและดุออกมา “หลางซานเอ๋อ เจ้าอย่าได้หลงลืมไปว่าพวกเรานั้นไม่ได้เข้ามาที่นี่เพียงแย่งแก่นวิญญาณกัน แต่เป้าหมายของพวกเราคือการสังหารพวกมนุษย์กลายพันธุ์
“พวกของซุนเหลียงนั้นมีเป้าหมายต่างจากพวกเรา พวกมันไม่ได้คิดจะเข้าสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์เลยล่ะมั้ง”
“นี่แสดงให้เห็นว่าพวกมันนั้นไม่ได้แยแสต่อเผ่าพันธุ์เดียวกัน แล้วพวกเราจะต้องย่อตัวเองให้ต่ำไปกับพวกมันทำไม”
“เมื่อหมากัดเจ้าแล้วเจ้าต้องก้มลงไปกัดกับมันรึไงกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยวนนี้แล้ว หลางซานเอ๋อในที่สุดก็มีท่าทียอมรับได้
“ฮี่ฮี่ฮี่ รองกัปตัน ข้าก็แค่มีอารมณ์ชั่ววูบอยากตั้นหน้าคนเพียงเท่านั้น จะว่าไปต่อให้พวกเราไม่ได้คิดจะเก็บแก่นวิญญาณจริงจัง แต่หลังจากเราเข่นฆ่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้วนั้นค่อยแย่งมาจากพวกมันก็ได้ล่ะนะ ดีไม่ดีจะเยอะกว่าพวกซุนเหลียงไม่รู้จะเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ จางหยวนก็มีท่าทีผ่อนคลายลง เขาหันไปพูดกับหลู่ฟางต่อ “พี่หลู่ ข้าจะออกไปสำรวจพื้นที่ก่อน พวกท่านค่อยตามข้ามาทีหลังแล้วกัน”
อีกหนึ่งกิโลเมตรข้างหน้า เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นจางหยวนมาถึง เขาก็ได้เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม
“ตูม”
หมัดของจางหยวนได้ทำให้ต้นไม้ต้นหนึ่งล้มลงในทันที เขากัดฟันแน่นและพูดออกมา “กัปตัน ข้าอยากจะไปสั่งสอนซุนเหลียงกับพวกของมันจริงๆ ท่านให้ข้านำคนในกองกำลังไปสั่งสอนพวกมันไม่ได้รึไงกัน”
เฉินเฉียงได้ตบบ่าจางหยวนไปสองสามทีแล้วพูดออกมา “ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไอ้นรกพวกนั้นก็ยังถือว่าเป็นยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์เรา ยังไงซะเจ้าก็ฆ่าพวกมันระบายแค้นไม่ได้อยู่ไม่ใช่รึไง”
“อีกอย่างหนึ่ง ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ที่ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์เราตกตายไปทุกวันด้วยน้ำมือของสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์”
“ไอ้พวกเห็นแก่ตัวอย่างซุนเหลียงนั่นน่ะนะ ข้าว่าหากไปประสบพบเจอกับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์เข้าล่ะก็ ดีไม่ดีพวกมันยังไม่คิดจะเอามาเป็นพวกเลย”
“คนที่สันดานเสียสุดหยั่งแบบนี้ ไม่มีทางเลยที่จะให้ยอมทำเพื่อประโยชน์ของเผ่าพันธุ์แบบพวกเราได้น่ะ”
“ตราบใดที่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย และไม่ได้ผิดถึงขั้นทำอันตรายต่อเผ่าพันธุ์เดียวกัน ก็แค่ปล่อยๆมันไปก่อนก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จางหยวนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“พูดก็พูดเถอะนะ กัปตัน ท่านอ่อนกว่าข้าตั้งสี่ห้าปีแต่ทำไมถึงได้มองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะ”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้ถอนลมหายใจออกมาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะมองไปไกลแล้วพูดออกมาอย่างไม่ปฏิเสธ “เจ้าคิดว่าข้าอยากจะเป็นแบบนี้รึไง ข้าบอกได้เลยว่าหากเจ้าผ่านสถานการณ์เป็นตายมาหลากหลายรูปแบบแบบข้าล่ะก็ เจ้าเองก็คงไม่ต่างจากข้า ไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวแบบนี้”
และนี่ทำให้เฉินเฉียงนึกถึงเรื่องราวที่ได้ผ่านมา
ย้อนกลับไปยังเขตแดนหมอกโลหิต เขาได้พบคนโฉดชั่วอย่างหยั่งรากลึกแบบถูหมั่นเถียน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เขากลับเข้าไปในอาณานิคมเขาหมาง เขาได้ถูกศิษย์สำนักเต่าดำสองคนใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ล่าหัวเขาและแก่นโลหิต ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตคนทั้งอาณานิคมก็ตาม
ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ เขาได้เห็นจิตใจอันดำมืดของคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างมากมาย คนที่เชื่อใจได้นั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างที่สุด
นอกจากพี่น้องอันดีอย่างคนในกองกำลังของเขาแล้ว ยังมีฉิงเชินและศิษย์พี่ใหญ่ของเขาอยู่อีก ตราบใดที่เขายังมีคนพวกนี้อยู่ หัวใจของเขาจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและหนาวเย็นอีกต่อไป
“ก็จริง กัปตัน ท่านเองควรจะไปจากที่นี่ก่อน ศิษย์พี่หลู่และคนอื่นๆน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางหดหู่ของเฉินเฉียงแล้ว จางหยวนก็รีบเปลี่ยนหัวข้อในทันที
เฉินเฉียงพยักหน้ารับก่อนที่จะพุ่งตรงจากไป แต่เป็นตอนนี้ที่ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปในทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
“จางหยวน เจ้าไม่ได้ยินเสียงนั่นรึ” หลังจากเฉินเฉียงพูดจบ เขาได้กางกระแสจิตของตนออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฉิบหายแล้ว จางหยวน ซุนเหลียงกับพวกโดนปิดประตูตีแมวอยู่”
“มีมนุษย์กลายพันธุ์ที่ทรงพลังจำนวนมากเข้าไปในถ้ำนั้น พาเจิ้งยี่และคนอื่นๆไปช่วยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ข้าจะล่วงหน้าไปดูก่อน”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้สยายปีกออกและใช้ท่าอินทรีย์สยายปีกพุ่งตรงไปยังถ้ำ หายไปจากจุดที่อยู่ในชั่วพริบตา
ที่ปากทางเข้าถ้ำ เขาได้เห็นสายเลือดที่ไหลบ่าออกมาจากถ้ำราวกับสายน้ำ
นายพลวิญญาณขั้นกลางที่เคยเป็นคนของหลู่ฟางไม่เหลือรอดเลยสักคน แม้แต่ซุนเหลียงและพวกเองก็ตกตายเสียเกือบหมด
ตรงหน้าของซุนเหลียงคือมนุษย์กลายพันธุ์เกือบร้อยตน ถึงแม้ระดับนายพลทักษะพิเศษจะน้อยกว่าพวกของซุนเหลียง แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นสูงกว่าตนที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้เสียอีก
แถมมนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้ เมื่อพบว่าที่นี่มีสายแร่แก่นวิญญาณ มันได้จัดการซุนเหลียงได้อย่างง่ายดายราวกับเดินเล่นในสวนเสียด้วยซ้ำ