ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 235 สัตว์เลี้ยง
บทที่ 235 สัตว์เลี้ยง
“ไม่ต่างกันเลยสักนิด”
เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นมาห้ามปรามจางหยวนก่อนจะพูดต่อ
“จางหยวน ข้ารู้ว่าเจ้านั้นเป็นพวกเลือดร้อน มุทะลุ ดุดัน และด้วยเหตุนี้ถึงทำให้เจ้านั้นยังคงรักษากองกำลังเทียนเว่ยมาได้จนถึงทุกวันนี้”
“แต่ข้านั้นแตกต่างกันออกไป”
“มาถึงตอนนี้แล้วตัวข้านั้นเอาจริงๆก็ยังแยกไม่ออกว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้นคือเทพพิทักษ์แห่งเผ่าพันธุ์ใช่รึเปล่า แล้วดูในตอนนี้สิ”
“นับแต่ข้าได้ร่วมกองกำลังมาแล้ว ไม่เพียงว่าข้าจะพามนุษย์กลายพันธุ์มาเข้าร่วมแล้ว ในตอนนี้ยังมีสัตว์ประหลาดอีก”
“หึหึหึ มนุษย์ สัตว์ประหลาด มนุษย์กลายพันธุ์ เฮ้อ ทั้งสามเผ่าพันธุ์มาอยู่ร่วมกันในกองกำลังเดียวแบบนี้ นี่ช่างเป็นเรื่องน่าขันต่อโลกหล้านัก”
“แต่ก็เอาเถอะนะ หากให้ข้ายอมปล่อยให้สัตว์ประหลาดที่พึ่งกำเนิดต้องถูกฆ่าตกตายตรงหน้าแบบนั้น ต่อให้เป็นตัวตลกแห่งโลกหล้า ข้าก็ไม่อาจที่จะปล่อยมันไปไม่ได้อยู่ดี”
“นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่ากัปตันลี่ผู้นี้บอกว่าจะกินเจ้าตัวน้อยนี่ตั้งแต่มันยังไม่เกิดอีก มันทำให้ข้ารู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ได้ต่างไปจากสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์แต่อย่างใด”
“สิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ประหลาดนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์เท่านั้นไม่ใช่รึไงกัน”
“หากสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว พวกเจ้าจะต่างอะไรกับสัตว์ประหลาดกัน”
“เฉินเฉียง ขอบคุณเจ้ามากที่พูดคำคำนี้ออกมา” หยานเสวี่ยที่กอดเจ้าลิงน้อยอย่างเอ็นดูได้พูดขอบคุณออกมาอย่างไม่คาดฝัน
เป็นตอนนี้ที่ทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยต่างก็พูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม้แต่จางหยวนเองก็นึกคำโต้เถียงออกมาไม่ได้
“ตอนที่ทุกคนได้กอดเจ้าตัวน้อยนี่ก็ไม่มีใครที่จะหักหาญใจมันได้เลยไม่ใช่รึไงกัน ทำไมล่ะ”
“นั่นก็คือพวกเจ้านั้นเป็นมนุษย์”
“จางหยวน ดูเหมือนว่าประสบการณ์ในชีวิตของเจ้าและข้านั้นจะต่างกันเกินไปจริงๆ”
“ข้า เฉินเฉียง เกิดมาเมื่อรับรู้ข้าก็เป็นเด็กกำพร้าแล้ว”
“ตอนข้ายังละอ่อน คนที่ดีกับข้าที่สุดก็คืออดีตนักรบในกองกำลังเทียนเว่ย องครักษ์ของพ่อข้าที่มีนามว่าซุนต้าฮู่”
“อย่างไรก็ตาม ปู่ซุนนั้นได้ตกตายในปากของสัตว์ประหลาด หากจะมีคนที่จะต้องเกลียดสัตว์ประหลาดที่สุด มันก็ควรจะเป็นข้าไม่ใช่รึไง”
“แต่ด้วยสิ่งที่ข้าได้ประสบมานั้น มันทำให้ข้าไม่อาจจะหักหาญใจไปคิดอย่างนั้นได้”
“นั่นก็เพราะตัวข้านั้นมีเกณฑ์สิ่งดีชั่วของตัวข้าเอง”
“สำหรับข้าแล้ว หากใครดีกับข้าด้วยความจริงใจ คนนั้นคือเพื่อนของข้า”
“ก่อนหน้านี้ ในเกาะเทียนเล่ย ราชาสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงนั้น ถึงแม้จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่เขาไม่เคยสร้างความลำบากให้ข้า เขาทำแม้แต่ตอบปัญหาการบ่มเพาะให้ข้า หากจะให้พูดกันตรงๆแล้ว จะบอกว่าเขาเป็นอาจารย์คนหนึ่งของข้าก็ไม่ได้กระดากปากอะไร”
“ส่วนองครักษ์หยาน พวกเจ้าเคยเห็นสักครั้งรึเปล่าที่นางเคยทำร้ายข้า”
“นั่นก็เพราะเป็นคำสั่งท่านราชาสวรรค์ต่างหาก ไม่อย่างนั้นข้าฆ่าเจ้าไปนานแล้ว”
หยานเสวี่ยย้อนเหตุผลออกมาอย่างไม่แยแสผู้คน พลางก้มเล่นเจ้าลิงน้อย เมื่อทุกคนได้ยินแล้วนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าหากจะพูดออกมาแบบนี้อย่าได้พูดออกมาเสียดีกว่า
เฉินเฉียงเองก็ไม่ได้แยแสกับคำพูดของหยานเสวี่ยแต่อย่างใด แล้วได้พูดต่อ “มันก็จริงที่ทั้งองครักษ์หยานและราชาสวรรค์เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่นอกจากทั้งสองจะไม่ทำร้ายข้าแล้วยังช่วยชีวิตข้าอีก เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำร้ายผู้ช่วยชีวิตอย่างนั้นเหรอไง”
“แล้วเจิ้งยี่ล่ะ หลังจากผ่านการต่อสู้ร่วมกันมาทั้งวันทั้งคืนน่ะ เจ้าเคยเห็นเขาที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์เคยทำร้ายมนุษย์บ้างรึเปล่า”
“แต่เพียงเจ้ารับรู้ว่าเขานั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วพวกเจ้าคิดจะโจมตีเขา เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตพวกเจ้ามานับไม่ถ้วนเลยไม่ใช่รึไงกัน”
“ไหนจะเจ้าวานรยักษ์สี่แขนนั่นที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือข้านั่นอีก เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงมือฆ่ามันกับมืออีกรึเปล่า”
“แล้วเจ้าคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เจ้าพูดนั่นต้องเป็นยังไงกัน”
“หากไม่ใช่ว่าเป็นพวกเจ้าลงมือ ข้าก็คงตกตายในมือเหล่านักรบแห่งเผ่าพันธุ์”
“หรืออย่างถูหมั่นเถียนแห่งเขตแดนหมอกโลหิตก่อนหน้านี้ หากว่านับพวกมันเป็นมนุษย์เพียงเพราะพวกมันอยู่เผ่าพันธุ์เดียวกันล่ะก็ ในตอนนี้พวกมันคงจะใช้สิ่งที่เรียกว่าเผ่าพันธุ์ บดขยี้ทำลายล้างอาณานิคมไปทั่วตามที่พวกมันต้องการไม่ใช่รึไง”
“ฟู่ววว”
เฉินเฉียงได้บอกเล่าในสิ่งที่เขาคิดต่อทุกคนจนหมด เว้นไว้เพียงเรื่องระบบอันมหัศจรรย์พันลึกของเขาเพียงเท่านั้น จะให้บอกก็คือเขานั้นไม่มีความลับอื่นใดต่อทุกคนอีก
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงไปแล้ว ทุกคนในกองกำลังต่างก็มองหน้ากันอย่างสับสนไปมา
“กัปตัน แล้วเมื่อท่านคิดแบบนี้แล้ว แล้วพวกเราควรจะทำอะไรต่อไปในอนาคต”
“หากพวกเราไม่อาจฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดล่ะก็ แล้วพวกเราจะทำอะไรต่อไป แล้วพวกเราควรจะเป็นแบบไหนในอนาคตกันล่ะ”
เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมาในทันทีและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “จางหยวน กับคำถามนี้ข้าไม่สามารถตอบเจ้าได้เลยจริงๆ”
“อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารับรู้ได้แล้วว่านับจากวันนี้ ข้าจะขอออกจากกองกำลังเทียนเว่ยอย่างเป็นทางการ”
“ไม่ กัปตัน มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ”
“กัปตัน ในเมื่อท่านเองก็ไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ แล้วท่านจะออกมาจากตำแหน่งทำไมกัน หากว่าพวกเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันนั่นก็ว่าไปอย่าง”
“ถูกต้องแล้ว เฉินเฉียง เจ้านั้นได้รับการอวยยศเป็นนายพลเว่ยหวู่จากผู้การสูงแห่งกันหนันเลยนะ ไหนจะการที่เจ้าเป็นผู้สืบเชื้อสายคนเดียวของนายพลเฉินเทียนเว่ยอีก แล้วอยู่ๆเจ้าจะทิ้งพวกมันไปเฉยๆได้ยังไง”
“ถ้าพูดอย่างนั้นล่ะก็ ข้าขอถามว่าพวกเจ้ารับนางและเจ้าตัวน้อยนี่ได้รึเปล่าล่ะ” เฉินเฉียงได้ชี้ไปที่หยานเสวี่ยและเจ้าลิงน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบไป เฉินเฉียงที่เห็นก็ได้ส่ายหัวไปมาและหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “จางหยวน เหตุผลที่ข้าต้องการออกจากกองกำลังนั้นเป็นเพราะข้าเองก็ยังไม่ตอบคำถามหนึ่งได้”
“นั่นคือพวกเราจะสู้ไปกันทำห่าพระแสงของ้าวอะไร”
“ทำไมทุกเผ่าพันธุ์ถึงตั้งหันหน้าเข้าใส่และฆ่าล้างกัน”
“และเจ้า จางหยวน เจ้านั้นเหมาะกับเป็นกัปตันของกองกำลังเทียนเว่ยแล้วจริง นั่นก็เพราะเจ้าเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของกองกำลังอย่างแท้จริง”
“ดังนั้น จางหยวน ปล่อยให้ข้าไปซะเถอะ”
“เฉินเฉียง ดูเหมือนว่าเจ้านั้นต้องการจะออกจากกองกำลังจริงๆสินะ”
เจิ้งยี่นิ่งคิดไปเล็กน้อยและพูดออกมา “เจ้าพูดได้ถูกต้อง กองกำลังเทียนเว่ยนั้นสมควรจะรักษาเจตนารมณ์แห่งกองกำลังเอาไว้ ตัวข้าในตอนนี้ที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้วไม่คู่ควรกับพวกเขาแต่อย่างใด”
“เจิ้งยี่….เจ้า….”
เฉินเฉียงนั้นในตอนแรกก็อยากจะทัดทานความคิดนี้ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาแย้งเหมือนกัน นั่นก็เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่แม้แต่ตัวเจิ้งยี่เองก็ไม่อาจเข้าใจได้เหมือนกัน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขานั้นพยายามพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก และหักหาญชีวิตเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์มามากมาย ในทุกครั้งที่เขาพบเจอมนุษย์กลายพันธุ์ เขาจะเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าใส่พวกมัน สิ่งนี้ทำให้ทุกคนนั้นต่างก็รับรู้ว่าเจิ้งยี่นั้นเกลียดมนุษย์กลายพันธุ์ขนาดไหน
แต่นั่นเองก็ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้า
“ก็ได้เ เจิ้งยี่ เจ้าตามข้าไปแล้วกัน”
เจิ้งยี่อยากจะพูดอะไรต่อ แต่เขาก็ถูกเฉินเฉียงพูดขัดเอาไว้เสียก่อน “เจิ้งยี่ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นต้องการจะออกเดินทางตามลำพังเพื่อค้นหาตัวเอง ข้าเองก็ไม่อยากจะห้ามปรามเจ้าในเรื่องนี้ และข้าก็รู้ว่าเจ้านั้นจะไม่เป็นศัตรูกับมนุษย์ได้โดยง่าย”
“แต่ข้านั้นก็ยังอยากให้เจ้าติดตามข้ามาดู รับรู้ และสัมผัสในสิ่งที่ข้าได้พบเห็นด้วยเช่นกัน แล้วหลังจากนั้นเจ้าค่อยวางแผนการต่อไปของเจ้าในอนาคต เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะไม่ห้ามปรามเจ้าอีก”
“ก็ได้” เจิ้งยี่ได้พยักหน้ารับข้อตกลงนี้
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง….”
เว่ยฉิงเชินได้เดินเข้ามาหาเฉินเฉียง พร้อมกับปาดน้ำตาของตน
“ฉิงเชิน ดูแลตัวเองนะ”
เมื่อได้เห็นสาวงามร้องไห้อยู่ตรงหน้า เฉินเฉียงนั้นมีคำพูดมากมายที่อยากจะบอกออกมาจากท้องของตนแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากคำไหนดี จึงทำได้เพียงพูดออกมาเพียงสี่คำเท่านั้น
เมื่อเฉินเฉียงได้หันไปมองหลู่ฟาง หลู่ฟางกลับพยักหน้ารับแทนเสียงอย่างนั้นแล้วพูดออกไป “ศิษย์น้องเล็กอย่าได้กังวล ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะปกป้องคุณหนูเว่ย”
“อื้ม ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่ใหญ่”
เฉินเฉียงได้กล่าวลาทุกคนในกองกำลังทีละคนทีละคน จนในที่สุด เขาก็ได้ส่งที่ตั้งของบันไดสู่สรวงสวรรค์ให้จางหยวน และจากไปพร้อมกับหยานเสวี่ยและเจิ้งยี่
และจากที่ทั้งสามจากไปแล้ว ในตอนนี้เมื่อนับทั้งกองกำลังแล้ว เมื่อรวมเข้ากับหลู่ฟาง เว่ยฉิงเชิน และชุยหยันหลันแล้ว พวกเขามีเพียงสิบสี่คนเท่านั้น
หลังจากผ่านเรื่องมามากมาย ถึงแม้ว่าจะมีเป้าหมายอย่างบันไดสู่สรวงสวรรค์แล้วก็ตามแต่ทุกคนก็ยังไม่กะจิตกะใจที่จะคิดสู้และไปให้ถึงเป้าหมายแต่อย่างใด แม้แต่กัวเหลียงและหลางซานเอ๋อ ตัวชงของกองกำลังก็ยังไม่มีอารมณ์ที่จะพูดอะไรต่อ
“จางหยวน เจ้าคิดว่าเฉินเฉียงทำเกินไปรึเปล่าที่ออกไปแบบนี้ ยังไงซะ พวกเราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนานนะ”
ต่อหน้าทุกคน หลิวซวนเอ่อและจางหยวนได้เดินพูดคุยกันไป
จางหยวนได้ถอนลมหายใจออกมา ก่อนจะที่จะมองไปตรวจตรารอบๆเพื่อระวังภัยแล้วพูดออกมา “ซวนเอ๋อ เฉินเฉียงนั้นทำถูกต้องแล้ว”
“แม้ว่ากองกำลังของพวกเรานั้นจะไม่ได้ใหญ่ แต่พวกเราเองก็มีสิ่งที่เรียกว่าปณิธานของกองกำลัง”
“และผู้ที่ตั้งปณิธานนี้ขึ้นมาคือผู้นำคนแรกแห่งกองกำลัง เฉินเทียนเว่ย ที่ตั้งเป้าไว้ว่าต้องการจะฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์”
“เฉินเฉียงและเจิ้งยี่นั้นถึงแม้จะทรงพลังพอที่จะปกป้องพวกเราได้ก็ตาม”
“แต่ด้วยการที่พวกเขานั้นยังไม่มีจุดยืน(ปณิธาน)ของตัวเองแล้ว มันจะไม่เป็นการดีหากพวกเขานั้นเข้าร่วมกับพวกเรา นอกจากจะทำให้ทั้งกองกำลังเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้แล้ว พวกเราอาจจะสูญเสียปณิธานของพวกเราไป”
“และเมื่อถึงตอนนั้นแล้วทั้งกองกำลังสูญเสียปณิธานนี้ไปจนหมดสิ้น นั่นก็ไม่ใช่กองกำลังเทียนเว่ยอีกต่อไป”
“แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะมีความคิดที่เป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่เขาก็นำพาพวกเรามาในเส้นทางตามปณิธานของกองกำลังของพวกเรามาโดยตลอด”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น เขายังพยายามทุกอย่างเพื่อฝึกฝนพวกเรา และไม่ปล่อยให้พวกเราพึ่งพาแต่เขาเลยไม่ใช่รึไงกัน”
หลิวซวนเอ๋อพยักหน้ารับแล้วพูดต่อ “มันก็จริง แต่ก็นะ จางหยวน ข้าว่าเจ้านั้นน่าจะต้องปรับคำพูดใหม่ซะหน่อยนะ”
“ขืนเจ้ายังคงใช้คำพูดนี้อยู่อีกล่ะก็ ข้าว่าคงมีคนสงสัยว่าเจ้าน่ะแย่งตำแหน่งกัปตันมาจากเฉินเฉียงแหงๆ”
จางหยวนที่ได้ยินก็ยักไหล่แล้วพูดออกมา “ข้าเนี่ยนะแย่งตำแหน่ง เจ้าคิดว่าข้าน่ะต้องการช่วงชิงคนจากกองกำลังเพียงสิบกว่าคนเนี่ยนะ”
“หากว่าข้าต้องการพลังจริงข้าไม่ไปเป็นกัปตันให้กองกำลังอื่นในตึกจอมพลไม่ดีกว่ารึไงกัน”
เมื่อหลิวซวนเอ๋อได้ยิน เธอก็ถอนลมหายใจออกมา “นี่เจ้าสมองน้อยรึไงกันเนี่ย ข้าหมายถึงว่าให้เจ้านั้นระวังคำพูดคำจาในอนาคต ไม่ใช่เถรตรงขวานผ่าซาก คิดอะไรออกมาก็พูดแบบนั้น”
“เอ้า ก็ข้าเป็นของข้าอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนี่” จางหยวนแม้จะยังคงไม่ยอมรับ แต่ก็เดินออกไปพลางคิดถึงคำพูดของตนที่เคยได้พูดออกไปก่อนหน้านี้
ที่สองพันเมตรข้างหน้า หยานเสวี่ยได้หันหน้ามาถามเฉินเฉียง “เฉินเฉียง รีบๆไปเร็วเข้า นี่เจ้าจะอ้อยอิ่งไปทำไมกัน”
“แล้วพวกเราจะรีบไปทำไมกันล่ะ เดินไปช้าๆก็ได้น่า” เฉินเฉียงแม้จะได้ยินก็ยังเดินต่อไปเรื่อยเปื่อยอยู่แบบนั้น
“หึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าน่ะกังวลความปลอดภัยของพวกของเจ้าอยู่ใช่รึเปล่า”
“ในเมื่อพวกนั้นไม่ต้องการเจ้าแล้ว แล้วเจ้าจะไปสนใจทำไมว่าพวกนั้นจะเป็นหรือตาย”
“นั่นมันเรื่องของข้าไม่ใช่กงการอะไรของท่าน” เฉินเฉียงพูดตอบกลับไปอย่างทันควัน
สิ่งที่หยานเสวี่ยคิดนั้นถูกต้องแล้ว เฉินเฉียงในตอนนี้กำลังใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบในระยะโดยรอบกว่าสองพันเมตร
กับคนทั้งสิบสี่คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาแล้วจะให้เขาไม่สนใจพวกเขาได้ยังไง
“เอ้อ เฉินเฉียง มานี่หน่อยสิ เจ้าว่าเจ้าตัวน้อยนี่หิวรึเปล่า”
หยานเสวี่ยที่ยืนตรงหน้าเขานั้นได้รีบร้องทักออกมาในทันที เฉินเฉียงเองก็รีบวิ่งไปดู เขานั้นเห็นว่าเจ้าลิงน้อยนั้นกำลังก่ายเกาะไปทั่วหน้าอกของหยานเสวี่ย ราวกับกำลังใช้มือป่ายปัดหาบางสิ่งไปทั่ว บ้างก็ร้องครางออกมาราวกับต้องการอะไรเรียกร้องหาอะไรบางอย่าง
“เฉินเฉียง เจ้าเข้าใจภาษาสัตว์ประหลาดไม่ใช่เหรอ มันว่ายังไงบ้าง”
เฉินเฉียงกลอกตามองบนไปที่หยานเสวี่ยในทันทีแล้วพูดออกมา “องครักษ์หยาน ท่านจะให้ข้าบอกอะไรล่ะ มันเป็นเพียงแค่เด็กเกิดใหม่เองนะ แล้วมันจะพูดจาอะไรออกมาได้”
“เจ้าหนูนี่มันแค่ร้องออกมาตามสัญชาตญาณออกมาเพียงเท่านั้น เป็นภาษาซะที่ไหนกัน”
“แต่ท่านก็น่าจะเห็นนี่มันนั้นกำลังดมกลิ่นไปทั่วน่ะ ท่านก็น่าจะรู้ว่ามันหิว ทำไมถึงไม่ป้อนมันสักหน่อยล่ะ”
“ห้ะ จะให้ข้าเอาอะไรให้มันกินล่ะ”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ตบกะโหลกตัวเองจนดังไปทีหนึ่ง “อ้า ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าท่านคือมนุษย์กลายพันธุ์ ท่านไม่มีสิ่งนั้นนี่เนาะ”
“ห้ะ ไม่มีอะไร” หยานเสวี่ยถามออกมาอย่างสงสัย
เจิ้งยี่ที่เดินตามก็อดจะหัวเราะออกมาเสียมิได้
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว หยานเสวี่ยในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่าเฉินเฉียงหมายถึงอะไรแล้วดุด่าออกมาในทันที
“เฉินเฉียง เจ้ามันรนหาที่ตาย”
“ท่านเข้าใจผิดแล้วนา องครักษ์หยาน ท่านน่ะเข้าใจข้าผิดจริงๆ ความคิดของข้านั้นใสซื่อบริสุทธิ์หามีมลทินแบบที่ท่านกำลังคิดถึงอยู่นี้ไม่”
หลังจากพูดจบ เขาก็ได้ล้วงเข้าไปหยิบเศษแก่นวิญญาณออกมาจากแหวน ก่อนที่จะทำให้มันแตกกลายเป็นก้อนน้อยๆแล้ววางไว้ที่ปากเจ้าลิงน้อย
เจ้าลิงน้อยที่ดมกลิ่นไปทั่วนั้นเมื่อจมูกของมันจ่อกับเศษแก่นวิญญาณนี้ก็ได้เลียมันไปทีหนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือน้อยๆของมันนั้นพยายามจับเศษแก่นวิญญาณนี้ให้มั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขบกัดอย่างไม่ยอมปล่อยมือ
“ฮี่ฮี่ฮี่ เจ้าตัวน้อยนี่กินแก่นวิญญาณนี่เอง ช่างน่าแปลกนัก แต่นี่มันจะไม่สูญเปล่าไปหน่อยรึไงกัน”
“เฉินเฉียง เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเจ้าตัวน้อยนี่กินแก่นวิญญาณได้น่ะ”
“หรือว่ามันบอกเจ้าออกมา”
เฉินเฉียงที่กำลังบี้แก่นวิญญาณให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วคอยส่งป้อนให้เจ้าตัวน้อยนี้อย่างไม่หยุดมือก็ได้พูดออกมา “ข้าพึ่งจะบอกท่านไปนี่ว่ามันนั้นยังไม่สามารถพูดออกมาได้น่ะ”
“เพียงแต่ข้านั้นได้ยินมาว่าสัตว์ประหลาดนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่โลกนี้รักใคร่เอ็นดูที่สุด พวกมันสามารถสัมผัสและดูดซับพลังฟ้าดินได้ตั้งแต่พวกมันกำเนิดขึ้นมา”
“กับแก่นวิญญาณที่มีพลังฟ้าดินมากล้นแบบนี้แล้วเจ้าตัวน้อยนี่จะไม่ชื่นชอบไปได้ยังไง”
“แต่พูดก็พูดเถอะนะ เจ้าตัวน้อยนี่สมควรจะได้รับคำพูดนี้ไว้จริงๆ เพียงมันเกิดมายังไม่ทันลืมตาดูโลกก็ได้กินแก่นวิญญาณที่ล้ำค่านี่ซะแล้ว หากเจ้านี่โตขึ้นไปล่ะก็จะต้องทรงพลังอย่างสุดหยั่งแน่นอน”
เป็นตอนนี้ที่เจิ้งยี่ยื่นหน้าเข้ามาดูบ้างก็พูดออกมา “เฮ้ เฉินเฉียง ดูสิ เจ้าหนูนี่จะลืมตาขึ้นมาแล้วนะ”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็รีบแย่งเจ้าลิงน้อยมาจากแขนของหยานเสวี่ยในทันที
“นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ” หยานเสวี่ยมองไปที่เฉินเฉียงอย่างขุ่นเคืองใจในการกระทำ
“ฮี่ฮี่ฮี่ องครักษ์หยาน ท่านเองก็ไม่น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ล่ะมั้ง ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสัตว์แรกเกิดนั้นหากไม่มีแม่อยู่เคียงข้าง มันจะถือสิ่งมีชีวิตแรกที่มันเห็นเป็นพ่อแม่ของมัน”
“ไม่ว่ายังไงก็ตามเจ้าหนูนี่ถูกข้าช่วยเอาไว้ แถมข้ายังเป็นคนหาอาหารให้มันกินอีก ในอนาคตข้าต้องทำให้มันเป็นผู้ติดตามของข้าให้ได้”
“จริงเหรอ มีเรื่องแบบนั้นด้วยจริงสิ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว หยานเสวี่ยรีบแย่งเจ้าลิงน้อยกลับไปอยู่ในมือเธอทันที ก่อนที่จะอุ้มมันชูขึ้นตรงหน้าแล้วพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “เจ้าตัวน้อย ตอนนี้เจ้าก็ไม่มีแม่แล้ว งั้นให้ข้าเป็นแม่ของเจ้าเนาะ ดีรึเปล่า”
“มีแม่คงไม่พอซะกระมัง เจ้าหนู งั้นก็ให้ข้าเป็นพ่อของเจ้านะ”
“บังอาจ เจ้าตัวน้อยนี่ไม่ต้องมีพ่อ มีแค่แม่อย่างเดียวก็พอ” หยานเสวี่ยได้มองไปที่เฉินเฉียงอย่างขยะแขยงก่อนที่จะหันตัวไปอีกทาง ก่อนที่จะหยอกล้อเจ้าลิงน้อยเล่น
เฉินเฉียงที่โดนตอกกลับมาก็รู้สึกเซ็งๆ ก่อนที่จะมองไปที่หยานเสวี่ยเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “ข้าว่าสิ่งแรกที่เจ้าหนูนี่เห็นคงไม่ใช่ท่านซะกระมัง มันคงเห็นผ้าคลุมหน้าของท่านก่อนเป็นแน่”
“ก็ดีนะ ให้เจ้าหนูน้อยถือว่าผ้าคลุมหน้าเป็นแม่ของมันก็สะดวกดีไม่น้อย”
“จะว่าไปข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าท่านเลยนา คงไม่ใช่ว่านั้นไม่สวยจนต้องสวมผ้าคลุมหน้าตลอดเวลาหรอกนะ”
หยานเสวี่ยนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยิน เธอรีบอุ้มพาลิงน้อยเดินออกไปห่างจากเฉินเฉียงอยู่หลายเมตร ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีแล้วยกผ้าคลุมของเธอขึ้นมา “เจ้าหนูน้อย ดูนี่ไว้น้า… แม่ของเจ้าหน้าตาเป็นแบบนี้นะ อย่าได้หลงลืมซะล่ะ”