ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 236 โล่
บทที่ 236 โล่
“อ้ะ…เฉินเฉียง เจ้ามาดูนี่สิเร็วๆเข้า เจ้าหนูนี่กำลังจะลืมตาขึ้นมาจริงๆล่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนที่ร่าเริงของหยานเสวี่ยนี้ เฉินเฉียงและเจิ้งยี่ก็รีบวิ่งเข้าไปข้างๆเธอ
“ดูสิ ดวงตาของเจ้าหนูน่าช่างสวยงามนัก”
“อืมมมมม งดงามจริงๆ”
เฉินเฉียงและเจิ้งยี่พูดออกมาอย่างใจจริง
หลังจากผ่านไปสักพัก หยานเสวี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอรู้สึกได้ว่าราวกับโดนเด็กทะลึ่งตึงตังสองคนจ้องมองเธออยู่จนทำให้เธอนั้นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
เมื่อเธอหันกลับไปดูก็พบเจอเฉินเฉียงและเจิ้งยี่กำลังมองใบหน้าของเธอ
“พวกเจ้า…ฮึ่ม”
เป็นตอนนี้ที่หยานเสวี่ยจะรู้ตัว และจ้องเขม็งไปที่ทั้งสองคน
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงและเจิ้งยี่ก็เปลี่ยนมุมสายตาให้ตกอยู่ในอ้อมแขนของหยานเสวี่ย
ใบหน้าของหยานเสวี่ยนั้นสวยงามจนยากเกินที่จะบรรยาย
และด้วยการที่ผู้คนจ้องมองเธอย่างตะลึงงันนี้เองทำให้นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หยานเสวี่ยต้องคอยหลบหน้าผู้คนจนต้องหาผ้าคลุมมาใส่เอาไว้
หากว่าไม่ใช้เป็นเพราะเฉินเฉียงพูดเอาไว้ว่าเจ้าลิงน้อยจะเห็นแต่ผ้าคลุมของเธอ หยานเสวี่ยย่อมไม่มีวันเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเธอออกมา
-ในเมื่อเธอเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์อยู่แล้วแล้วเธอจะหวงเนื้อหวงหน้าตาไปทำไมกันนะ-
-ไม่ใช่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่อาจสืบทายาทได้ไม่ใช่รึไงกัน-
-และเมื่อไม่มีทางสืบทายาทได้ เธอเองก็ไม่ควรจะประหม่าแบบนี้ไม่ใช่เหรอ-
เฉินเฉียงคิดตั้งคำถามมากมายขึ้นมาในใจแต่ก็ไม่กล้าจะถามออกมา และคิดว่าจะแอบไปถามเจิ้งยี่ทีหลังว่าเขานั้นยังมีความรู้สึกรักใคร่แบบชายหญิงอยู่อีกรึเปล่า
และใบหน้าเมื่อครู่นี้ของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเว่ยฉิงเชินเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้นคือกลายเป็นว่าทั้งเว่ยฉิงเชินและหยานเสวี่ยเองก็มีอายุไล่เลี่ยกันเสียอีก
เฉินเฉียงคิดมาตลอดว่าหยานเสวี่ยนั้นแก่กว่าเขานับสิบปีเห็นจะได้ แต่มาในตอนนี้อย่างมากเธอก็มีอายุเพียงยี่สิบเอ็ดไม่ก็ยี่สิบสองปีเพียงเท่านั้น
หลังจากที่หยานเสวี่ยคลุมหน้าของเธอแล้ว เธอก็ได้จัดท่าจัดทางของเธอใหม่อีกครั้ง
“เฉินเฉียง บอกข้ามา เจ้าจะตั้งชื่อเจ้าตัวน้อยนี้ว่ายังไงดี เจ้าคงไม่คิดจะเรียกเจ้าตัวน้อยนี่ว่าเจ้าตัวน้อยไปตลอดหรอกนะ”
“ได้จ้าได้ ถึงเวลาตั้งชื่อแล้วสิเนาะ”
“ในเมื่อเจ้าตัวน้อยนี่ถูกช่วยไว้โดยพวกเราทั้งคู่ ข้าว่าเอาเป็นชื่อเย่วเฉียงเป็นยังไง ไม่สิ เจ้านี่เป็นเพศเมีย เรียกมันว่าต้าเย่วแล้วกัน”
ทันทีที่เฉินเฉียงพูดจบลง เขาก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่เย็นยะเยียบที่ราวกับจะทิ่มทางเขาได้ทุกเมื่อจากด้านข้าง
“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าพูดเล่นนิดเดียวก็ทำเป็นจริงเป็นจังไปได้ หากชื่อนี้แย่เกินไปล่ะก็ เอาเป็นพวกเราตั้งใหม่ก็ได้”
“เจ้านี่ในเมื่อมันเป็นลิงน้อยที่ดูน่ารักน่าชัง ข้านั้นคิดว่าเราควรเรียกมันว่าเมิ่งน้อย”
“เมิ่งน้อยเหรอ” หยานเสวี่ยได้พูดย้ำออกมาเบาๆ เป็นตอนนี้ที่เจ้าตัวน้อยได้ร้องลั่นขึ้นมาราวกับจะชอบชื่อนี้
“เอาล่ะ ข้าจะเรียกเจ้าว่าเมิ่งน้อยแล้วกัน เมิ่งน้อย แม่จะป้อนของกินอร่อยๆให้เจ้าน้า….”
หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยก็ได้นำเศษแก่นวิญญาณออกมาจากแหวนของเธอแล้วค่อยๆบี้มันให้เป็นชิ้นน้อยๆแล้วป้อนมันเหมือนที่เฉินเฉียงทำ
“เอื้อกกก”
เฉินเฉียงและเจิ้งยี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากไปพร้อมๆกัน
หยานเสวี่ยที่ได้ยินก็มองทั้งสองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ก่อนที่จะเดินต่อไปข้างหน้าพลางหยอกเย้าเมิ่งน้อยไปด้วย
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงมีท่าทีที่เปลี่ยนไป
“ไม่ดีแล้ว กองกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“เกิดอะไรขึ้น” ด้วยการที่เจิ้งยี่มีพลังจิตไม่ได้แกร่งเทียบเท่ากับเฉินเฉียงจึงได้ถามออกมา
“ข้าก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่ในตอนนี้มีกองกำลังที่มีจำนวนเจ็ดสิบไม่ก็แปดสิบเข้าใกล้จางหยวน ข้าไม่รู้ว่าพวกมันเป็นฝ่ายไหน ข้าต้องการไปดูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้สยายปีกแล้วบินขึ้นฟ้าไป
“เจ้าห้ามไปนะ”
หยานเสวี่ยที่อุ้มเมิ่งน้อยอยู่ได้ห้ามเฉินเฉียงเอาไว้
“เจ้าออกจากกองกำลังของเจ้ามาแล้ว พวกเขาจะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าอีกต่อไป”
“แล้วถ้าศัตรูของกองกำลังเทียนเว่ยจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงล่ะก็ เจ้าคิดจะช่วยมนุษย์ต่อสู้กับมนุษย์กลายพันธ์ุงั้นรึ”
“นี่จะคิดจะกล้าเปิดศึกกับมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆสินะ”
ด้วยการที่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เฉินเฉียงไม่อยากต่อปากต่อคำกับหยานเสวี่ย
“เจิ้งยี่ หยุดองครักษ์หยานเอาไว้ หากนางคิดจะตามมาฆ่าเมิ่งน้อยให้ข้าที”
“รับคำสั่ง”
เมื่อรับรู้ว่าเฉินเฉียงจะกลับไปช่วยจางหยวนนั้น เจิ้งยี่ย่อมไม่ใส่ใจสิ่งใดอีกต่อไป เขากางปีกของตนทะยานขึ้นฟ้าขวางทางหยานเสวี่ยไว้
“เจิ้งยี่ ด้วยความสามารถของเจ้านั้นคิดจะหยุดข้างั้นรึ เจ้าคิดจะรนหาที่ตายรึไงกัน”
เจิ้งยี่ได้ตวัดกระบี่ทองคำไปมาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่แยแส “ข้าเป็นองครักษ์ของเฉินเฉียง และคำสั่งของเขานั้นไม่ได้บอกให้หยุดท่าน แต่เป็นการฆ่าเมิ่งน้อยเพียงเท่านั้น”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยานเสวี่ยก็ใบหน้ากระตุกในทันที ก่อนที่จะนำร่างของเมิ่งน้อยไปไว้ข้างหลังเธอ
ถึงแม้ว่าเธอจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า แต่เธอเองก็ไม่มั่นใจจริงๆว่าจะสามารถหยุดเจิ้งยี่ไว้โดยปกป้องเมิ่งน้อยไว้ได้ในเวลาเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือเมิ่งน้อยพึ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมา ท่ามกลางการต่อสู้นี้เธอจะสามารถกอดเมิ่งน้อยไว้ในระหว่างการต่อสู้โดยไม่ให้มันไม่เป็นอันตรายได้ยังไงกัน
“เฉินเฉียง เจ้าตัวตำบอน เจ้ากล้าเอาเมิ่งน้อยมาขู่ข้า คอยดูนะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าได้รู้สำนึก”
เมื่อหยานเสวี่ยได้ตะโกนออกมา เฉินเฉียงก็ได้มาถึงจุดที่กองกำลังของเขาอยู่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยการที่ตัวตนของคนเหล่านี้ไม่แน่ชัด เฉินฉียงจึงไม่คิดจะเก็บซ่อนตัวตนของเขาแต่อย่างใด
เมื่คนเหล่านี้ได้พบเห็นเฉินเฉียง กลุ่มคนเบื้องล่างก็ได้กางปีกสีเงินของตนออกมาในทันที เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกมันเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์
เมื่อเห็นปีกที่กว้างใหญ่และยาวกว่าเจ็ดเมตรของเฉินเฉียง มนุษย์กลายพันธุ์เบื้องล่างก็ได้ทำการก้มหัวให้เขาในทันที “นายท่าน พวกเราได้พบเจอกองกำลังเล็กๆของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เบื้องหน้า โปรดนำพาพวกเราไปฆ่าพวกมันด้วย”
หลังจากมั่นใจในตัวตนของคนเหล่านี้แล้วว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เฉินเฉียงก็ไม่เสียเวลาตอบแต่อย่างใด เขาได้พุ่งเข้าไปกลางกลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ ก่อนที่จะสะบัดปีกของตนไปโดยรอบราวกับเครื่องบดเนื้อและทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ตกตายไปหลายคน
“ไม่จริงน่า เป็นคนทรยศเรอะ”
กว่าที่มนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้จะรู้ตัวและเริ่มตอบโต้ พวกมันก็พบว่าเฉินเฉียงได้หายไปจากจุดที่เขาอยู่เมื่อครู่นี้แล้ว
“ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ ฝุ่บ”
ไม่กี่วินาทีผ่านไป เหล่านายพลทักษะพิเศษก็ตกตายเป็นทิวแถว
ด้วยการที่เคลื่อนไหวที่หาร่องรอยไม่ได้ของเฉินเฉียงนี้ได้ทำให้นายพลทักษะพิเศษตนอื่นๆที่ยังไม่แน่ชัดในเหตุการณ์ต่างก็สับสนในทันที
ทักษะหลบหนีแสงระดับสี่ ทักษะคลื่นเสียงทำลายวิญญาณ ทักษะปีกสีเงินระดับเจ็ด และทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณอีกสองอย่างของเขานี้ทำให้เพียงไม่ถึงห้านาที จากกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์กว่าเจ็ดสิบตนนั้น ในตอนนี้สูญหายไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือกำลังตกอยู่ในสภาพเสียขวัญ
กับคนที่ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วพวกเขาจะเอาอะไรไปสู้
และนี่ทำให้มนุษย์กลายพันธุ์อีกยี่สิบกว่าตนนี้หนีหายไปทุกทิศทุกทาง
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ที่ตรงนี้อยู่ไม่ไกลจากจางหยวนและพวกนัก มนุษย์กลายพันธุ์ที่หนีเตลิดไปทางจางหยวนย่อมประสบพบเจอกับชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน
“ฆ่า”
เมื่อเห็นว่าเหล่าคนที่วิ่งเข้ามาหาพวกเขานั้นมีรูปร่างที่ผิดแผลก จางหยวนและพวกไม่คิดจะถามอะไรให้มากความ และพุ่งเข้าใส่มนุษย์กลายพันธุ์ราวกับแมลงวันที่ได้กลิ่นเลือด
เฉินเฉียงที่ไล่ตามมา เมื่อได้พบว่าจางหยวนและพวกได้มาถึง และเมื่อมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ไม่เป็นอันตรายกับพวกเขาอีก เขาจึงได้ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาทะยานกลับมายืนอยู่ข้างหยานเสวี่ยราวกับเป็นคู่หูของตน
“เสร็จแล้วรึ”
หยานเสวี่ยถามออกมาด้วยท่าทีเย็นชา
“อ้ะ โอ้ะ เอ้อ ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่กลุ่มโจรไม่กลัวตายเท่านั้น พวกนั้นจัดการได้อยู่แล้วล่ะนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงนี้ก็ทำให้เจิ้งยี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มกริ่ม และอดที่จะลอบยกนิ้วโป้งขึ้นมาเสียมิได้
“ฮึ่ม เฉินเฉียง เจ้านี่คิดจะเป็นอริศัตรูกับเผ่าพันธุ์ของข้าจริงๆสินะ”
“ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าเมื่อกลับไปเกาะเทียนเล่ยแล้ว ท่านราชาสวรรค์จะให้อภัยเจ้าอีกงั้นรึ”
“ข้าบอกไว้เลยนะว่ายิ่งกองกำลังของเจ้าเข้าใกล้บันไดสวรรค์มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งพบเจอมนุษย์กลายพันธุ์มากขึ้น หรือว่าเจ้านั้นคิดจะกวาดล้างพวกของข้าให้หมดสิ้นเลยรึไงกัน”
“น่าน่า ยังไงซะข้าก็จะกลับไปเกาะเทียนเล่ยกับท่านอยู่แล้ว เมื่อไปถึง ราชาสวรรค์ก็คงไม่น่าจะปล่อยข้าไปอยู่แล้ว ต่อให้ข้าต้องตกตายด้วยมือท่านในตอนนี้หรือแม้แต่ต้องฆ่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดแล้วมันจะเป็นอะไรไป”
“เหอะ ในโลกแห่งนี้ย่อมมีใครบางคนที่แกร่งกว่าเจ้า เจ้าอย่าได้คิดนะว่าไม่มีใครในมนุษย์กลายพันธุ์ที่จะฆ่าเจ้าไม่ได้น่ะ”
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้ทะนงตนอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ก็อีกล่ะน้า… ข้าจำได้ว่ามีใครบางคนต้องทำหน้าที่ในการปกป้องชีวิตข้า และข้าก็เชื่อว่าคนคนนั้นคงไม่ปล่อยให้ข้าตกตายไปต่อหน้าต่อตาหรอกน้า….”
“เจ้า….ฮึ่ม ไอ้ตัวโอหัง” หยานเสวี่ยดุด่าออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวขุ่นเคืองและไม่สนใจหยานเสวี่ยอีก
“เจี๊ยกเจี๊ยก…”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เดือดดาลของหยานเสวี่ยแล้ว เมิ่งน้อยที่ลืมตาดูโลกแล้วนั้น เมื่อได้เห็นฉากนี้ก็ได้เอาหน้าซุกอกของเหยานเสวี่ยและร้องออกมาเบาๆ
“โอ๋โอ๋โอ๋ เมิ่งน้อย เจ้าหิวแล้วเหรอ มาๆให้แม่คนนี้ป้อนแก่นวิญญาณเจ้าน้า”
หยานเสวี่ยนั้นย่อมไม่รู้ว่าทำไมเมิ่งน้อยถึงได้ร้องออกมา แต่เฉินเฉียงนั้นกลับรู้ดีว่าเมิ่งน้อยร้องทำไม
“เจี๊ยกเจี๊ยก”
เฉินฉียงได้ร้องออกมาสองที ก่อนที่เมิ่งน้อยจะพยักหน้างึกๆ แล้วใช้ปากของมันนั้นจูบไปที่หลังมือของหยานเสวี่ยจนทำให้หยานเสวี่ยนั้นหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
หลังจากผ่านไปสักพัก หยานเสวี่ยก็ได้ถามออกมา “เฉินเฉียง เจ้าพูดอะไรกับเมิ่งน้อยเหรอ”
“อ้า…องครักษ์หยาน ข้าบอกท่านไปแล้วนี่ว่าเมิ่งน้อยยังพูดไม่ได้ ท่านเคยเห็นเด็กทารกที่ไหนเขาพูดกันรึไง”
“องครักษ์หยาน ข้าคิดว่าท่านพอจะสอนให้เมิ่งน้อยทำอะไรสักอย่างสองอย่างได้อยู่นะเมื่อท่านว่าง เป็นไปได้ว่าเมิ่งน้อยอาจจะพอสื่อสารกับท่านโดยตรงได้บ้างในอนาคต”
“จริงด้วย ทำไมข้าคิดไม่ถึงมาก่อนนะ” หยานเสวี่ยดวงตาลุกโชนในทันที “เมิ่งน้อยที่แสนดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าหิวนะ เจ้าต้องจุ๊บไปที่หลังมือของแม่นะ เจ้ารู้เรื่องรึเปล่า”
เพียงเมื่อหยานเสวี่ยได้พูดจบลง ฉากที่น่ามหัศจรรย์ก็ได้ปรากฏ นั่นคือฉากที่เมิ่งน้อยจุ๊บลงไปที่หลังมือของหยานเสวี่ยอยู่จริงๆ
“อ้ะ เฉินเฉียง ดูสิ เจ้าเห็นรึเปล่า เมิ่งน้อยเข้าใจข้าจริงๆด้วย”
“จ้า จ้า องครักษ์หยาน ดูเหมือนว่าเมิ่งน้อยนั้นจะฉลาดอยู่นะ นี่ต้องเป็นลูกของท่านไม่ผิดแน่”
เฉินเฉียงแม้จะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็แอบส่งคลื่นเสียงภาษาสัตว์ประหลาดเอาไว้ นี่ทำให้เมิ่งน้อยมีความกล้าที่จะทำ
และเมื่อโดนยุยงส่งเสริมแบบนี้แล้ว เมิ่งน้อยก็ได้จุ๊บไปที่หลังมือของหยานเสวี่ยอีกครั้ง
“ฮี่ฮี่ฮี่ จ้าจ้า เมิ่งน้อยจ้ะ แม่รู้ว่าเจ้าหิว เดี๋ยวแม่จะป้อนอะไรให้เจ้ากันเดี๋ยวนี้ล่ะนะ”
เมื่อเห็นว่าเมิ่งน้อยได้ทำให้อารมณ์ที่ขุ่นเคืองของหยานเสวี่ยลดลงอย่างมาก เฉินเฉียงก็ได้ลอบถอนลมหายใจอย่างหนัก ก่อนที่จะหันไปมองเจิ้งยี่
-เจิ้งยี่ สงสัยว่าข้าอาจจะต้องให้เจ้าช่วยจัดการเรื่องขององครักษ์หยานอีกก็ได้ล่ะนะ-
-เมื่อถึงเวลา เจ้าก็ใช้เมิ่งน้อยเป็นตัวประกัน แต่ข้าบอกไว้ก่อนนาว่าเจ้านั้นห้ามทำอะไรเมิ่งน้อยเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ นางต้องฆ่าเจ้าแหงๆ-
เมื่อได้ยินเสียงผ่านจิตวิญญาณของเฉินเฉียงแล้ว เขาก็ได้ลอบพยักหน้าให้กับเฉินเฉียง และนี่ทำให้เฉินเฉียงสบายใจขึ้นมาได้จริงๆ
ในตอนนี้ จากจุดที่เฉินเฉียงได้จากมานั้น เป็นจุดที่จางหยวนและกองกำลังเทียนเว่ยได้พุ่งตรงไป
พวกมนุษย์กลายพันธุ์เองนั้น ในตอนนี้พวกมันยังไม่รู้ว่าเฉินเฉียงได้จากมาแล้ว ตนที่เหลือรอดก็ได้หลบหนี บ้างก็ได้ตะโกนร้องลั่น “วิ่งเร็วเข้า ปีกของไอ้คนทรยศนั่นน่ากลัวนัก มันต้องเป็นนักล่าเนื้อของไอ้พวกมนุษย์แน่ๆ”
น่าเสียดายนักที่มนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลือนี้เลือกหนีไปทางไหนไม่เลือก ดันเลือกวิ่งไปหาจางหยวนและพวก แน่นอนว่าพวกมันได้ตกตายจนหมดสิ้น
“เอ่อ กัปตัน ทำไมมีซากร่างของมนุษย์กลายพันธุ์ตายอยู่ที่นี่เยอะแยะขนาดนี้เนี่ย ดูเหมือนว่าพวกมันถูกโจมตีนะ”
“นั่นน่ะสิ ข้าจำได้ว่าพวกเราฆ่าพวกมันไปเพียงไม่กี่สิบเองนา แต่นับไปนับมามีซากของพวกมันกว่าเจ็ดสิบตน ช่างน่าฉงนนัก”
“หลางซานเอ๋อ ข้าก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะแต่ว่าเจ้าเนี่ยคือสมองกล้ามขนานแท้เลยสินะ นี่เจ้าไม่ได้ยินจริงๆรึไง”
“ไอ้พวกนี้มันพึ่งพูดไปไม่ใช่เหรอว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีปีกที่ร้ายกาจจัดการพวกมัน เจ้าไม่คิดจริงๆเหรอว่านอกจากกัปตันของพวกเราแล้วจะมีใครที่มีปีกที่น่าสะพรึงแบบนั้นอีก”
“ห้ะ เจ้าหมายความว่าเป็นกัปตันที่ลงมือเหรอ แล้วทำไมเขาไม่ออกมาพบพวกเราล่ะ”
“ด้วยสินสงครามมากมายขนาดนี้แล้วกัปตันไม่เอาอะไรไปเลยนั่นก็เพราะเขาจะทิ้งให้พวกเราไว้ใช้ไงวุ้ย”
“พอ เลิกพูดได้แล้ว รีบๆเก็บสินสงครามซะแล้วรีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวไอ้พวกที่หนีไปตามพวกมาเดี๋ยวจะวุ่น”
เมื่อได้ยินคำสั่งของจางหยวนแล้ว ทุกคนในกองกำลังก็รีบเก็บกวาดสนามรบและเดินทางต่อโดยไม่หยุดพัก
ส่วนเฉินเฉียงและพวกนั้นที่นำหน้ามาก็ได้เคลื่อนที่ช้าลงเพราะกลัวพวกของจางหยวนจะไม่ได้หยุดพัก
“เฉินเฉียง นี่เจ้าจะหยุดทำไมอีกกัน หากเป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะไปถึงบันไดสวรรค์กันเนี่ย”
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้นั่งลงแล้วนำเตาปรุงยาออกมา
“องครักษ์หยาน ใครจะไปรู้ว่าภายภาคหน้าจะมีอันตรายมากมายขนาดไหนรอพวกเราอยู่ แล้วจะไม่ให้ข้าเตรียมหยูกยาเลยรึไง”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือท่านนั้นอย่าคิดว่าตัวเองไหวเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่านต้องคิดด้วยว่าเมิ่งน้อยนั้นไหวกับท่านด้วยรึเปล่า หรือไม่จริง”
“เมิ่งน้อยเองก็พึ่งจะเกิดมาได้ไม่นาน เขาต้องได้รับสารอาหารอย่างอื่นบ้าง ไม่สามารถกินได้แต่แก่นวิญญาณได้ทั้งวันหรอกนะ หรือท่านไม่คิดอย่างนั้น”
“หากว่าท่านต้องกินสิ่งเดิมๆซ้ำๆนานยับเดือน ท่านจะไม่เบื่อไม่หน่ายกับมันบ้างรึไง ถูกไหมล่ะ”
“จริงสิ ข้าลืมลูกของข้าไปได้ยังไงกัน เฉินเฉียง ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็จงตั้งใจปรุงยาไปซะ เดี๋ยวข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
อย่างที่เขาคาดเอาไว้ เมื่อเขาเอาเมิ่งน้อยขึ้นมาอ้าง หยานเสวี่ยแสดงความกังวลในฐานะแม่ของมันขึ้นมาในทันที
และเมื่อเฉินเฉียงได้พบเจอจุดอ่อนของหยานเสวี่ยแล้ว ต่อให้เขาทำอะไรผิดไปก็ตาม เขาก็จะใช้เมิ่งน้อยมาเป็นโล่ให้กับเขา
ความจริงแล้วเมื่อเขาพบว่าจางหยวนและพวกเริ่มที่จะหยุดพัก เขาจึงจะใช้โอกาสนี้ในการปรุงยา และคิดจะทิ้งไว้ให้กองกำลังของเขาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
และนี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นหลอมยาติดๆกันจนได้ยามากมายในช่วงข้ามคืน
เขาได้ส่งยาที่ปรุงส่วนใหญ่ให้กับเจิ้งยี่
-เจิ้งยี่ เจ้ารีบนำยานี้ไปแล้วลอบส่งให้เม่ยหลัวหลันโดยไม่ต้องพูดอะไรมากความล่ะ-
-รับทราบ-
เจิ้งยี่ได้เก็บยา ก่อนที่จะกดกำไรสื่อสารของตนให้ส่งไปที่เม่ยหลัวหลัน ก่อนที่จะส่งข้อความแล้วรีบวิ่งออกไป
“เฉินเฉียง เจิ้งยี่จะไปไหนกัน” หยานเสวี่ยได้ถามออกมาด้วยใบหน้าสงสัย
“นี่ องครักษ์หยาน ท่านจะไปสนใจเขาทำไมกัน”
“ภารกิจของท่านคือพาข้าไปหาราชาสวรรค์ไม่ใช่เหรอ”
“ส่วนเรื่องอื่นนั้นท่านอย่าถามให้มากความดีกว่านา”
“มาๆ ส่งเมิ่งน้อยมาให้ข้าได้ป้อนยาวิเศษนี่ให้ดูก่อน และนี่จะทำให้ไม่มีคนพบร่องรอยของเมิ่งน้อยได้ง่ายๆในอนาคต”
“เจี๊ยกเจี๊ยก”
เมิ่งน้อยในตอนนี้นั้นเข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้แล้ว แน่นอนว่ามันต้องเข้าใจว่าเฉินเฉียงคิดจะให้อะไรมันกิน และเมื่อได้เห็นเฉินเฉียงนำเม็ดยาสีน้ำนมหรือก็คือยาเสริมวิญญาณที่มีกลิ่นหอมโชยออกมา เมิ่งน้อยอดใจไม่ไหวจนวิ่งออกจากมือของหยานเสวี่ยแล้วไต่ไปตามแขนของเธอเพื่อตามกลิ่นไปในทันที
“เมิ่งน้อย เจ้านี่จริงๆเล้ย ฮิฮิ กับยาเพียงเม็ดเดียวก็ซื้อเจ้าได้แล้วเหรอเนี่ย”
อย่างที่เขาคิดว่า พอเป็นเรื่องของเมิ่งน้อยเมื่อใด หยานเสวี่ยจะหลงลืมสิ่งที่พูดคุยกันก่อนหน้านี้ไปในทันที
“ไม่นะ มีอะไรผิดปกติแล้ว” องครักษ์หยานที่ได้มองตามเมิ่งน้อยไปนั้นราวกับไม่อยากให้ใครทำอันตรายมัน “ให้ข้าดูหน่อย”