ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 238 พายุลูกใหญ่
บทที่ 238 พายุลูกใหญ่
“เดี๋ยวนะ องครักษ์หยาน ท่านบอกว่าเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ถูกหลอมรวมจากราชาของทั้งสามเผ่าพันธุ์จนก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่าโลกใบเล็กงั้นเหรอ”
“แล้ว ทั้งราชาของทั้งสามนั่นมีโลกใบเล็กได้ยังไงกัน”
หยานเสวี่ยเองถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันทีที่ได้ยินคำถามของเฉินเฉียง
“เฉินเฉียง ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเจ้านั้นจะเข้าจะเรื่องระบบการบ่มเพาะแบบผิดๆอยู่สินะ เอาอย่างนี้ เจ้ารู้รึเปล่าว่าการบ่มเพาะระดับนายพลและระดับราชานั้นต่างกันยังไง”
“ก็ต้องรู้สิ ข้ารู้มาว่าก่อนหน้าที่จะเข้าถึงระดับราชานั้นจะมีระดับกึ่งราชา เมื่อถึงจุดนั้นจะต้องดูดซับแก่นคริสตัลเพื่อเพิ่มพลังสายเลือดให้เพิ่มสูงขึ้น”
“ใครก็ตามเมื่อถึงระดับกึ่งราชาแล้ว พวกเขาจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณจากธรรมชาติหรือจากแก่นวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังการบ่มเพาะ”
เมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่เขาจะเข้ามายังมิติจักรพรรดิแห่งนี้ เว่ยหยวนตี้ได้อธิบายเรื่องนี้ให้เฉินเฉียงได้ฟังมาแล้ว และรู้สึกเสียดายแทนเฉินเฉียงที่ยอมสละสิทธิ์ได้อันดับหนึ่งในการประลองสี่สำนักไปอีก
นั่นก็เพราะรางวัลชนะเลิศนั้นก็คือการได้รับเทคนิคการบ่มเพาะที่สามารถดูดซับพลังฟ้าดินที่เรียกว่า บทสวดแห่งสรวงสวรรค์ แต่ยังไงซะ ในตอนนั้นเขาก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะช่วยเจิ้งยี่ให้ได้รับสิ่งนั้นไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากเฉินเฉียงได้พูดจบ หยานเสวี่ยได้ส่ายหัวไปมาแล้วยิ้มตอบ ก่อนที่จะพูดออกมา “เฉินเฉียง สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นก็เป็นเพียงหลักการในการบ่มเพาะ แต่ไม่ได้บอกถึงความต่างระหว่างระดับราชาและระดับนายพล”
“ให้ข้าได้ถามเจ้าหน่อยแล้วกันว่าเจ้านั้นเคยเห็นระดับราชาที่ไหนพกแหวนมิติมั่งรึเปล่า”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ย้อนกับนึกไป กับราชาทั้งสี่แห่งสำนักมังกรอาชูร่านั้นเขาจำได้ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มีแหวนมิติ แต่ราชาสวรรค์ เว่ยหยวนตี้ และฮั่นจุยนั้นไม่มีเลยสักวง
“องครักษ์หยาน ท่านหมายความว่าผู้คนแห่งระดับราชานั้นมีโลกใบเล็กของตัวเอง…..เหรอ”
“ฉลาดนัก”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจแล้วพูดต่อ “หากจะให้พูดตามที่เผ่าพันธุ์ของเจ้าได้รับรู้ล่ะก็ ยามที่ใครก็ตามเข้าสู่ระดับกึ่งราชา พวกเขาจะดูดซับพลังฟ้าดินและบ่มเพาะพลังนั้นจนกระทั่งเกิดสิ่งที่เรียกว่าเมล็ดพันธุ์แห่งโลกในจุดตันเถียน”
ส่วนสัตว์ประหลาดนั้น เมื่อพวกมันเกิดขึ้นมา มันก็สามารถดูดซับพลังของสวรรค์และโลกโดยพลังสายเลือดได้แล้ว นี่ทำให้พวกมันมีเมล็ดพันธุ์แห่งโลกได้หลังจากเข้าสู่ระดับราชาไปแล้วเท่านั้น
“เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งโลกนี้คุ้นเคยกับร่างกายของคนที่มันฝังอยู่ มันจะเริ่มก่อรูปขึ้นมาในช่วงราชาเทพสงครามขั้นกลาง และจะสร้างกฎของโลกใบเล็กขึ้นมาในจอมพลเทพสงครามขั้นปลาย”
“เมื่อตอนที่ย่างเข้าระดับจักรพรรดิเทพสงคราม ร่องรอยแห่งชีวิตในโลกใบเล็กจะปรากฏ และพื้นที่ของโลกใบเล็กนี้จะยิ่งเติบโตขึ้นไปเรื่อย”
“และตามประวัติศาสตร์ที่ได้บันทึกไว้นั้น ผู้ที่ถึงขั้นสร้างโลกใบเล็กที่ว่านี้ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์ละคน หรือก็คือราชาที่สร้างโลกใบเล็กในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้”
“จากรายงานที่หลงเหลือนั้น เมื่อใครก็ตามที่เข้าสู่ระดับจักรพรรดิ สิ่งมีชีวิตที่เป็นรูปร่างจะปรากฏขึ้นในโลกใบเล็กของพวกเขา”
“และนี่เองก็น่าพอจะทำให้เจ้ารับรู้ได้แล้วว่าเขตแดนจักรพรรดิที่ถูกหลงเหลือไว้โดยราชาจากสามเผ่าพันธุ์นี้ทรงพลังขนาดไหน นี่ขนาดมีทางเข้ามาจากแต่ละฝ่าย แต่ทรัพยากรภายในนี้ก็ยังมีอย่างเหลือเฟือ”
“เดี๋ยวนะ แล้วไอ้ระดับราชาเทพสงคราม จอมพลเทพสงคราม กับจักรพรรดิเทพสงครามนี่มันต่างกันยังไงล่ะ” ด้วยการที่นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้ในตอนนี้เขานั้นรู้สึกราวกับได้เปิดดูบันทึกชะตาสวรรค์ ทั้งรู้สึกหวาดหวั่นและอยากรู้อยากเห็นจนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ข้าเองก็ฟังมาจากราชาสวรรค์เพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องรายละเอียดนั่นข้าคิดว่าท่านราชาสวรรค์เองก็ไม่อาจจะอธิบายได้เช่นเดียวกัน เพราะยังไงซะ ท่านเองก็ยังอยู่เพียงแค่ระดับราชาเทพสงครามช่วงกลางเพียงเท่านั้น”
“หรือก็คือโลกใบเล็กของราชาสวรรค์ยังไม่มีกฎแห่งโลกปรากฏ”
“อย่างไรก็ตาม เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้แตกต่างออกไป โลกใบเล็กที่อยู่ภายในนี้มีกฎแห่งโลกปรากฏออกมาแล้ว และกฎหนึ่งในนั้นก็คือพื้นที่ที่โลกของราชาทั้งสามหลอมรวมกันนั้นห้ามมีการต่อสู้เป็นอันขาด”
“แล้วทำไมราชาทั้งสามที่ต่อสู้กันถึงขั้นวายป่วงกันไปข้างนึงได้ถึงขนาดนั้น แล้วทำไมโลกใบเล็กของทั้งสามถึงได้หลอมรวมขึ้นมาได้กัน ไหนจะมีกฎว่าห้ามต่อสู้กันอีก ทำไมไม่ตั้งให้แต่ละเผ่าพันธุ์เข้าโลกของตนไปกันเองซะล่ะ”
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้” หยานเสวี่ยได้ส่ายหัวไปมาในทันที “ไปกันเถอะ บันไดสู่สรวงสวรรค์อยู่ตรงหน้านี้แล้ว จำไว้ว่าอย่าได้ไปเผลอทำอะไรเข้าซะล่ะ เจ้าจะได้อยู่รอดปลอดภัย”
เฉินเฉียงได้ตามหยานเสวี่ยไปโดยการมองเธอไปเรื่อยๆ ส่วนในใจของเขานั้นกำลังคิดถึงเรื่องที่เธอบอกเขามาก่อนหน้านี้ทั้งหมด
“เฉินเฉียง ลงตรงนี้แหละ”
เมื่อหยานเสวี่ยได้บอกเขาในเรื่องนี้ เขาก็พบว่ามีผู้คนนับพันและสัตว์ประหลาดรวมตัวกันอยู่ใต้เขาแล้ว
เมื่อทั้งสองลงพื้นมาแล้วนั้น ทั้งสองก็เป็นที่จับจ้องของทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบในทันที
เพราะยังไงซะ ปีกของเฉินเฉียงนั้นมันใหญ่ยักษ์เกินกว่าที่มนุษย์กลายพันธุ์ทั่วไปจะมีได้
และฉากนี้เองทำให้มนุษย์และสัตว์ประหลาดที่พบเห็นต่างก็หวาดกลัวและเกลียดชัง ในมุมมองของทั้งสองฝ่าย หากได้โดนปีกคู่นี้ของเฉินเฉียงจัดการคงเสียหายไปหลายแสน ทั้งสองฝ่ายจึงได้ถือเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจในทันที
หากไม่ใช่เพราะว่าพื้นที่แห่งนี้มีกฎอยู่ ทั้งสองฝ่ายคงจะเร่งสังหารเฉินเฉียงตั้งแต่แรกเห็น
ส่วนกับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นแตกต่างกันออกไป พวกมันกลับมองเฉินเฉียงด้วยความอิจฉาตาร้อน
แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียว
“โย่ นั่นมันหยานเสวี่ย…..องครักษ์หยาน นักรบอันดับหนึ่งแห่งราชาสวรรค์ไม่ใช่รึไงกัน”
“เจ้าอย่าบอกนะว่าคนในกองกำลังของเจ้านั้นถูกฆ่าไปหมดแล้วน่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า องครักษ์หยาน ข้าว่าเจ้ามาติดตามท่านหลินไฮ่หวังผู้นี้จะดีกว่านะ”
ดูพวกข้าสิ ตอนเข้ามามีสี่สิบสองคน มาตอนนี้ก็ยังเหลือสี่สิบสองคน ไม่มีใครขาดหายไปสักคน
“ว่ายังไง สนใจจะเข้าร่วมกับข้าไหมล่ะ”
เมื่อได้เห็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งเดินเข้ามา เฉินเฉียงก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกไป “องครักษ์หยาน ใครกัน ท่าทางเขาช่างดูเก้งก้างอย่างกับไม้เสียบผีนัก”
หยานเสวี่ยไม่แยแสต่อมนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้และพาเฉินเฉียงเดินให้ห่างจากมัน หลังจากนั้นเธอก็ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณบอกเฉินเฉียง –เฉินเฉียง นั่นคือคนในอาณัติของหลินไฮ่หวัง ชื่อจ้าวจุน แม้แต่ข้าก็ไม่ใช่คู่มือของเขา-
-คนใต้อาณัติของหลินไฮ่หวังนั้นเกือบทั้งหมดมีทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณ ทุกๆครั้งที่พวกมันต่อสู้กับมนุษย์ ในทันทีที่ได้พบพวกมัน มนุษย์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่ต้องตกตายจนหมดสิ้น-
-หากในภายภาคหน้าเจ้าได้พบมัน เจ้าควรอยู่ให้ห่างพวกมันเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าเองก็อาจจะต้องตกตาย-
เฉินเฉียงหลี่ตาลงในทันทีเมื่อได้ยิน –องครักษ์หยาน นี่หมายความว่าแผ่นแก่นพลังงานที่คนใต้อาณัติของหลินไฮ่หวังนั้นล้วนแล้วแต่เป็นประเภทที่มีทักษะโจมตีทางจิตวิญญาณใช่หรือไม่-
-ก็ใช่อยู่ แล้วทำไมรึ-
-แล้วแผ่นแก่นวิญญาณของท่านราชาสวรรค์มีแบบนั้นบ้างรึเปล่า- เฉินเฉียงได้รีบถามออกมาในทันที
หยานเสวี่ยส่ายหน้าในทันทีเมื่อได้ยิน –ไม่มี รูปแบบของแผ่นแก่นพลังงานประเภทนั้นเป็นหลินไฮ่หวังสร้างขึ้นมาเอง พวกมันมีค่าอย่างเหนือล้ำนัก-
-อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากจะถูกฝังด้วยแผ่นแก่นพลังงานแบบนั้นกัน-
เมื่อเห็นหยานเย่อยิ้มออกมาอย่างทะเล้น เฉินเฉียงก็พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ –แค่อยากจะรู้ไว้น่ะว่าแผ่นแก่นพลังงานแบบนั้นจะมีอันตรายบ้างรึเปล่าก็เท่านั้นเอง-
“ชิ”
หยานเสวี่ยไม่เชื่อในคำพูดของเฉินเฉียงแต่อย่างใด
เฉินเฉียงได้เงยหน้าขึ้นมาและได้มองไปที่บันไดสูงตรงหน้าแล้วถามออกมา “องครักษ์หยาน นี่คือบันไดสู่สรวงสวรรค์ที่ท่านพูดถึงงั้นรึ แล้วทำไมยังไม่มีคนที่คิดจะเดินขึ้นไปล่ะ”
“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในตอนนี้คนทั้งสามเผ่าพันธุ์ยังมากันไม่ครบ อีกอย่างคือคงไม่มีใครอยากที่จะลองก่อนเป็นคนแรกล่ะนะ”
“รออีกสักพักแล้วกัน เมื่อทุกคนมาถึงแล้วก็ไม่มีใครที่จะถูกทิ้งไว้อยู่ที่นี่คนเดียวอย่างแน่นอน เพราะยังไงซะทุกคนก็มาที่นี่เป็นครั้งแรกทั้งนั้น”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยได้นั่งลงและเล่นกับเมิ่งน้อยฆ่าเวลาไม่หยุด
ที่หน้าบันไดแห่งสรวงสวรรค์แห่งนี้ เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยได้นั่งรอไปอีกห้าวัน ในตอนนี้ผู้คนนับพันและสัตว์ประหลาดต่างก็มารวมตัวกันจนเกือบหมดสิ้น
ที่ไกลออกไปนั้น เหล่านักรบของทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่เข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้แล้วยังมีชีวิตอยู่เกือบจะมาถึงที่นี่แล้ว
ไม่ไกลนัก เฉินเฉียงได้พบเห็นกองกำลังเทียนเว่ยที่มาถึงอย่างปลอดภัย นี่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมาก
เจิ้งยี่เองก็มาถึงแล้ว เขายืนอยู่คนเดียวตรงกลาง และมองดูไปที่บันไดสู่สรวงสวรรค์อย่างตั้งมั่น พร้อมร่างกายที่โชกเลือดจนทำให้เขาดูราวกับฆาตกรผู้บ้าคลั่ง
ที่ข้างหลังเขานั้นเหล่ามนุษย์สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ต่างก็แหนงหนีเพราะกลัวจะไปทำให้ดาวร้ายดวงนี้โกรธเข้า
เฉินเฉียงเองเมื่อเห็นก็อยากจะทักทายเจิ้งยี่เหมือนกัน แต่ในทันทีที่เขายืนขึ้น เจิ้งยี่ที่ยืนอยู่หน้าบันไดแล้วก็ได้ทำการก้าวเดินขึ้นไปด้วยตัวคนเดียว
“ไอ้หมานี่จะขึ้นไปบนบันไดสู่สรวงสวรรค์เลยเรอะ จะกล้าเกินไปแล้วม้างงงง ไม่กลัวรึไงที่จะต้องพบเจออันตรายพวกนั้นน่ะ”
“ก่อนที่พวกเรามาที่นี่ ราชาของพวกเราบอกเอาไว้ว่าการปีนขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์นั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น แต่ไอ้หมอนี่กลับเข้าไปอย่างไม่กริ่งเกรง ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็จะได้รู้สึก”
“หึหึหึ ข้าว่าลองมาดูกันดีกว่าว่ากับไอ้คนที่ราวกับฆาตกรกระหายเลือดคนนี้จะโดนเล่นงานอะไรบ้าง”
ภายใต้ความตื่นเต้นของผู้มุงดูโดยรอบ เจิ้งยี่ได้ก้าวแรกขึ้นไปบนบันได
“เอ๋ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”
“มันก็แค่ก้าวแรกล่ะว้า เดี๋ยวก้าวต่อไปก็รู้สึก”
เจิ้งยี่นิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะก้าว ก้าวที่สองขึ้นไป
“องครักษ์หยาน ไอ้การขึ้นบันไดนี่มันมีประโยชน์อะไรเหรอนั่น”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้” หยานเสวี่ยส่ายหัวของเธอในทันที “ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริงๆเพราะท่านราชาสวรรค์ไม่เคยมาที่นี่ ท่านบอกไว้เพียงว่าใครก็ตามที่ได้เข้ามาที่นี่แล้วต้องปีนป่ายบันไดนี้ให้ได้ ส่วนจะได้อะไรนั้นแล้วแต่โชควาสนาของคนคนนั้น ส่วนใครได้อะไรกลับไปบ้างนั้นทุกคนล้วนแล้วแต่เก็บเงียบไว้”
หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยก็ได้มองไปที่เจิ้งยี่ผู้ซึ่งกำลังก้าวเดินขึ้นไป
ไม่นาน เจิ้งยี่ในตอนนี้ได้ขึ้นไปถึงขั้นที่เจ็ด และดูเหมือนว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี
เป็นตอนนี้ทุกสายตาที่มองดูก็อดที่จะพูดแสดงความเห็นของตนออกมาเสียไม่ได้
“เป็นไปได้ว่าคนแรกที่ก้าวขึ้นไปจะได้ของที่ดีที่สุดไปแล้ว พวกเราปล่อยมันให้เหมาหมดไม่ได้แล้วล่ะ”
“แม่เอ๊ย ก็ไหนเจ้าบอกมาเองไม่ใช่เหรอว่าต้องการดูเด็กนั่นโดนลงทัณฑ์จากข้างล่างก่อนน่ะ แล้วยังมีหน้ามาพูดแบบนี้ในตอนนี้อีกเนี่ยนะ”
เมื่อสิ้นเสียง ทุกชีวิตมากมายต่างก็พุ่งตรงก้าวเดินขึ้นบันไดไป บ้างก็อาศัยเดินตามเจิ้งยี่ไปเสียอย่างนั้น
“ฮ่าฮ่า ดูไอ้พวกมนุษย์กับสัตว์ประหลาดพวกนี้สิ ช่างราวกับหมูโง่ยิ่งนัก ก็แค่บันไดล่ะว้า จะต้องคิดให้มันมากมายไปทำไม”
เมื่อพูดจบ นายพลทักษะที่หัวเราะเยาะเย้ยออกมานั้นก็สยายปีกและบินขึ้นฟ้าโจนทะยานออกไปจนอยู่เหนือเจิ้งยี่ขึ้นไปในทันที หากนับระดับความสูงแล้วนั้น ในตอนนี้มนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้อยู่ที่ราวๆขั้นที่ห้าสิบของบันไดสู่สรวงสวรรค์
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์คือผู้ที่ถูกสรวงสวรรค์ค้ำชูโว้ยยยยย……” นายพลทักษะพิเศษขั้นสูงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับจะท้าทายบันไดสวรรค์แห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ฉากต่อไปนี้ทำให้มนุษย์และสัตว์ประหลาดอดที่จะหัวเราะลั่นไม่ได้
นั่นก็เพราะเมื่อตอนที่นายพลทักษะพิเศษขั้นสูงตนนี้เข้าใกล้ขั้นบันได ร่างของมันในตอนนี้ราวกับลูกบอลเขวี้ยงน้ำหนักที่โซ่ขาดตอนหมุนเหวี่ยง มันร่วงลงอย่างรวดเร็วจนบังเกิดเสียงดังปังลั่นจนร่างมิดลงในพื้นบันได
“ฮ่าฮ่าฮ่า…..”
เมื่อเห็นฉากนี้ มนุษย์ทุกคนที่เห็นก็ได้หัวเราะออกมาดังลั่น แม้แต่สัตว์ประหลาดเองก็ส่งเสียงที่แสดงออกมาว่ากำลังหัวเราะเยาะเย้ย
ถึงแม้ทั้งมนุษย์และสัตว์ประหลาดจะไร้ปีก แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าดีใจที่ไม่มีในตอนนี้
ไม่ไกลนัก หยานเสวี่ยได้เฝ้ามองเหตุการณ์ตลอดเวลา เธอถามเฉินเฉียงออกมา “เฉินเฉียง เจ้าเห็นรึเปล่า บันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้เองก็มีกฎที่เข้มงวดเหมือนกัน เจ้าอย่าได้บินขึ้นไปซะล่ะ ทำได้เพียงแค่ปีนขึ้นไปทีละก้าวเท่านั้น”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับในทันที “เอ้อใช่ องครักษ์หยาน เมื่อกี้ข้าพบเจอคนที่ต้องการเล่นงานข้าอยู่ นับจากนี้ท่านเรียกข้าว่าหลิวหลางนะ อย่าได้เรียกเฉินเฉียงเป็นอันขาด”
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงเห็นว่าเฉียวกังยังคงอยู่ แถมยังก้าวขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์ไปแล้ว
และเพื่อไม่ให้สถานะของเขาถูกเผย เฉินเฉียงได้ใช้จังหวะนี้ลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณให้จางหยวน เจิ้งยี่ และคนอื่นๆได้รับรู้ เพื่อไม่ให้เฉียวกังนั้นได้รู้ตัว
-เฉินเฉียง พวกข้าควรจะขึ้นไปด้วยรึเปล่า- จางหยวนถามออกมาผ่านการส่งเสียงทางจิตวิญญาณ
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ –หากปีนได้ก็ดี แต่ปีนเท่าที่พวกเจ้าจะทำได้ก็แล้วกัน หากว่ามีอันตรายล่ะก็ให้รีบถอนตัวทันที-
เมื่อเห็นกองกำลังเทียนเว่ยมาถึง หยานเสวี่ยก็เริ่มคิดจะปีนขึ้นไป
“รอก่อน”
เฉินเฉียงดึงหยานเสวี่ยเอาไว้ “ด้วยสถานการณ์ของบันไดสู่สรวงสวรรค์นี้ไม่แน่ชัด ข้าว่าท่านไม่ควรจะพาเมิ่งน้อยไปนะ ไม่งั้นมันอาจบาดเจ็บได้”
“แล้วเจ้าจะไม่ขึ้นไปรึไง”
“ผลัดกันก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงกับรับเมิ่งน้อยมา “องครักษ์หยาน หากมีอะไรเกิดขึ้นก็ให้ติดต่อข้าผ่านกำไลสื่อสารก็แล้วกัน”
ด้วยฉากที่มนุษย์กลายพันธุ์ต่างล่วงลงมาแบบนี้แล้ว หยานเสวี่ยเองก็กังวลในความปลอดภัยของเมิ่งน้อยอยู่ไม่น้อยเลย เธอพยักหน้าเห็นด้วยและส่งเมิ่งน้อยให้เฉินเฉียงดูแล ก่อนที่จะก้าวขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์ขึ้นไป
หลังจากผ่านไปสักพัก หยานเสวี่ยก็ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณมาให้กับเฉินเฉียง –เฉินเฉียง บันไดพวกนี้มีแรงดึงดูที่แตกต่างไปในทุกขั้น นี่ไม่เหมาะกับที่จะพาเมิ่งน้อยมาจริงๆ เจ้ารอข้าจนกว่าไปจนถึงที่สุดก่อนแล้วกันแล้วข้าจะบอกว่าพบเจอสิ่งใด-
เมื่อได้ยินหยานเสวี่ยแล้ว เฉินเฉียงก็มองไปที่บันไดสู่สรวงสวรรค์ที่ในตอนนี้ทั้งสามเผ่าพันธุ์กำลังก้าวขึ้นไป แล้วเขาก็ได้พบว่าเมื่อไปสูงขึ้น แต่ละผู้แต่ละคนก็เริ่มจะช้าลง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครในสามเผ่าพันธุ์เลยที่คิดยอมแพ้ พวกเขายังคงฝืนใช้ความแข็งแกร่งของตนก้าวเดินต่อไป
เหล่าผู้ซึ่งเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ได้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นยอดนักรบแห่งเผ่าพันธุ์ ความแข็งแกร่งและจิตวิญญาณย่อมปฏิเสธที่จะยอมรับความแพ้พ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าเผ่าพันธุ์อื่นแบบนี้ พวกเขาย่อมไม่มีทางน้อยหน้าศัตรูคู่อาฆาตอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่ยากจะฟันฝ่าด้วยพลังที่มี ก็ใช่ว่าเพียงแค่ความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตวิญญาณที่มีจะฟันฝ่าไปได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่แข็งแกร่งทั้งกายและใจขนาดไหนก็ตาม
ไม่นาน บางคนที่ไม่อาจฝืนยื้อไปได้แล้วก็เริ่มมองขึ้นไปบนบันไดที่สูงชันและส่ายหัวไปมาในทันที
ผู้และคนเหล่านี้หากนับเป็นระดับมนุษย์จะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น หรือไม่ก็ผู้ซึ่งพึ่งจะก้าวเข้าสู่ในระดับขั้นกลางเพียงเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของระดับการบ่มเพาะของพวกเขาในตอนนี้นั้นล้วนแล้วแต่ไม่อาจก้าวเดินเกินสองร้อยขั้น
ถึงแม้ว่าจะมีบ้างที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางช่วงปลาย ก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงเดินกลับลงมาหลังจากทนฝืนดื้อดึงอยู่สองวัน
และนี่ทำให้เห็นได้ว่า บันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้นั้นเปรียบได้ดังเครื่องมือใช้ทดสอบพลังที่แท้จริงของเหล่านักรบของทั้งสามเผ่าพันธุ์ ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งก้าวขึ้นไปได้สูงขึ้นเท่านั้น
หลังจากผ่านไปอีกสองวัน ในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นมีเม่ยหลัวหลัน หวังต้าลู่และม่อโชวเป็นกลุ่มแรกที่ยอมแพ้จากการขึ้นบันไดแห่งสรวงสวรรค์
เฉินเฉียงได้ก้าวเดินไปหาเม่ยหลัวหลันช้าๆก่อนที่จะวางเมิ่งน้อยในมือของเธอ
“พี่หลัวหลัน ข้าขอฝากเมิ่งน้อยด้วยนะ”
“ข้าขอโทษด้วยกัปตัน ข้าไม่อาจได้อะไรกลับมา….”
เม่ยหลัวยหลันพูดออกมาพลางก้มหัวอย่างอับอาย ในขณะที่จ้องมองไปยังเมิ่งน้อย
“พี่หลัวหลันอย่าได้กังวลไปเลยน่า ด้วยการที่มีนักรบของสามเผ่าพันธุ์มากมายขนาดนี้ ไม่มีทางเลยที่ทุกคนทุกผู้จะขึ้นไปถึงยอดน่ะ”
“ใครจะไปรู้ แม้แต่ตัวข้าเองนั้นอาจจะไปได้เพียงครึ่งทางเลยก็ได้”
หลังจากพูดปลอบออกมาแล้ว เฉินเฉียงก็ได้พุ่งตรงไปยังบันไดสู่สรวงสวรรค์ในทันที
——————