ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 240 ในฐานะผู้นำ
บทที่ 240 ในฐานะผู้นำ
“แก..”
หนึ่งในสองนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงได้ชี้นิ้วใส่หน้าของเฉินเฉียงอย่างโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่นเทิ้ม
นั่นก็เพราะไม่ว่ายังไงแล้ว หากพูดถึงระดับขั้นทางสังคมของมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว มนุษย์กลายพันธุ์นายพลทักษะพิเศษขั้นสูง กลับถูกนายพลทักษะพิเศษขั้นกลางมาด่ากันต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เรียกได้ว่านี่ทำให้มันได้รับความอัปยศอดสูมากเกินไปจนรู้สึกอับอายอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองต่างก็รับรู้ดีว่าในพื้นที่นี้ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ หากพวกมันคิดจะทำ แม้ต้องแต่จ่ายด้วยชีวิตก็ยังทำอะไรเฉินเฉียงไม่ได้
ท้ายที่สุด ทั้งสองก็ทำได้เพียงอดทนเอาไว้
“ช่างมันเถอะน่าพี่ชาย ปล่อยให้ไอ้เด็กเวรนี่เฉิดฉายซะให้มันพอใจไปเถอะ ยังไงซะด้วยระดับของมันแล้วต่อให้มันเปิดจุดชีพจรติดกันสองครั้งได้จริงก็เท่านั้น”
“ขนาดท่านกับข้าเองยังไปได้เพียงแค่เจ็ดร้อยขั้น กับไอ้เวรนี่ยังไงก็ได้น้อยกว่าอย่างแน่นอน”
เมื่อถึงตอนนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราออกจากพื้นที่บันไดสู่สรวงสวรรค์นี้ไปแล้วค่อยให้พวกเราทั้งหมดคิดบัญชีกับมันก็พอ
“ไอ้เวรตะไลเอ๊ย พวกแกนี่มันเป็นเต่านินจารึไงวะ เป็นนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงหาพระแสงอะไรกัน ดีแต่ใช้พวกเข้ารุม”
เฉินเฉียงกล่าวคำดุด่าสาปออกมา
“ไอ้เวรเอ๊ย รนหาที่ตาย”
หนึ่งในนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงราวกับมีไฟลุกโชนในดวงตาและตะเบ็งเสียงออกมาอย่างดัง
“มาดิวะ มาฆ่าข้าเลยถ้าพวกเจ้ากล้า” เฉินเฉียงพูดก่อนที่จะยืนหัวออกไปให้อย่างยั่วประสาท
“พี่ชาย อย่าได้ตกหลุมพรางมัน ได้เวรนี่มันพยายามยั่วโมโหเราเท่านั้น พวกเราต้องไม่โง่ไปหลงกล”
“หึหึหึ นั่นสินะ พี่ใหญ่หลิวเฟิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ถึงแม้ว่าบันไดสรวงสวรรค์แห่งนี้จะห้ามต่อสู้กัน แต่ก็ยังไม่แน่หากว่าข้านั้นจะใช้การโจมตีทางจิตวิญญาณน่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงก็ถึงกับหน้าถอดสีในทันที เขาไม่เคยคิดเรื่องที่ว่านายพลทักษะพิเศษตรงหน้านี้จะเป็นพวกที่ใช้การโจมตีทางจิตวิญญาณได้
และด้วยการที่การโจมตีทางวิญญาณไร้รูปไร้ลักษณ์ หากว่ามันล็อกเป้าหมายไว้แล้วก็ยากที่จะหลบพ้น
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้ก้าวถอยหลังและก็พบว่าตรงหน้าเขานั้นมีการสั่นไหวบางอย่าง
มันคือการโจมตีทางจิตวิญญาณ
ด้วยระยะทางที่สั้นขนาดนี้ แน่นอนว่าเฉินเฉียงย่อมไม่อาจจะโจมตีสวนกลับได้ทัน แม้แต่ป้องกันเขาก็ยังไม่อาจทำได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามไม่คาดคิดว่าก่อนที่เฉินเฉียงจะโดนการโจมตีนี้เข้าไป ที่ด้านหลังของทั้งสามบนอากาศที่ว่างเปล่ากลับบังเกิดเสียงหนึ่งขึ้นมา
“ตูม เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ”
หลังจากสิ้นฟ้าฟาด นักรบทักษะพิเศษขั้นสูง จากสองก็เหลือเพียงหนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งสลายหายไปตามสายลม
“พี่ชาย”
นายพลทักษะพิเศษที่มีชื่อว่าหลิวเฟิงนั้นได้มองไปยังจุดที่พี่น้องของตนยืนอยู่และพูดคุยกันหัวเราะร่าอยู่ก่อนหน้า ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ควันไฟเพียงเท่านั้น
หลังจากฝืนกระโดดหลบไปทั้งๆที่รู้ว่าหลบไม่พ้นนั้น เฉินเฉียงเมื่อได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็อดที่จะยอมรับนับถือกฎของเขตแดนที่ทรงพลังนี้เสียมิได้
เขาไม่คิดว่าแม้แต่การโจมตีทางวิญญาณก็สามารถตรวจพบได้ที่นี่
“หลิวเฟิงใช่รึเปล่า เจ้าอยากจะแก้แค้นให้พี่น้องเจ้าใช่ไหม จะรอหาสิ่งใด เข้ามาสิ”
หลังจากที่สงบใจลงแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ยืนกอดอก มองหน้า ท้าทายหลิวเฟิง
“ไอ้เวร ข้ารู้ว่าเจ้านั้นมากับหยานเสวี่ย เจ้าเองก็เป็นคนของราชาสวรรค์สินะ เจ้ากล้าบอกชื่อข้าไว้รึเปล่าล่ะ”
เฉินเฉียงยักไหล่ตอบแล้วพูดออกมา “อะไร ไม่มีกึ๋นแล้วจะให้เจ้านายแก้แค้นแทนเหรอ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ก็ได้ นายท่านคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนชื่อแต่แซ่นั้นดันเหมือนกับปู่ของเจ้า หลิวหลาง”
“หลิวหลาง ดี”
หลิวเฟิงในตอนนี้มีดวงตาสีแดงก่ำแล้วชี้ไปที่หน้าเฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “ในนามแห่งราชาแห่งข้า หลินไฮ่หวัง เพื่อชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาคนแรกของข้านับจากที่เข้ามาที่นี่ ข้าจะเอาคืนในเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“เมื่อออกไปจากที่นี่ ข้าจะรายงานให้ท่านหลินไฮ่หวังฟังและขอให้ท่านไปให้ราชาสวรรค์อธิบายในเรื่องนี้”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ยินดีปรีดาในทันที แน่นอนว่าการที่ระดับสูงของมนุษย์กลายพันธุ์ขัดแย้งกันแบบนี้ย่อมทำให้เขาดีใจอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้า เขาย่อมต้องการเติมเชื้อไฟให้เปลวเพลิงโหมกระหน่ำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินไฮ่หวังแล้วไงวะ เก่งกล้ามาจากไหนกัน มันก็แค่หมาน้อยตัวหนึ่งเมื่อเทียบกับท่านราชาสวรรค์ของข้า”
“ท่านราชาสวรรค์ได้เคยกล่าวกับข้าไว้ว่าหากไม่ใช่เพราะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกันล่ะก็ ท่านราชาสวรรค์ของข้านั้นย่อมฆ่ามันทิ้งไปนมนานแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดยั่วยุของเฉินเฉียง หลิวเฟิงก็ได้โกรธยิ่งกว่าเดิม
“หลิวหลาง นี่เจ้ากล้าด่าทอราชาของข้าอย่างเปิดเผยงั้นรึ”
“หากราชาสวรรค์ไม่ให้คำอธิบายในเรื่องนี้ล่ะก็ เกาะเทียนเล่ยของเจ้าต้องย่อยยับ ฮึ่มมมม”
“ฮี่ฮี่ฮี่ งั้นก็บอกไอ้หลินไฮ่หวังของเจ้าให้ล้างคอรอไว้ได้เลยนะ ข้าอยากจะเห็นจริงๆว่าท่านราชาสวรรค์นั้นจะฆ่าไอ้ระยำนั่นเช่นใด”
เฉินเฉียงได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินต่อไป
ที่ข้างใต้นั้น กองกำลังเทียนเว่ยที่กลับมาได้จับจ้องไปที่เหตุการณ์ตรงหน้าทุกฉากทุกถ้อยคำที่เฉินเฉียงได้กระทำ
“ว้าว กัปตันของเรานี่สุดยอดเลยจริงๆ เพียงคำพูดก็ค่าคนอื่นได้แล้ว”
“แถมมาจนถึงตอนนี้มีพวกมนุษย์กลายพันธุ์ต้องตกตายด้วยปากของหัวหน้าไปถึงสองตน”
“นี่ขนาดเป็นนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงนะ แค่ชี้หน้าด่ากัปตันก็โดนสายฟ้าลงทัณฑ์ไปซะอย่างนั้น”
“ใจร่มๆเว้ยเฮ้ยยัยลูกแมว ดูหน้าตัวเองมั่ง อวยกัปตันไปยังไงเขาก็ไม่เอาเจ้าหรอกน่า”
หลังจากหวังต้าลู่ได้พูดจบ เขาเองนั้นกลับพูดออกมาด้วยท่าทางที่ยิ้มกริ่ม “นายพลทักษะพิเศษขั้นสูงที่ตกตายไปนั่นจะต้องเป็นพวกใช้การโจมตีทางวิญญาณได้เป็นแน่”
“กัปตันเองก็จริงๆเลยน้า หาเรื่องแต่ไอ้พวกนี้ หากว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราต้องเจอไอ้พวกนี้เข้าล่ะก็คงอยากที่จะจัดการเป็นแน่”
“แต่กัปตันของเรานั้นกลับฆ่าพวกมันได้โดยไม่ต้องลงมือ ไม่ว่ามองยังไงก็เป็นสุดยอดแห่งเผ่าพันธุ์เราชัดๆ”
เม่ยหลัวหลันได้ชี้ไปที่เฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “เจ้าหนอนโง่ ดูสิ กัปตันยังไม่ใช้พลังสายเลือดอีกล่ะ”
“ใช่ ดูเหมือนว่ากัปตันอยากจะใช้พลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการปีนขึ้นไปจนสุดปลายบันไดแห่งสรวงสวรรค์นะ บ้าเลือดอะไรขนาดนี้เนี่ย”
แน่นอนว่าเฉินเฉียงย่อมคิดแบบนั้น
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาเองก็อยากจะรู้ขีดจำกัดของร่างกายของเขา
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆแบบนี้ต้องหลุดลอยไป เพราะมันหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
แน่นอนว่าหากมันเป็นไปไม่ได้จริงล่ะก็ เขาคงไม่คิดที่จะทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้อย่างแน่นอน
แล้วก็หากเขาว่าใช้ทุกอย่างที่มีแล้วยังไปไม่ถึงล่ะก็ เขาก็ยินดีที่จะใช้พลังสายเลือดของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเฉินเฉียงเดินขึ้นไปถึงชั้นที่สามร้อยห้าสิบ เหล่าผู้คนและสัตว์ประหลาดที่อยู่ในระดับเดียวกับนายพลวิญญาณนั้นน้อยลงไปเรื่อยๆ
เฉินเฉียงที่พึ่งจะฟื้นคืนพลังกายมานั้นก็ได้พบเจอกับชุยหยันหลันที่เดินลงมา
และเพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตา ทั้งสองจึงคุยกันผ่านเสียงผ่านจิตวิญญาณ
-ศิษย์น้องเล็กผู้เปลี่ยนรูปลักษณ์ ข้านั้นไปไม่ไหวแล้วน่ะ ข้าเองไปได้เพียงแค่ขั้นที่สี่ร้อยสี่สิบเพียงเท่านั้น ข้าไปไม่ไหวแล้วจริงๆ-
-ศิษย์พี่หยันหลัน ท่านสามารถลองอีกครั้งหลังจากดูดซับแผ่นแก่นพลังงานไปแล้ว-
ที่เฉินเฉียงพูดออกมาแบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าชุยหยันหลันเองก็เปิดจุดชีพจรได้เพียงยี่สิบจุดเพียงเท่านั้น และนี่ทำให้เธอยังเป็นนายพลวิญญาณขั้นกลางอยู่ ด้วยระดับการบ่มเพาะของเธอที่ไม่ด้อยไปกว่าเขานี้ทำให้เขาคิดว่าเธอเองจะสามารถเปิดจุดชีพจรจุดต่อไปได้อย่างง่ายดาย
-ข้าลองดูแล้วแต่ไม่สามารถทำได้น่ะ ข้าเลยคิดจะล้มเลิก ศิษย์น้องเองก็พยายามเข้าล่ะ-
-ไม่ ศิษย์พี่หยันหลัน บันไดสู่สรวงสวรรค์นี้ไม่ได้จะหายในเวลาอันสั้นซะหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือท่านสามารถบ่มเพาะที่นี่ได้ ยังไงซะทั้งสามกองกำลังก็ไม่กล้าทำอะไรท่านอยู่แล้ว และไม่แม้แต่จะกล้าขัดขวางการเปิดจุดบ่มเพาะ แล้วท่านจะกลัวอะไร-
-ศิษย์พี่หยันหลัน ค่อยตามข้าขึ้นไปหลังจากเปิดจุดชีพจรได้หลังจากขึ้นไปถึงที่สุดจริงๆแล้วจะดีกว่า ข้าบอกได้เลยว่านี่จะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของท่านในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน-
ในฐานะนายพลแห่งกองกำลังเทียนเว่ย ในฐานะสมาชิกของกองกำลังเทียนเว่ย มีหรือที่เขาจะถอยหนีกับเรื่องแค่นี้
-ไปกันเถอะ-
เมื่อเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของเฉินเฉียงแล้ว ชุยหยันหลันก็ได้พยักหน้ารับก่อนที่จะเดินตามเฉินเฉียงขึ้นไป
ในที่สุด ทั้งสองก็ไปถึงขั้นที่สี่ร้อยสี่สิบ ชุยหยันหลันในตอนนี้นั้นเหงื่อชโลมกาย แข้งขาสั่นไปหมด เธอกัดฟันแน่นเพื่อจะฝืนยื้อขึ้นไปอีกสองสามครั้งแต่ก็ไม่อาจจะทำได้
นี่เองดูเหมือนจะเป็นขีดสุดของเธอ
-พี่สาวหยันหลัน ท่านควรจะพักอยู่ที่นี่แล้วทำการบ่มเพาะอยู่สักพัก ต่อให้ท่านไม่อาจขึ้นไปมากกว่านี้ได้จริง แต่การบ่มเพาะที่นี่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของท่านได้อย่างมาก-
ชุยหยันหลันได้ถอนลมหายใจก่อนที่จะทรุดนั่งลงกับพื้นของบันได เธอได้นั่งหอบหายใจอย่างหนัก ก่อนที่จะสังเกตเห็นบางอย่างแล้วถามออกมา –ศิษย์น้อง นี่เจ้ายังไม่ได้ใช้พลังสายเลือด…..เหรอ-
เฉินเฉียงได้มองไปที่บันไดที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุดตรงหน้าก่อนที่จะตอบออกมา –ก็อย่างที่ข้าบอกล่ะนะว่าบันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนที่หาได้อย่างยากเย็น และไม่ใช่เฉพาะกับข้าเพียงคนเดียว กับพี่หยันหลันเองก็ถือว่านี่เป็นโอกาสอันดีเช่นเดียวกันที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย-
“ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล ข้ารู้แล้วว่าข้าควรจะทำอะไรต่อจากนี้”
ชุยหยันหลันได้นั่งพับเพียบลงกับพื้นก่อนที่จะนำแผ่นแก่นพลังงานออกมาและเริ่มบ่มเพาะ
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและเริ่มเดินต่อไป
ขั้นที่ห้าร้อย
ร่างกายของเฉินเฉียงมาถึงขีดสุดอีกครั้ง
และที่นี่ก็เป็นจุดที่นักรบส่วนใหญ่ของทั้งสามเผ่าพันธุ์ถูกหยุดไว้ที่นี่
ในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นมีหลิวไฮ่ หลางซานเอ๋อ เทพเงินตรา ถูกหยุดไว้ที่ขั้นที่ห้าร้อยหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สายตาของทั้งสามนั้นบ่งบอกว่าไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใด
นอกจากสามคนนี้ยังมีจางหยวนหรือก็คือรองกัปตันของเขาผู้ซึ่งเป็นนายพลวิญญาณขั้นกลางแต่ก็ยังมายืนอยู่ในขั้นที่หกร้อยจนได้
นอกจากนี้ยังมีกัวเหลียงและหนี่เฟิง
ด้วยการที่กัวเหลียงนั้นอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางช่วงปลาย หากเขานั้นสามารถก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้ เขาย่อมเดินไปต่อได้เกินกว่าหกร้อยขั้นเป็นแน่ เป็นไปได้ว่าเขาจะใช้โอกาสนี้ในการก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง
ส่วนหนี่เฟิงนั้นเธอมีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่ากัวเหลียง เธอเปิดจุดชีพจรได้เพียงยี่สิบสามจุด แต่เพื่อต้องการแสดงความเหนือกว่าในตัวกัวเหลียง เธอจึงยังเดินไปต่อและหยุดในขั้นเกือบจะเจ็ดร้อยและยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ดูเหมือนว่าเธอจะทำอย่างนี้มาตั้งแต่ขั้นที่ห้าร้อยแล้วกระมัง
และในจุดนี้เป็นจุดที่ผู้มีระดับเดียวกับนายพลวิญญาณขั้นกลางเกือบทั้งหมดหยุดอยู่ที่นี่
นี่หมายความว่าคนเหล่านี้ยังแข็งแกร่งน้อยกว่าหนี่เฟิง
นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่แปลกใจเลยจริงๆที่หนี่เฟิงนั้นสามารถสู้รบตบมือกับระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้ด้วยตัวคนเดียวทั้งๆที่มีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่า
และเมื่อได้รับรู้ว่าทรัพยากรบุคคลในกองกำลังเทียนเว่ยของตนดีขนาดนี้แล้ว เฉินเฉียงได้นั่งลงและทำการดูดซับแผ่นแก่นพลังงานเสียตรงนี้
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เฉินเฉียงก็เปิดจุดชีพจรที่ยี่สิบเอ็ดได้ หลังจากเติมเต็มมันแล้ว เขาก็ได้ลืมตาขึ้นมาก็พบเห็นเทพเงินตราเปิดจุดชีพจรได้แล้วเตรียมที่จะเดินขึ้นไปต่อ
ทั้งสองได้มองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
-ห้ะ กัปตัน ท่านไม่ได้ใช้พลังสายเลือดเหรอ อย่าบอกนะว่าท่านมาถึงห้าร้อยขั้นนี้ได้ด้วยร่างกายอย่างเดียวน่ะ-
มีคนคนหนึ่งที่เห็นเฉินเฉียงแล้วก็ได้ประหลาดใจจนต้องส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณมาถาม
เฉินเฉียงได้หันไปตอบด้วยรอยยิ้ม -ก็แค่อยากรู้ว่าขีดจำกัดของร่างกายถึงไหนน่ะ-
-ไม่เลวนะ ไม่สิ ข้าคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว กัปตัน ตัวข้าคงไม่มีหวังเรื่องสมบัติแล้ว แต่หากทำอย่างท่านมันก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้มา-
-ข้าพึ่งจะเปิดจุดชีพจรได้ และข้าเชื่อว่าอีกไม่นานข้าจะบรรลุขั้นนายพลวิญญาณขั้นสูงได้ในไม่ช้า-
-กัปตัน ข้าว่าวิธีของท่านนั้นดีทีเดียว ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าร่างกายของข้านั้นแข็งแกร่งขนาดไหน-
เมื่อพูดจบ เทพเงินตราก็ได้ปลดปล่อยเกราะพลังงานของตนและคิดจะตามเฉินเฉียงไป
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นได้ดี เขาก็โดนคลื่นพลังงานที่หนักอึ้งกดทับร่างไว้จนกระอักเลือดในทันที
-เทพเงินตรา เป็นยังไงบ้าง-
เฉินเฉียงตกตะลึงจนต้องส่งเสียงออกไปถามในทันที
หลังจากที่เทพเงินตราเคลือบร่างกายด้วยเกราะพลังงานได้ทันท่วงทีแล้ว เขาได้จัดท่าทางอีกครั้งก่อนที่จะหยุดเกราะพลังงานของตนลง เขาได้ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดใช้เกราะพลังงานอีกครั้งแล้วดันตัวขึ้นให้นั่งตัวตรง
-เหอเหอเหอ กัปตัน ข้าบอกได้เลยว่าวิธีการของท่านนี่ไม่ได้เหมาะกับทุกคนอย่างแน่นอน ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่คงต้องพักเพิ่มอีกสักหน่อยล่ะนะ-
หลังจากพูดจบ เขาก็ได้จับยาฟื้นฟูร่างกายโยนใส่ปากแล้วหลับตาลงนั่งฟื้นฟูพลัง
เมื่อเห็นว่าเทพเงินตราไม่เป็นอะไร เฉินเฉียงก็ได้เดินต่อไป
ที่ก้าวที่ห้าร้อยนี้ ทุกคนที่เขาก้าวไปนั้นช่างหนักหน่วงกว่าทุกย่างก้าวที่เขาก้าวขึ้นมานัก
จากมุมมองของเขาแล้ว เขารู้สึกว่านี่คือย่างก้าวที่เตรียมไว้สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง
และในคราวนี้ เฉินเฉียงเดินต่อไปได้เพียงยี่สิบขั้นเท่านั้น เขาก็ต้องหยุดเท้าลงและจัดการค่าสถานะของตนอีกครา
ห้าวันถัดมา ที่ก้าวที่หกร้อย เฉินเฉียงก็ถึงขีดสุดของร่างกาย
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้คิดจะเปิดจุดชีพจร เขาได้ดึงแผ่นแก่นพลังงานออกมา และทำการเปิดจุดชีพจรที่ยี่สิบสอง
หลังจากผ่านไปสิบวัน เขาก็ได้ถึงขีดจำกัดอีกครั้ง แต่เขาก็ตามจางหยวนได้ทัน
ในตอนนี้จางหยวนผู้ซึ่งอยู่ในระดับขั้นที่หกร้อยเจ็ดสิบ และมีเปิดจุดชีพจรได้ยี่สิบสามจุด
ถึงแม้จะมีจุดชีพจรมากกว่าเฉินเฉียงหนึ่งจุด แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกับเฉินเฉียงและหนี่เฟิงที่ในตอนนี้เธอได้เดินไปเกือบจะถึงขั้นที่เจ็ดร้อยแล้วแม้จะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่าจางหยวนเองก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่เลิศล้ำคนหนึ่ง
ยังไงก็ตาม จางหยวนคือผู้ที่มีสายเลือดวายุ เขามีท่าเท้าที่ทรงพลังแต่มีพลังโจมตีแค่ระดับกลางเพียงเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขานั้นยากที่จะได้รับความสำเร็จมาได้
“จางหยวน เจ้านี่ไม่เลวเลยแฮะ หากเป็นแบบนี้ล่ะก็ ดีไม่ดีเจ้าก็น่าจะไปถึงปลายบันไดได้นะ”
เฉินเฉียงที่ตามมาทันนั้นกล่าวชมออกมาอย่างใจจริง
จางหยวนที่เหนื่อยเป็นหมาหอบแดดนั้นได้หันไปมองซ้ายขวาและมองทั่วร่างของเฉินเฉียง ก่อนจะรู้สึกโกรธเคืองจนยากจะกระอักเลือดออกมา
“ถ้าจะให้ข้าพูดก็จะพูดล่ะนะ กัปตัน นี่ท่านคิดจะกล่าวชมหรือจะจิกกัดข้าเนี่ย”
“ท่านเองก็อยู่ระดับเดียวกับข้า แต่ท่านกลับตามข้าทันโดยใช้เพียงพลังกายล้วนๆเนี่ยอ่ะนะ เทียบกับท่านแล้วนั้น ไอ้การบ่มเพาะนานนับปีของข้านี้ราวกับเรื่องตลกชัดๆ”
“ฮี่ฮี่ฮี่” เฉินเฉียงหัวเราขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน “แล้วเจ้าจะเอาไปเทียบทำบ้าอะไรกันล่ะนั่น คนอื่นมีเยอะแยะไม่ไปเทียบ เจ้าก็เห็นไม่ใช่รึไงว่าแม้แต่พวกระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงยังทนไม่ไหวเลยน่ะ ห้ะ ไปเทียบกับไอ้พวกนู้นนู่น เอามาเทียบกับข้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าเองก็คิดจะเอาข้าเป็นเป้าหมายน่ะ”
“ชิ”
จางหยวนกลอกตามองเฉินเฉียงในทันทีและพูดออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน “กัปตัน ไม่ว่ายังไงก็ตาม อย่างน้อยๆครึ่งหนึ่งของกองกำลังก็ต้องไปถึงยอดของบันไดนี้ให้ได้”
“ยังไงซะ ข้าเองก็เป็นถึงรองกัปตัน ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาดูถูกกองกำลังของพวกเรา”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้โยนความคิดเล่นไร้สาระทิ้งไปแล้วพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจแล้วพูดออกมา “จางหยวน เพื่ออนาคตของคนในกองกำลังแล้ว เจ้าในฐานะของผู้นำกองกำลัง เจ้าต้องทำอย่างสุดความสามารถล่ะ”
“ต่อให้ข้าไม่ได้อยู่แล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเจ้าให้มันมากนัก”
“กัปตัน พูดห่าเหวอะไรออกมากันล่ะนั่น ท่านยังไงซะก็จะเป็นผู้นำของพวกเรา”
“อย่าได้คิดใช้โอกาสนี้หนีจากตำแหน่งของท่านไปเป็นอันขาด หลังจากท่านคิดตกแล้วล่ะก็รีบๆกลับมาซะ เข้าใจ๋”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็อดที่จะตาชื้นไม่ได้ เขารีบพยักหน้ารับราวกับรำคาญ “เออน่า ยังไงข้าก็ต้องกลับไปอยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้นำแผ่นแก่นพลังงานออกมาแล้วดูดซับเสียตรงนั้น