ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 243 สี่เสา
บทที่ 243 สี่เสา
“เยี่ยม” เฉินเฉียงดีใจจนหลุดปากออกมา
เขานั้นคิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านประสบการณ์อลหม่านมามากมายแล้วนั้น เจิ้งยี่กลับคิดที่จะเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยด้วยตัวเอง นี่ทำให้เฉินเฉียงประหลาดใจไม่น้อย
ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เจิ้งยี่นั้นมีความคิดแบบนี้ในตอนนี้ แต่นั่นไม่ได้สำคัญอะไรในตอนนี้
ที่สำคัญที่สุดคือเจิ้งยี่ได้กลายเป็นคนของกองกำลังเทียนเว่ยอย่างแท้จริง
“กัปตัน อีกแค่สี่ก้าวเท่านั้น ไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ สมบัติคงโดนกวาดไปหมดเป็นแน่”
เจิ้งยี่ได้ชี้ไปที่ขึ้นบันไดอีกสี่ขั้นตรงหน้า ก่อนที่จะลากเฉินเฉียงให้ยืนขึ้นมา
แต่เป็นตอนที่เขาก้าวขึ้นไปในขั้นที่เก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดแล้วนั้นเขาพึ่งจะได้รับรู้ว่าเฉินเฉียงนั้นไล่ตามเขามาได้โดยใช้กำลังกายล้วนๆ
“กัปตัน ท่านนี่จะเหลือเกินเหลือการไปแล้ว(นี่ท่านจะไม่ทำให้ข้าประหลาดใจมากไปหน่อยรึไง)”
เจิ้งยี่ได้จ้องมองไปยังเฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังก้าวขึ้นเดินไปที่ขั้นที่เก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดอย่างยากลำบากจนหน้าดำคร่ำเคร่งแล้วก็อดที่จะรู้สึกอยากที่จะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
เฉินเฉียงยังคงไม่สนใจในคำพูดของเจิ้งยี่ เขาได้หายใจเข้าลึกก่อนที่จะตัดใจก้าวเดินจนสำเร็จ หลังจากนั้นก็ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปบอกเจิ้งยี่ -ไม่มีอะไรมากหรอกน่า ข้าก็แค่ฝึกฝนตนเองแค่นั้น-
-แค่นั้น ฮึ่มมม ข้าฟังไอ้สองคำนี้มากจนเริ่มรำคาญมันแล้วนะ-
เจิ้งยี่ได้ก้มหน้าลงก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วได้ทำการก้าวเดินขึ้นไปชั้นที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้านำหน้าเฉินเฉียงไป
และเมื่อเฉินเฉีงก้าวตามมา เจิ้งยี่ได้หันหน้าไปหาเขาแล้วพูดออกมา –เหลืออีกก้าวนึง มาดูกันว่าใครจะก้าวได้ก่อนกัน-
-ได้-
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็แสดงสายตาออกมาอย่างเป็นประกาย ก่อนที่จะปลดปล่อยเกราะพลังงานเคลือบร่างกายไว้แล้วยกเท้าก้าวขึ้นเดินไปที่ขึ้นสุดท้ายในทันที
“ไอ้ฉิบหาย นี่โกงกันชัดๆ”
เจิ้งยี่สบถออกมาหนึ่งทีก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปทีเดียวสองเท้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสองมาถึงปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์แล้ว พวกเขาก็พบว่าไม่มีสมบัติใดๆอยู่ที่ปลายทาง
ที่ปลายบันไดแห่งนี้มีชั้นหนึ่งอยู่ บนชั้นนี้มีเพียงเสาสี่เสาที่มีพาดผ่านกันละกัน นอกจากนั้นแล้วก็มีเพียงนักรบจากสามเผ่าพันธุ์ที่มาถึงก่อนหน้าพวกเขาจับกลุ่มกันอยู่
เจิ้งยี่มองหน้ากันด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด
“กัปตัน ดูเหมือนว่าสมบัติจะไม่ได้อยู่ที่นี่นะ”
เฉินเฉียงเองที่เห็นก็นิ่งเงียบไป
นี่ทำให้เขานั้นอดคิดไม่ได้ว่าบันไดสู่สรวงสวรรค์นี้คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อฝึกฝนพวกเขาเพียงอย่างเดียวจริงๆเสียมิได้
แต่ไอ้เสาสี่ต้นนี่มันอะไรกัน
ที่ไม่ห่างไกลนัก หยานเสวี่ยที่กำลังนั่งบ่มเพาะอยู่กับพื้นนั้นก็ได้อยู่นิ่งๆราวกับทำสมาธิอยู่ แล้วเฉินเฉียงก็ได้เดินไปหาเธออย่างสงสัย
หยานเสวี่ยได้หันหน้าไปมองเฉินเฉียงก่อนที่จะมองไปยังนักรบอีกสิบกว่าตรงหน้าแล้วกล่าวชมออกมา “ไม่เลวเลยแฮะ เจ้ามาถึงที่นี่ได้ก่อนคนนับพัน ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่ท่านราชาสวรรค์ชอบเจ้านัก”
เฉินเฉียงได้เกาหัวอย่างเซ็งๆขึ้นมาในทันที “องครักษ์หยาน นี่ท่านกล่าวชมตัวเองอยู่ใช่รึเปล่าเนี่ย ท่านเป็นคนแรกที่ขึ้นมาที่ปลายบันไดนี่นา”
“เอ้อใช่ องครักษ์หยาน ตอนที่ท่านขึ้นมาถึงนั้นมีแต่เสาสี่ต้นนั่นงั้นรึ”
“แล้วไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยเหรอ หรือว่าท่านเหมารวมสมบัติไปหมดแล้วกัน”
“เจ้าไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนี้หรอกนะ ทุกคนต่างก็คิดแบบนี้ไม่ได้ต่างจากเจ้า”
“แต่ข้าขอบอกตามตรงเลยว่าเมื่อข้ามาถึงก็มีเพียงเสาสี่ต้นนั่นไม่มีสิ่งอื่นอีก”
“โอ้”
เมื่อเห็นว่าหยานเสวี่ยไม่ได้มีท่าทีพูดเล่นแต่อย่างใด เฉินเฉียงจึงเดินตรงไปที่เสาทั้งสี่ต้นอย่างฉงนสนเท่ห์
“ไม่ต้องไปดูหรอกน่า คนที่มาถึงต่างก็ไปที่เสานั่นกันจนหมดแล้ว แต่ไม่ว่าจะมองดูยังไงก็ตาม พวกมันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิด”
แต่ถึงแม้หยานเสวี่ยจะบอกเขาอย่างนั้น แต่เฉินเฉียงก็ยังอดไม่ได้ที่จะไปสัมผัสเสาทั้งสี่ด้วยตนเอง
เสาสีต้นนี้มีสีขาวนวล ความสูงของมันอย่างน้อยก็สามเมตร ตรงโคนเสากว่าครึ่งราวกับเป็นส่วนหนึ่งของปลายบันไดแห่งนี้
เฉินเฉียงได้ลองทั้งผลักและดึงแต่ก็ไม่เป็นผล
เสาทั้งสีที่ดูเป็นเสาสีขาวธรรมดานี้แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนเมื่อเฉินเฉียงใช้แรงทั้งหมดที่มี
“เฉินเฉียง เสียเวลาเปล่า มีคนทำแม้กระทั่งโจมตีมันไปแล้วแต่ก็ไม่มีท่าทีจะบุบสลายแม้แต่น้อย”
“ที่พวกเราพบนั้นก็คือเสาทั้งสี่มีบางอย่างที่เชื่อมพวกมันเข้าไว้ด้วยกัน นี่ทำให้ทุกคนคิดที่จะทำความเข้าใจในเสาทั้งสี่นี้แทน”
“เป็นไปได้ว่ารางวัลที่แท้จริงจากการขึ้นมาสู่ที่นี่จะพบหลังจากทำความเข้าใจมันได้”
หลังจากที่ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ เฉินเฉียงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงถอยกลับมานั่งลงข้างหยานเสวี่ย
เป็นไปได้ว่าหยานเสวี่ยจะคิดถูก
แน่นอนว่าเสาทั้งสี่คงไม่ตั้งอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความหมายอันใด
ในตอนนี้มีบางคนเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา หรือพวกเขาอาจจะไม่รู้อะไรเลยแล้วทำเป็นรู้แล้วไม่พูดก็ได้เหมือนกันเพราะไม่อยากจะอับอายที่จะยอมรับว่าตนเองนั้นไม่พบอะไรเลย และในท้ายที่สุด ไม่ว่าทุกคนจะได้อะไรหรือไม่ ในตอนนี้นักรบทั้งหลายต่างก็เงียบงัน
เมื่อเห็นท่าทางของทุกคนแล้ว เฉินเฉียงจึงได้ทำเช่นเดียวกับคนอื่น เขาปิดตาลงและเริ่มคิดทำความเข้าใจ(อนุมาน) ในสิ่งที่เห็น
เฉินเฉียงได้นั่งลงอยู่ที่นี่กว่าสองเดือนเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย และเป็นตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาก็ได้พบเจอทั้งผู้คนและสัตว์ประหลาดตรงหน้า
หนึ่งในผู้มาใหม่นี้มีกัวเหลียง หนี่เฟิง และจางหยวน
และในตอนนี้ทุกคนต่างก็นั่งลงอยู่อย่างเงียบงัน
หลังจากนั่งสมาธิมาอีกหนึ่งเดือน เฉินเฉียงนั้นทนไม่ไหวจนต้องยืนขึ้นมา
เป็นตอนนี้ที่หยานเสวี่ยได้รับรู้ก็ได้ลืมตาขึ้นมาเช่นเดียวกัน
“เฉินเฉียง นี่เจ้าพบอะไรแล้วเหรอ”
เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมา “เป็นเพราะว่าข้าไม่พบอะไรเนี่ยแหละถึงคิดว่ามันแปลกๆ”
“ไม่ว่าจะคิดยังไงไอ้สี่เสานี่ก็เป็นเพียงแค่เสาธรรมดาสี่ต้นไม่ใช่เหรอ”
“มันจะไปธรรมดาได้ยังไง นี่คือขั้นสุดท้ายของบันไดสู่สรวงสวรรค์นะ ยังไงซะมันก็คือสถานที่ที่สุดมหัศจรรย์ที่อยู่ใจกลางเขตแดนจักรพรรดิ”
“เฉินเฉียง ข้าว่าเจ้าควรจะอดทนอีกสักหน่อย อย่าได้เสียโอกาสอันดีแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วท่านพบเจอสิ่งใดบ้างหลังจากนั่งคิดอยู่นานสองนานเนี่ย”
หยานเสวี่ยขมวดคิ้วในทันทีก่อนที่จะพูดออกมา “ในตอนนี้ข้ายังไม่พบเจอสิ่งใดเป็นพิเศษ เพียงแต่มีความรู้สึกว่าเสาทั้งสี่ที่เชื่อมโยงกันนี้จะต้องใช้อะไรบางอย่างเพียงเท่านั้น”
และด้วยเวลาสั้นๆนั้นย่อมไม่อาจคลี่คลายปัญหานี้ได้
“เฉินเฉียง แล้วเจ้าไม่รู้สึกว่าเสาสี่ต้นนี้มีอะไรพิเศษเลยเหรอ”
เมื่อโดนหยานเสวี่ยทักมาในตอนนี้แล้ว เฉินเฉียงได้มองไปที่เสาทั้งสี่อีกครั้ง ก่อนที่ราวกับจะเข้าใจในอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะนั่งลงแล้วปล่อยพลังจิตของเขาไปสำรวจในทุกทิศทุกทาง
ดูเหมือนว่าบันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้นั้นจะมีขนาดโดยรอบเพียงหนึ่งไมล์เพียงเท่านั้น และเสาทั้งสี่ต้นนี้ไม่ได้เรียงแถวอยู่ แต่จัดวางในตำแหน่งเพื่อบ่งบอกบางอย่าง
ในคราวนี้ เฉินเฉียงได้ใช้กระแสจิตของเขาพุ่งเป้าไปที่เสาทั้งสี่ หลังจากผ่านไปอีกสิบวัน เขาก็ได้พบร่องรอย
อย่างที่หยานเสวี่ยได้ทัดทานเขาไว้จริงๆ เสาทั้งสี่นี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด แถมมันยังเชื่อมถึงกันอีกด้วย
เมื่อได้พบสิ่งนี้แล้ว เฉินเฉียงก็อดที่จะดีใจเสียมิได้
เขาได้ค่อยๆยืนขึ้นมา ก่อนที่จะเดินไปตรงกลางระหว่างเสาสองต้นและวางมือลงไป
จากเสาที่เคยดูธรรมดา ในตอนนี้มันกลับเปล่งแสงเสียอย่างนั้น
เฉินเฉียงเดินไปตรงกลางระหว่างเสาต้นที่สองและสามเพื่อลองดู และเขาก็ทำให้มันส่องสว่างขึ้นมาได้
กลายเป็นว่าเสาทั้งสี่นี้จัดวางตามโครงสร้างของเกราะพลังงาน
และเกราะพลังงานนี้นั้นแทบจะเหมือนกับกำแพงพลังงานของเขตแดนจักรพรรดิ์ที่เขาเคยใช้ผ่านเข้ามา
เป็นไปได้ว่านี่…..จะเป็นเขตแดนที่ซ่อนอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิอีกทีหนึ่ง
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงก็ได้กลับไปยังจุดที่เขาจากมาก่อนที่จะมองไปยังพื้นที่โดยรอบ
ที่พื้นที่แห่งนี้ เหล่านักรบจากสามเผ่าพันธุ์นั้นยังคงนั่งหลับตาลงทำสมาธิ เพราะกลัวว่าศัตรูจากเผ่าพันธุ์จะแซงหน้าพวกเขาไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครใส่ใจแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ใช้ทักษะหลบหนีแสงระดับสี่หายตัวไปจากตรงนั้น แล้วใช้ย่างก้าวสวรรค์พุ่งเข้าใส่กำแพงพลังงานนี้ในทันที
เมื่อเฉินเฉียงได้ใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบดูพื้นที่โดยรอบอีกครั้ง เขาก็พบว่าเขาอยู่ในเขตแดนอื่นแล้ว
ทั่วทั้งเขตแดนนี้นี่เต็มไปด้วยหมอกสีขาว หลังจากนั้นเขาก็ได้กระแสจิตของเขาเพ่งเขาไปดูแต่กลับไม่อาจมองทะลุผ่านไปได้
แถมในตอนนี้ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างได้ทำให้ระยะของพลังจิตของเขานั้นลดเหลือเพียงห้าร้อยเมตร
เฉินเฉียงได้ลองใช้กระแสจิตของเขาตรวจสอบโดยรอบในขณะที่มุ่งเดินต่อไป แต่หลังจากเดินไปอีกร่วมเดือน เขาก็ยังไม่พบสิ่งใด แม้แต่ทางออกเขายังหาไม่เจอด้วยซ้ำ
เขานั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบสุดๆ
แต่เดิม เขาคิดว่าจะได้พบสมบัติที่แท้จริงในเขตแดนลับแห่งนี้ นึกไม่ถึงว่านอกจากจะไม่พบอะไรแล้ว เขายังหลงอยู่ในเขตแดนลึกลับแห่งนี้อีก
อย่างคำกล่าวของคนโบราณที่ว่าไว้จริง แมวมักตกตายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่ถึงแม้เขตแดนตรงหน้าเขาจะไม่มีทางออก เฉินเฉียงเองก็ไม่อยากจะตกตายอยู่ในที่นี้เช่นเดียวกัน ต่อให้เขาต้องใช้ทุกอย่างที่มี เขาก็ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้
หลังจากสงบจิตใจลงแล้ว เฉินเฉียงก็ได้นั่งลง
ในเมื่อเขานั้นสามารถจะสำรวจเขตแดนแห่งนี้ได้ด้วยพลังจิตของเขาเพียงเท่านั้น เขานั้นก็แค่ต้องทำให้พลังจิตของเขานั้นครอบคลุมพื้นที่นี้ให้ได้ หรือก็คือเขาต้องเพิ่มพลังจิตของเขานั่นเอง
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงจึงได้ทำการเพิ่มค่าพลังจิตของตนให้เพิ่มสูงขึ้น พร้อมกับปิดตาเริ่มฝึกเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรในทันที
ในพื้นที่ปลายทางของบันไดแห่งสรวงสวรรค์นี้ หลังจากผ่านไปหนึ่งปี หยานเสวี่ยก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา
-หื้ม เฉินเฉียงไปไหนล่ะ-
หยานเสวี่ยได้มองไปรอบๆก็ไม่เห็นเฉินเฉียงแม้แต่เงา
-หรือว่าเขาจากไปแล้ว-
-ไม่สิ เขาไม่ใช่คนที่จะไปโดยไม่บอกกล่าว-
หยานเสวี่ยได้ยืนขึ้นและเดินไปหาเจิ้งยี่และส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปถาม “เจิ้งยี่ เจ้าเห็นเฉินเฉียงรึเปล่าว่าไปไหน”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เจิ้งยี่ถึงกับสะดุ้งจนลืมตาขึ้นมา ก่อนที่จะมองหารอบๆอย่างสับสน และรีบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณถามหลู่ฟาง เว่ยฉิงเชิน จางหยวน และคนอื่นๆในกองกำลัง
-หรือว่าพี่ใหญ่เฉินเฉียงจะจากไปแล้วกัน- เว่ยชิงเฉินถามออกมาอย่างกระวนกระวาย
หยานเสวี่ยได้ลอบส่ายหัวไปมา -เป็นไปไม่ได้ หากเขาจะจากไปอย่างน้อยเขาก็ต้องบอกพวกเจ้า-
-ข้าส่งข้อความไปถามเม่ยหลัวหลันที่ยังอยู่ด้านล่าง นางบอกว่ากัปตันยังไม่ได้ลงไป-
จางหยวนได้มองไปที่หยานเสวี่ย หลู่ฟางและคนอื่นๆอย่างตกตะลึง นั่นก็เพราะเฉินเฉียงในตอนนี้ไม่สามารถติดต่อผ่านกำไลสื่อสารได้ราวกับว่าเขาปิดเครื่องไป
-เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อพี่ใหญ่เฉินเฉียงยังไม่ออกไปจากที่นี่ เขาก็ควรจะอยู่ที่นี่สิ แต่….-
เว่ยฉิงเชินในตอนนี้มีท่าที่หวาดวิตกในทันทีพลางชี้ไปที่ปลายบันไดเพราะเธอนั้นได้เห็นร่องรอยบางอย่าง
-อย่าบอกนะว่ากัปตัน……- หลางซานเอ๋อที่พึ่งมาถึงได้เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนดีก็ได้ชี้ขึ้นฟ้า ทุกคนที่เห็นต่างก็เข้าใจในทันทีว่าหลางซานเอ๋อหมายถึงสิ่งใด
-ไอ้ตัวไร้สาระ อย่ามาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง พื้นที่แห่งนี้กัปตันจะโดนลงทัณฑ์ได้ยังไงกัน นอกซะจาก….-
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ต่อให้ไม่ต้องพูดจนจบก็บอกได้เลยว่ามีเพียงอย่างเดียวที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนเป็นถึงไม่อาจอยู่ที่นี่ได้
-ลองหาดูก่อน-
ถึงแม้ว่าทุกคนจะคิดไปในทำนองเดียวกัน แต่หยานเสวี่ยเองก็ยังขอให้ทุกคนตรวจสอบดูก่อนจะมั่นใจ
หยานเสวี่ย หลู่ฟาง เว่ยฉิงเชิน เจิ้งยี่ จางหยวน กัวเหลียง หนี่เฟิง หลางซานเอ๋อ ต่างแยกย้ายกระจายหากันจนทั่วในทุกทิศทาง
-ศิษย์พี่ใหญ่ รีบมาดูที่นี่-
ไม่นาน กัวเหลียงที่ได้เดินไประหว่างกลางเสาสองต้นก็ได้ตะโกนออกมา
ด้วยการที่เสียงของเขาไม่ได้ส่งผ่านทางจิตวิญญาณ นักรบจากสามพันธุ์ที่มีรวมกว่าสองร้ายก็ได้พุ่งตรงไปยังกัวเหลียงในทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ กัวเหลียงนั้นแทบจะปวดเศียรเวียนเกล้าในทันที
เป็นเพราะเขาตื่นเต้นมากไปที่ได้พบร่องรอย ทำให้เขานั้นเผลอลืมตัวไป
เมื่อหยานเสวี่ย หลู่ฟาง และคนอื่นๆมาถึง พวกเขาก็ได้พบว่ากัวเหลียงนั้นพยายามจะแตะไปที่ฉากแสงที่อยู่ระหว่างเสาทั้งสองต้น และลองจะแตกมันดู
อย่างไรก็ตาม ที่น่าฉงนก็คือไม่ว่ากัวเหลียงจะพยายามใส่แรงไปมากมายขนาดไหน เขาก็ไม่อาจจะใช้มือแตะฉากแสงนี้ได้ ราวกับมีอะไรบางอย่างหยุดเขาไว้
“หรือว่านี่คือความลับของเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้กัน”
ทุกคนตกตะลึงในทันทีที่เห็นฉากนี้ พวกเขาพยายามทำอย่างกัวเหลียง พวกเขาพยายามจะตรวจสอบแสงที่เคลือบเสาอยู่ บางคนตวัดกระบี่ใส่ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรพวกมันได้
หลังจากศึกษาฉากแสงนี้ไปได้พักหนึ่ง กัวเหลียงก็ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปยังหลู่ฟางและคนอื่นๆ “พวกท่านคิดว่าศิษย์น้องยังอยู่ที่นี่ใช่รึเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าศิษย์น้องจะถูกดูดเข้าไปข้างใน”
หยานเสวี่ยและคนอื่นๆถอยหลังออกมาในทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้
เมื่อเห็นแบบนี้ นักรบคนอื่นๆเองก็ถอยหนีตามในทันที ก่อนที่จะให้ความสนใจพวกของกัวเหลียงที่กำลังจับจ้องไปยังฉากแสงตรงหน้า
มีนักรบมนุษย์คนหนึ่งที่รู้จักกองกำลังเทียนเว่ยและสนิทกับจางหยวนในระดับหนึ่ง ส่วนฝั่งมนุษย์กลายพันธุ์นั้นทุกคนต่างก็รู้จักหยานเสวี่ย
“พี่จางหยวน ท่านค้นพบสิ่งใดหลังฉากแสงนี้รึ”
“องครักษ์หยาน พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ หากท่านค้นพบสิ่งใดก็สมควรจะบอกกล่าวกัน นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ของพวกเรา”
หยานเสวี่ยและจางหยวนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะใส่ใจแรงกดดันจากผู้คนเผ่าพันธุ์ของตนแต่อย่างใด พวกเขาต่างก็จับจ้องฉากแสงตรงหน้าเพื่อหาร่องรอยของเฉินเฉียง
“ไม่ถูกต้อง องครักษ์หยาน ไหนไอ้ผู้ติดตามปีกสีเงินระดับเจ็ดของท่าน ก่อนหน้านี้พวกท่านอยู่ด้วยกันนี่”
“ข้าจำได้ว่ามันเองก็ขึ้นมาถึงแล้ว แล้วมันอยู่ไหนกัน”
เมื่อมีคนเริ่มนึกถึงเฉินเฉียงแล้ว คนที่ใกล้ชิดที่สุดในตอนนี้ก็คือหยานเสวี่ยจึงได้ถูกถามออกมาในเวลานี้
“แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงกัน”
หยานเสวี่ยตอบออกไปอย่างไม่มองหน้าคนถาม
“ไม่รู้งั้นเรอะ ฮึ่ม องครักษ์หยาน หลิวหลางเป็นคนใต้อาณัติของราชาสวรรค์ ท่าน ในฐานะผู้นำที่ถูกแต่งตั้งจะไม่รู้ได้ยังไงว่าคนของตนไปไหนกัน”
“องครักษ์หยาน พวกเราที่เข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ต่างก็รับรู้ได้ว่าความลับที่ยิ่งใหญ่ของเขตแดนนี้อยู่ที่นี่”
“แล้วมาในตอนนี้ คนของท่านไม่อยู่แล้ว คงไม่ใช่ว่าเขาได้รับความลับของเขตแดนแห่งนี้ไปแล้วหรอกนะ”
“หากท่านไม่บอกความจริงออกมา ข้าบอกได้เลยว่าไม่เพียงแค่เผ่าพันธุ์ของเราจะไม่เห็นด้วยแล้ว ข้าเชื่อว่านักรบของอีกสองเผ่าพันธุ์ที่อยู่ที่นี่ย่อมไม่ปล่อยท่านไว้อย่างแน่นอน”
หลิงเฟิงเป็นคนใต้อาณัติของหลินไฮ่หวัง ซึ่งมันนั้นได้ขัดแย้งกับเฉินเฉียงมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นี่จึงทำให้มันคิดจะใช้โอกาสนี้ในการหาเรื่องหยานเสวี่ย
แน่นอนว่าหลังจากได้ยินคำพูดของหลิวเฟิง นักรบของทั้งสามเผ่าพันธุ์ได้จับจ้องไปที่หยานเสวี่ยจนเธอรู้สึกได้ถึงอันตราย
แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบโต้อะไรออกมานั้น ฉากแสงตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้ได้สั่นไหวไปมาก่อนที่จะพ่นอะไรบางอย่างออกมาและพุ่งตรงลงไปยังตีนบันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้
—————
*เหลือไว้ให้ค้าง วันนี้ลง 2 ตอนจ้า (ป่วย)