ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 25 ด่านสอง
บทที่ 25 ด่านสอง
หลังจากศิษย์พี่กัวจากไป เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาจากกำไลสื่อสาร
“เฮ้ออออ ไม่นึกเลยว่าศิษย์พี่กัวนั้นจะไปช่วยเด็กใหม่โดยไม่ได้ตั้งใจ นี่เขาจะรอดจากหนี่เฟิงไหมนั่น”
“พูดอยากแฮะ หนี่เฟิงเองก็ได้ชื่อว่าเจ้าอารมณ์อยู่แล้ว แถมในครั้งนี้ศิษย์พี่กัวเองยังผิดเต็มๆอีกด้วย เอางี้ดีรึเปล่ามาพนันกัน เรามาพนันกันว่าศิษย์พี่กัวนั้นจะรอดออกมาได้ในสภาพไหน”
“ก็ดีนะ ข้าลง 50 แต้ม ศิษย์พี่กัวน่าจะออกจากบ้านมาไม่ได้สักหนึ่งวันแล้วกัน”
เพื่อนพ้องที่ไร้หัวใจกลุ่มนี้ยังคงพนันกันต่อ
“หยุดก่อนเลย ก่อนจะพนันเพิ่ม ข้าว่าเรามาเคลียร์ของเก่ากันก่อนดีกว่า ตอนนี้ข้าชนะ 50 แต้มเป็นของข้า หลูซี่ จ่ายมาเลย”
“เอาแล้วไง นี่ข้าเสียไปร้อยคะแนนแบบนี้เลยเหรอเนี่ย แม่…เอ๊ย ใครจะไปคิดว่าแค่นักรบสายเลือดระดับทหารขั้นกลางจะผ่านการทดสอบได้แบบนี้ แถมยังทำลายสถิติสำนักนี่อีก ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
“จิ๊บๆน่า ข้ารักษาสัญญาอยู่แล้ว เอ้านี่ 50 แต้มของเจ้า”
หลูซี่นั้นจ่ายเงินออกไปด้วยความยินดียิ่ง “ไม่เลวเลยจริงๆ ข้าได้กำไรมาตั้ง 400 แต้ม หากว่าข้ายังเล่นพนันต่อไปนี่ไม่ใช่ว่าข้าจะกลายเป็นเจ้าธนาคารเลยรึไง”
แต่ในทันทีที่เสียงของหลูซี่พูดจบลง เสียงเบาๆเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาจากกำไรสื่อสาร “พี่หลู ดูเหมือนว่าพี่จะยังไม่ได้ให้แต้มข้าที่ชนะพนันห้าร้อยแต้มเลยนา… หรือพี่ลืมไปแล้วว่าข้าชนะพนัน”
หลูซี่ที่ได้ยินดังนั้นก็ได้นิ่งเงียบไปเมื่อได้ยิน เขาพึ่งจะนึกได้ว่าตัวเองนั้นยังไม่ได้จ่ายเงินให้กับเฉินเฉียงที่ทำให้เขานั้นได้เงินมาเมื่อครู่นี้ และนี่เองทำให้บรรยากาศของเขานั้นเปลี่ยนไปในทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลูซี่คงต้องเสียหน้าแล้วละมั้ง เมื่อกี้เขาบอกว่าอะไรนะ ได้สี่ร้อยแต้ม แต่เพียงพริบตาเดียวเขาก็ต้องเข้าเนื้อไปร้อยแต้มซะแล้ว ฮ่าฮ๋าฮ่า เวรกรรมนี่ตามมาเร็วโดยแท้”
“เจ้ามือเสียมากกว่าข้าเหรอ อืมมมม รู้สึกดีขึ้นมายังไงไม่รู้แหะ”
เมื่อได้ยินเสียงยั่วยุจากพวกพ้อง นี่ทำให้หลูซี่รีบตะคอกใส่กำไรสื่อสารใจทันที “ไอ้หนู ข้าไม่ติดเจ้าอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าผ่านด่านที่สองไปได้ละก็ข้าจะให้เจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอขอบคุณพี่หลูไว้ล่วงหน้าด้วยที่เก็บเงินไว้ให้ข้า ยังไงก็อย่าได้ลืมเลือนไปนะ ข้าเองก็เป็นเด็กใหม่ แน่นอนว่าต้องยากจนข้นแค้นเป็นไหนๆ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็นั่งรอคำที่จะพาเขาไปเข้าสอบด่านต่อไปอย่างมีความสุข
เขาคาดว่าศิษย์พี่กัวคงไม่อาจมาคุมสอบได้อีก เขาจึงได้แต่เพียงหวังว่าคนคุมสอบคนต่อไปจะอัธยาศัยดีกว่าศิษย์พี่กัวได้ก็ดี
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุด เฉินเฉียงก็เห็นผู้คุมสอบด่านต่อไป
ดูเหมือนจะยังคงเป็นศิษย์พี่กัว
แต่คนที่มานั้นเหมือนจะตัวใหญ่กว่าศิษย์พี่กัว
“……ศิษย์พี่กัว เราไม่ได้พบกันเพียงชั่วครู่ ทำไมพี่ถึงได้อ้วนขึ้นล่ะ”
เฉินเฉียงที่ในตอนนี้รู้สึกดีกับศิษย์พี่กัวคนนี้แล้วจึงได้ถามออกไปอย่างห่วงใย แต่เขานั้นกลับไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่กัวผู้ซึ่งหันหน้าหนีไปไม่ให้เขาเห็นอยู่นาน ได้หันกลับพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “อยู่ห่างๆเลย”
และเป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้เห็นสีหน้าที่ดูหลอนๆของศิษย์พี่กัวจนต้องนึกสงสัยขึ้นมาว่าเขานั้นพูดอะไรผิดไปกัน
ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อหนี่เฟิงนั้นน่าจะโหดร้ายจริงๆ
“ไอ้ตัวเหม็น ถือว่าเจ้าโชคดีที่ผ่านด่านแรกแล้ว ด่านต่อไปนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนดังที่เจ้าตามกลิ่นข้ามาได้แบบนี้ เตรียมถูกเฉดหัวไปซะเถอะ เอาล่ะ ตามข้ามา”
หลังจากเดินไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร มีทางขึ้นเขาปรากฏอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง
“เจ้าเห็นเขาฝั่งนู้นรึเปล่า นั่นคือจุดจบของด่านที่สองของเจ้า ความจริงแล้วมีทางดีๆ มากมายไปยังสำนักได้ แต่หากเจ้าอยากจะสอบผ่านด่านที่สองละก็ต้องเดินผ่านหุบเขานั่นไปเท่านั้น”
เฉินเฉียงได้ก้มลองมองดู ระหว่างหุบเขานั้นดูเหมือนจะมีหุบเขาที่ไม่สิ้นสุดและอันตรายที่ยากจะคาดเดาได้
และในหุบเขานั้นเองก็มีจระเข้ที่ขนาดลำตัวยาวประมาณเจ็ดเมตรอยู่มากมาย พวกมันเปิดปากอ้ากว้างเดินไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่ในธารน้ำเล็กๆอีกที
นับดูคร่าวๆคงไม่ต่ำกว่าพันตัวเป็นแน่
“ไอ้หนู จระเข้พวกนี้ไม่ใช่อะไรเลยที่ระดับการบ่มเพาะอย่างเจ้าจะรอดไปได้ จระเข้ปากยาวพวกนี้น่ะที่อ่อนที่สุดก็อยู่ในระดับทหารขั้นสูง บอกตรงๆเลยว่าถ้าระดับการบ่มเพาะอย่างเจ้าตกลงไปละก็อย่าหวังจะได้ขึ้นมาอีก”
“อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เจ้าสามารถข้ามหุบเขานี้ไปได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามจะถือว่าเจ้าสอบผ่าน ลองดูนั่นสิ เห็นต้นไม้นั้นไหมที่มันหักอยู่กลางน้ำน่ะ”
“ตราบใดที่เจ้านั้นมีความแม่นยำพอละก็ เจ้าสามารถใช้กิ่งไม้นั่นพร้อมกับยืมแรงเหวี่ยงจากน้ำตกข้ามไปได้ แค่นั้นก็สอบผ่านแล้ว”
“อีกอย่าง จระเข้ปากยาวพวกนี้นั้นหิวอยู่แทบจะตลอดเวลานะ เพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรมากว่าครึ่งเดือนแล้ว”
หลังจากพูดจบ ศิษย์พี่กัวก็ได้หันหลังและเดินจากไป
“รอก่อน ศิษย์พี่กัว”
“ศิษย์พี่กัวได้หันมาอย่างไม่อยากและถามออกมา “มีอะไร หากจะเปลี่ยนใจก็รีบบอกมา ข้าจะได้พาเจ้ากลับออกไป”
“ไม่ใช่ครับ ข้าจะถามว่าถ้าข้าผ่านด่านนี้ไปได้แล้วเมื่อไหร่ถึงจะได้แต้มคะแนน”
“อ้อ ถ้าเจ้าไม่ถามข้าก็ลืมไปแล้วแฮะ เจ้าโชคดีจริงๆที่ชนะได้แต้มมาห้าร้อยแต้ม”
“อย่ากังวลไป ถ้าเจ้าไม่ผ่านด่านนี้ ข้าจะซื้อของด้วยคะแนนห้าร้อยแต้มมาให้เจ้าเอง ข้าไม่คิดจะเล่นไม่ซื่อกับเจ้าอยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ ศิษย์พี่กัวก็รีบจากไปอย่างไม่ไยดี
เฉินเฉียงในตอนนี้กำลังจ้องมองไปยังระหว่างหุบเขา มันมีระยะประมาณแปดร้อยเมตร ด้วยระดับของก้าวย่างสวรรค์ของเขานั้นไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ เขาไปได้อย่างมากสุดก็คงสักหกร้อยเมตร
แต่นั่นก็คือความเร็วที่สัมพันธ์กับค่าความอดทนของเขา 35 แต้มเท่านั้น
จึงคิดว่าในครั้งนี้การจะเพิ่มความเร็วได้นั้นเขาจะตั้งเพิ่มค่าความอดทนซะก่อน
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาได้ค่าพลังงานมาพอสมควร ในการที่จะข้ามหุบเขานี้ไปได้นั้นเขาจำเป็นต้องหวังพึ่งค่าพลังงานเพียงเท่านั้น
ในที่สุด เฉินเฉียงก็ได้ตัดใจและเปลี่ยนค่าพลังงานพันหน่วยให้กลายเป็นค่าความอดทน 20 แต้มในทันที
และนี่เองทำให้เขานั้นสามารถใช้ค่าความเร็วได้อย่างเต็มที่
ชื่อ เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดทหารระดับกลาง
ค่าพลังงาน:1320
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:45
ค่าพลังชีวิต:28
ค่าความแข็งแกร่ง:51
ค่าความเร็ว:98
ค่าพลังจิต:24
วิธีการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับต้น
ทักษะ: ไร้ตัวตน
ทักษะ: การตรวจสอบด้วยเสียง
ทักษะ: เพลิงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณระดับต้น
ทักษะ: ก้าวย่างสวรรค์ระดับต้น
ทักษะ: ภาษาสัตว์
ทักษะ: แกะรอยด้วยกลิ่น
ทักษะ: ขุดรูระดับต้น
ทักษะ: สื่อสารไร้สาย
สายเลือด ทมิฬ ระดับกลาง
พลังห้าธาตุระดับสูง
ก้าวย่างสวรรค์ระดับต้น
เฉินเฉียงนั้นไม่คิดว่าเพียงแค่เพิ่มความเร็วจะทำให้ทักษะก้าวย่างสวรรค์ที่เขาได้มาจากผู้อาวุโสซุนนั้นพัฒนาตามไปด้วยจนในตอนนี้ก็อยู่ในระดับเริ่มต้นได้สักที
แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน นั่นก็เพราะความเร็วระดับนั้น หากว่าร่างกายไม่สามารถรองรับได้ ต่อให้เร็วยังไงก็ไม่สามารถพัฒนาเพิ่มได้อยู่ดี ดูเหมือนว่าทักษะด้านความเร็วนี้ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับสมรรถนะร่างกายเป็นหลัก หากว่าเป็นร่างกายของเขาก่อนหน้าเกรงว่าหากต้องใช้ทักษะระดับนี้คงเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
การที่ทักษะก้าวย่างสวรรค์พัฒนาขึ้นแบบนี้ยิ่งทำให้เฉินเฉียงนั้นมั่นใจยิ่งขึ้นอย่างมาก
ธารน้ำนี้มีความกว้างอยู่เกือบแปดร้อยเมตร หากว่าเขาใช้พลังงานทั้งหมดออกไป เขามั่นใจว่าสามารถก้าวข้ามไปได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวช่วยอย่างแน่นอน
เขาได้ปลดปล่อยลมหายใจทั้งหมดออกมาราวกับว่าเขานั้นถอดใจไปแล้ว และนี่เองเป็นตอนที่เสียงในกำไรสื่อสารของเขาดังขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้เฉินเฉียงนั้นค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อย เพราะคนที่พูดขั้นมานั้นคือศิษย์พี่กัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่น้อง ตอนที่หลูซี่รับพนันแล้วตอนนี้ข้านั้นได้แต้มไปห้าร้อยแต้ม มาในตอนนี้ เฉินเฉียงเองก็ไปยังการทดสอบที่สองแล้ว เรามาพนันกันเพิ่มอีกสักหน่อยดีไหมล่ะ”
“เฮ้… ศิษย์พี่กัวไม่อายมั่งรึไงเนี่ย ห้าร้อยแต้มนั่นมันของเฉินเฉียงไม่ใช่เหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าจะมาบอกว่าที่ทำไปเพราะใจดีแล้วจะมาเปลี่ยนใจเอาตอนนี้”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน ข้าไม่เคยแย่งของใครอยู่แล้ว”
“แต่ที่ข้าจะบอกนั้นคือวันนี้ข้าโชคดีแบบสุดๆต่างหาก และในครั้งนี้ข้าก็จะต้องชนะ”
“ศิษย์พี่กัวผู้นี้ขอประกาศออกมาว่าข้าจะเริ่มรับพนันว่าไอ้หนูนี่จะผ่านหุบเขาไปได้หรือไม่ ถ้ามีคนลงข้างไอ้หนูนั่นก็จะต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าต้องข้ามให้ได้ภายในห้าครั้ง และถ้าทำได้ละก็ข้าจะยอมจ่ายห้าเท่าเลย แต่ถ้าเจ้าลงว่าไอ้หนูนั่นผ่านไปไม่รอด ข้าจ่ายเท่าที่ลง ว่าไง”
คนที่รับพนันนั้นได้รีบกดดันออกมาในทันที “ถ้าเจ้ายังอยากจะลงอยู่ละก็รีบๆลงเร็วๆเข้า ถ้าช้าข้าปิดรับนา”
เฉินเฉียงในตอนนี้รู้สึกปรี๊ดแตกขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์พี่กัว
บรรยากาศดีๆที่เขามีให้ศิษย์พี่กัวผู้นี้เพราะเห็นแก่หน้าจางหยวนนั้นหายไปกับสายลม
ไอ้ตัวตำบอนนี่เองก็ดูถูกเขาไม่ได้ต่างไปจากคนอื่นเลยสักนิด…ถ้างั้นก็อย่าหาว่าไม่ไว้หน้ากันเลยแล้วกัน
“ศิษย์พี่กัว แล้วถ้าเฉินเฉียงใช้จำนวนครั้งไม่ถึงล่ะ”
เฉินเฉียงได้ดัดเสียงแล้วถามออกไป
“น้อยกว่าห้า ไอ้โง่ที่ไหนกันกล้าถามโดยไม่คิดเนี่ย”
“ขนาดศิษย์เก่าของที่นี่กว่าจะคำนวณการข้ามให้ปลอดภัยได้ยังต้องลองไม่ต่ำกว่าสามครั้งเลย นับประสาอะไรกับไอ้หนูนั่น”
“ไอ้หนูนั่นเป็นแค่เพียงนักรบสายเลือดระดับทหารขั้นกลางเท่านั้น ดีไม่ดีข้าว่ามันจะกลายเป็นอาหารจระเข้พวกนั้นตั้งแต่ครั้งแรกด้วยซ้ำไป”
“หากไอ้หนูนั่นผ่านจริงละก็ข้ายอมจ่ายสิบเท่าเลย”
“ศิษย์พี่กัว รักษาคำพูดด้วยล่ะ อย่าได้กลับคำเป็นอันขาด”
เฉินเฉียงกล่าวสำทับมาอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่กัวผู้นี้พูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว แล้วใครวะเนี่ย”
“น่าสนุกจริงๆที่คนที่ทำให้ศิษย์พี่ต้องตกในที่นั่งลำบากนั้นได้มีโอกาสทำให้ศิษย์พี่กัวนั้นต้องตกที่นั่งลำบากอีกครั้ง หึหึหึ คราวนี้ศิษย์พี่กัวต้องอับอายเป็นแน่”
เมื่อศิษย์พี่กัวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินได้ยินดังนั้นก็โกรธจนใบหน้าเป็นสีแดงราวกับตับหมู เขาได้กระโดดตัวยืนขึ้นมาและตะโกนใส่เครื่องมือสื่อสารในทันที “เฉินเฉียง ไอ้เลวระยำ ได้ ข้ารับคำท้าของเจ้า ห้าร้อยนั่นใช่ไหมข้าจะลงมันให้แกเอง”
“ว้าวววว ศิษย์พี่กัวนั้นเวลาโกรธแล้วน่ากลัวจริงๆ ดูเหมือนจะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้วแฮะ ข้าละอยากจะหวังจริงๆว่าให้เด็กใหม่นั่นผ่านการสอบด่านที่สองไปได้ เมื่อถึงเวลานั้น ศิษย์พี่กัวคงทำได้เพียงร้องไห้ขี้มูกโป่งเท่านั้น”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน ศิษย์พี่กัวนั้นเป็นพวกหน้าด้านหน้าทน เขาหาวิธีแถไปได้อยู่แล้ว”
เฉินเฉียงเองที่พึ่งชนะการพนันตัวเองมาได้ถึงห้าร้อยแต้ม แน่นอนว่าคนอย่างศิษย์พี่กัวนั้นต้องหาโอกาสหุบไว้ทั้งหมด
แต่ด้วยตัวเขานั้นไม่อยากโดนตราหน้าว่ารังแกคนอ่อนแอ เขาจึงแกล้งทำเป็นโกรธและหลงพนันออกไป
หากว่ามาเห็นใบหน้าของศิษย์พี่กัวในตอนนี้ละก็ เขานั้นได้อดกลั้นไม่ให้ยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างสุดชีวิต
ในห้องห้องหนึ่ง ศิษย์พี่กัวผู้ซึ่งในตอนนี้แสดงท่าทางออกมาราวกับถูกหวย เขาได้ปิดเครื่องมือสื่อสารและหัวเราะออกมาดังๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า ห้า….ร้อยยยยยย แต้มมมม”
ในตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยินแล้วจะต้องแอบยิ้มและหัวเราะไปทำไม
หากว่าเขาอยากจะหัวเราะ เขาก็จะหัวเราะให้เลื่อนลั่น ใครจะทำอะไรได้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”