ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 264 ลงโทษ
บทที่ 264 ลงโทษ
หลังจากจางหยวนพูดจบ ทุกคนต่างเงียบงัน แม้แต่คนพูดอย่างจางหยวนก็ต้องนิ่งอึ้งไป
จะเป็นไปได้ยังไงกัน
ไม่ใช่ว่าทั้งสามเผ่าพันธุ์จะต้องฆ่ากันให้ตายกันไปข้างหนึ่งไม่ใช่รึไง
นับหลายร้อยปีแล้วที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นเข่นฆ่ากันไปมานับครั้งไม่ถ้วน และแต่ละเผ่าพันธุ์ไม่เคยอ่อนข้อให้กับฝ่ายใด และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมความแค้นจึงได้ฝังลึกในสำนึกของทั้งสามเผ่าพันธุ์มานานนับร้อยปี
แต่…แต่…. แล้วไอ้ท่าทางของจักรพรรดิทั้งสามที่เฉินเฉียงได้เห็นนั่นล่ะ
หากเป็นอย่างนั้นจริง แล้วไอ้สิ่งที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นรับรู้กันมามันคืออะไรกัน
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสามไม่เพียงไม่เป็นศัตรู พวกเขายังราวกับเป็นเพื่อนสนิทกันด้วยซ้ำ
“พ่อแม่ของพวกเราทุกคน ส่วนใหญ่ล้วนตกตายในมือของมนุษย์กลายพันธุ์ นี่จึงทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์อย่างไม่ยิ่งหย่อนไปแม้แต่น้อย”
“แต่ตอนนี้ล่ะ พวกเราควรจะทำยังไงดี จะบอกว่าให้เรียนรู้จากจักรพรรดิทั้งสามแล้วจับมือเป็นพันธมิตรกับพวกมันอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ ข้าทำไม่ได้” จางหยวนได้พูดออกมาพลางยืนขึ้น ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะยังคงดูสับสนแต่คำพูดของเขากลับหนักแน่น
“มนุษย์ สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์นั้นต่างก็รับรู้กันว่าเป็นศัตรูโดยธรรมชาติมาโดยตลอด นี่คือสิ่งที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กๆ พวกเราไม่อาจจะสะสางความรู้สึกที่ฝังรากลึกนี้มากว่าร้อยปีได้อย่างแน่นอน”
“….แต่…..ถึงแม้ดินแดนของมนุษย์นี้จะกว้างใหญ่….แต่ก็ไม่มี….ที่ของพวกเรา”
จางหยวนที่นึกซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งนึก ก็ยิ่งทำให้ตัวเองสับสน และเมื่อมาถึงตอนนี้ ความรู้สึกสับสนนี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปยังคนอื่นๆในกองกำลัง ยิ่งทุกคนต่างนึกออกไปก็ยิ่งหาคำตอบกันไม่ได้เข้าไปอีก
“จางหยวนพูดได้ถูกต้องแล้ว ก่อนที่พวกเราจะตัดสินใจทำอะไรต่อไปนั้น สิ่งที่เราต้องทำก็คือหากกองกำลังของพวกเรานั้นรอดไปได้แล้ว พวกเราควรจะสู้เพื่ออะไร”
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงนั้นได้ยืนขึ้นแล้วพูดออกมา “พี่ชายทั้งหลาย ในตอนที่ข้าออกมาจากเขตแดนลับนั่น ข้าเองก็รู้สึกสับสนไม่ต่างไปจากทุกคน”
“แต่ทุกคนรู้อะไรรึเปล่า”
“ที่เกาะเทียนลี่นั่น ราชาสวรรค์ขอให้ข้าทำงานบางอย่างให้ นั่นก็คือการกวาดล้างมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มของหลินไฮ่หวัง”
“ห้ะ ศิษย์น้องเล็ก เจ้าจะบอกว่าไอ้เผ่าพันธุ์ที่ดูแล้วราวกับเป็นเหล็กแผ่นเดียวกันนั่นก็ยังมีความขัดแย้งภายในงั้นรึ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ “ไม่เพียงเท่านั้น ราชาสวรรค์ต้องการให้ข้าช่วยดึงตัวนายพลเว่ย ผู้การแห่งกันหนันออกไปให้เขา หรือก็คือเขาต้องการชวนข้าให้ช่วยฆ่านายพลเว่ยนั่นเอง”
“กัปตัน ท่านคงไม่ได้ตอบตกลงไปหรอกนะ ท่านเว่ยนั้นเป็นคนใหญ่คนโตของเผ่าพันธุ์ หากมีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ เผ่าพันธุ์ของเราเองก็จะเสียหายไม่น้อยเลย หากเป็นอย่างนั้นจริง เขตกันหนันคงจะต้องตกอยู่ในความโกลาหลเป็นแน่”
“ไอ๊ยะ จางหยวน นี่เจ้าคิดว่าจนเป็นคนที่รับคำเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆรึไงกัน ไม่ต้องพูดถึงความสูญเสียของเผ่าพันธุ์หรอก แค่ความสำคัญของศิษย์น้องเล็กกับคุณหนูเว่ยฉิงเชินก็ทำให้เขาไม่ทำเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว”
“ถูกต้อง รองกัปตัน พวกเราต่างก็รู้ว่ากัปตันนั้นคิดเล็กคิดน้อยกับคุณหนูเว่ยอยู่นา หากว่าเขารับคำของราชาสวรรค์ให้ไปคิดร้ายต่อว่าที่พ่อตาของเขาได้เช่นไร”
“…..แต่ราชาสวรรค์มีข้อมูลของคนที่วางแผนฆ่าพ่อของเขาเป็นข้อแลกเปลี่ยนนา….”
เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยท่าทางเจ็บปวด “ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าเองก็รับรู้เพียงว่าพ่อของข้าตกตายในมือของมนุษย์กลายพันธุ์เพียงเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าการตายของพ่อของข้านั้นจะไม่เป็นไปอย่างที่ข้ารู้มา”
“พี่ชายทั้งหลาย หากเป็นพวกท่าน พวกท่านจะทำเช่นไร”
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็เงียบงั้นไปในทันทีพลางนึกไปถึงการตายของเฉินเทียนเว่ย
กองกำลังเทียนเว่ยนั้นเป็นพ่อของเฉินเฉียงที่เป็นผู้ก่อตั้ง ความแค้นของผู้เป็นพ่อ ทายาทต้องเป็นผู้สานต่อ นี่ถือได้ว่าเป็นสัจธรรมของโลกนี้เลยก็ว่าได้ ไม่มีทายาทคนใดในโลกหล้าที่ไม่คิดแก้แค้นให้กับพ่อแม่ของตนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากเป็นพวกเขาแล้วพวกเขาจะใช้ชีวิตของเว่ยหยวนตี้แลกกับข้อมูลของผู้ที่วางแผนฆ่าพ่อของเฉินเฉียงได้ยังไง
“กัปตัน ท่านคงไม่คิดจะร่วมมือกับราชาสวรรค์ใช่รึเปล่า”
เฉินเฉียงยิ้มออกมาอย่างแห้งเหือดพลางส่ายหัวไปมา “ก็คิดว่าไม่นะ….อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
“แต่เหตุผลที่ข้ายกเรื่องนี้ออกมาเล่านั้นเป็นเพราะว่าตัวข้าเองก็ตกอยู่ในสภาพงุนงงไม่ต่างไปจากพวกเจ้าในตอนนี้”
“ดังนั้น ข้าคิดว่าพวกเราควรจะหาที่เงียบสงบสักที่หนึ่งในการตั้งหลักกันก่อนเป็นการชั่วคราว ระวางความแค้นและความสับสนมึนงงทั้งหลายเอาไว้ก่อน ไม่แยแสต่อความเป็นไปของสามพันธุ์”
“กัปตัน ท่านคิดจะไปไหนล่ะ ข้าไปด้วยสิ” จางหยวนได้ยืนขึ้นแล้วถามออกมา
“ข้าด้วย”
“ข้าด้วย”
….
ทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยต่างก็ตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เฉินเฉียงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
กองกำลังเทียนเว่ยนั้นมีประสบการณ์ผ่านสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน สิ่งนี้ได้หล่อหลอมให้ทุกคนมีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น แน่นอนว่าแม้แต่เฉินเฉียงเองก็ไม่อยากจะคิดแยกจากพวกเขาเหล่านี้
“เจิ้งยี่ เจ้ายังจดจำได้รึเปล่าว่าที่ไม่ไกลจากสำนักมังกรอาชูร่านั้นมีอาณานิคมหนึ่งอยู่ที่มีชื่อว่าทะเลสาบกระจกน่ะ”
เจิ้งยี่พยักหน้ารับในทันที นั่นก็เพราะนั่นเป็นสถานที่ที่เขาและเฉินเฉียงร่วมมือกันฆ่าสายลับของมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์กว่ายี่สิบตน จะให้เขาลืมไปได้ยังไงกัน
“สภาพแวดล้อมของที่นั่นดีมาก หากพวกเราไปที่นั่นน่าจะไม่มีใครไปกวนพวกเราได้สักพัก ข้าว่าพวกเราหลบไปอยู่ที่นั่นกันก่อน”
“แล้วจะรอช้าอยู่ไยล่ะพี่น้อง ปิดกำไลสื่อสารแล้วมุ่งตรงไปที่นั่นกันทั้งหมดนี่แหละ”
หลังจากที่เฉินเฉียงปิดกำไลสื่อสารที่ข้อมือ ทุกคนต่างก็ปิดกำไรสื่อสารของตน
หลังจากที่เฉินเฉียงกับพวกรวมสิบสามคนนั้นไปถึงอาณานิคมทะเลสาบกระจกแล้ว อีกที่หนึ่งในอาณาเขตมนุษย์ที่ไกลออกไปกว่าสี่พันกิโลเมตรในตึกที่ใหญ่โตมโหฬาร มันคือด้านนอกของตึกจอมพลภาคกลาง กลุ่มคนขนาดใหญ่ได้วิ่งตรงไปยังที่นั่นกันอย่างเป็นทิวแถว
ไม่นาน ข่าวที่ว่ามนุษย์ พ่ายแพ้ให้กับมนุษย์กลายพันธุ์ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วตึกจอมพลภาคกลางราวกับลมที่โหมกระหน่ำ
ที่พักของผู้การร่วมภาคกลาง
ฮั่นจุยผู้ซึ่งกำลังสอนเว่ยฉิงเชินอยู่ในภูเขาที่ชื่อว่าโชวหยางนั้น เมื่อได้รับรู้ว่าลูกชายคนเล็กของตนตกตายในสนามรบ เขาก็รีบพุ่งตรงมาที่นี่ในทันที
ทางด้านจ้าวลี่นั้น หลังจากรับรู้ผลการต่อสู้ในเขตจิ้งชวนแล้ว เขาได้มายืนอยู่ที่หน้าตึกพลางก้มหน้าก้มตาราวกับเด็กนักเรียนที่ทำผิดมหันต์แล้วรู้ตัวดี เขาปาดเหงื่อที่เย็นยะเยียบของตน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองฮั่นจุยผู้ซึ่งในตอนนี้กำลังนั่งบนที่นั่งของเขา
“”จ้าวลี่ ใครเป็นผู้นำของการต่อสู้ที่จิ้งชวน” ฮั่นจุยถามออกมาอย่างสงบ
ถึงแม้จ้าวลี่จะไม่รับรู้ถึงสิ่งใดจากคำพูดของฮั่นจุย แต่จ้าวลี่ก็รับรู้ได้ถนัดใจว่าฮั่นจุยนั้นต้องการจะเอาเรื่องเขาเพราะลูกชายคนเล็กของเขาที่ตกตายไป
ฮั่นจุยนั้นไม่คิดว่าลูกชายของตนจะตกตายได้ง่ายๆถึงเพียงนี้ แถมยังเป็นการตายโดยน้ำมีขององครักษ์ฉีที่เป็นคนของตัวเองที่ถูกส่งออกไปเพื่อเฝ้าระวังภัยเสียอีก
ไม่ว่าคิดยังไงก็ตาม จ้าวลี่ก็รับรู้ได้ว่าฮั่นจุยต้องไม่ปล่อยเขาให้รอดอย่างแน่นอน
“เรียนผู้อาวุโสฮั่น ผู้นำของจิ้งชวนนั้นเป็นนายน้อยผู้สูงส่งหลิงเว่ยขอรับ” จ้าวลี่พูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่ตอบออกไปนี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวใจเขาเต้นไปกี่ร้อยกี่พันครั้งไปแล้ว
“ใครนะ”
“ขอรับ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ได้แจ้งไปแล้วว่าให้เป็นเขา แต่…..”
“แล้วฮั่นปู้เอ๋อของข้ามีระดับการบ่มเพาะระดับใดกัน แล้วจุดชีพจรที่เปิดแล้วของเขาล่ะ” ฮั่นจุยไม่รอให้จ้าวลี่อธิบายแต่ถามสวนออกไป
“เอ่อออออ นายพลวิญญาณขั้นสูง เปิดจุดชีพจรได้ยี่สิบห้าจุดขอรับ” จ้าวลี่ปาดเหงื่อไปอีกหนึ่งทีหลังจากตอบออกไป
“ป้าบ”
เมื่อฮั่นจุยได้ยินคำตอบนี้ก็ได้ตบโต๊ะไปหนึ่งที ก่อนที่จะยืนขึ้นแล้วตะคอกออกมาอย่างขุ่นเคือง “จ้าวลี่ เจ้าคิดว่าตึกจอมพลภาคกลางและเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเรานั้นไร้เทียมทานรึไงกัน ห้ะ”
“เจ้าถึงได้อนุญาตให้คนผู้หนึ่งที่อยู่เพียงแค่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงไปกรีธาทัพเข้าใส่มนุษย์กลายพันธุ์แบบนั้น”
“นี่เจ้าโง่จริงหรือต้องการฆ่าลูกชายของข้ากันแน่”
เมื่อจ้าวลี่ได้ยินก็เกรงกลัวจนเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นและพยายามพูดออกมาเพื่อป้องกันชีวิตของตนเอง “ท่านผู้อาวุโสฮั่น ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านเองก็รู้ว่าที่ข้าขอให้นายน้อยผู้สูงส่งฮั่นไปเป็นผู้นำกองกำลังในครั้งนี้นั้น ก็เพื่อที่จะนำพาให้คนกลุ่มหนึ่งต้อง….”
“อย่าพูดจาไร้สาระ” ฮั่นจุยได้รีบพูดขัดคอจ้าวลี่ในทันที “ข้าย่อมรู้ว่าเจ้านั้นพาลูกของข้าไปเพื่ออะไร แต่ที่ข้าถามก็คือ ทำไมต้องเป็นลูกของข้า”
“เจ้าจะบอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่มีใครที่จะหาญกล้าพอที่จะใช้งานได้รึไงกัน”
“หรือว่า…..ที่เจ้าคิดเลือกลูกชายของข้านั้นเป็นเพราะต้องการความดีความชอบจากข้า …แค่นั้นน่ะรึ”
“ข้า….คือข้า…..”
จ้าวลี่นั้นอยากจะพูดออกมาเพื่อป้องกันตัวเองไปเท่านั้น แต่ก็ถูกฮั่นจุยเอาเรื่องที่เขาพูดมาไล่ต้อนเขาพร้อมกับทำเป็นไม่รับรู้เรื่องที่ว่าทำไมฮั่นปู้เอ๋อถึงได้กลายเป็นผู้นำกองทัพในครั้งนี้ หากว่าเขานั้นยังฝืนพูดในทิศทางทางอื่น ฮั่นจุยนั้นสมควรจะฆ่าเขาให้ตกตายไปในตอนนี้
“แล้วก็ในตอนที่ลูกชายของข้าต้องตกตายไปในวันนั้น นายพลทั้งหลายที่รอดกลับมาได้นั้นต่างก็บอกว่าลูกชายของข้าได้ถูกสังหารโดยองครักษ์ที่เจ้าเลือกเฟ้นที่ชื่อ….องครักษ์ฉี เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ได้ยังไง”
“ผู้อาวุโสฮั่น องครักษ์ฉีนั่นมันติดตามข้ามานานนับเจ็ดแปดปี ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นสายลับของมนุษย์กลายพันธุ์”
“ช่างกล้าแก้ตัวนัก”
หลังจากตะคอกออกไปอย่างดังลั่น ฮั่นจุยได้มองไปรอบๆก็พบผู้การสูงแห่งตึกจอมพลภาคกลาง ปันเหริน จึงได้พูดออกมา “ผู้การสูงปัน จ้าวลี่นั้นเป็นคนใต้บังคับบัญชาของเจ้า แต่เขากลับปล่อยให้มนุษย์กลายพันธุ์มาอยู่ข้างกายได้ถึงเจ็ดแปดปี ใครจะรู้ ไม่แน่ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับตึกจอมพลของเจ้านั้นล้วนทั้งหมดแล้วอาจมาจากองครักษ์ฉีคนนี้ก็ได้”
“ความตายของลูกชายข้านั้นทำให้ข้าเศร้าใจนัก แต่จ้าวลี่เองก็ไม่ได้ทำผิดพลาดในหน้าที่ทั้งยังกล้ายอมรับว่าในกองกำลังของตนเองมีมนุษย์กลายพันธุ์ปะปน แต่เรื่องในครั้งนี้เองก็ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเรานั้นเสียหายอย่างย่อยยับนัก”
“ด้วยเรื่องทั้งหมดนี้ ข้าขอบังอาจถามท่านผู้การสูงว่าท่านนั้นคิดตัดสินใจจะลงโทษจ้าวลี่เช่นใด”
เมื่ออยู่ต่อหน้าฮั่นจุยแห่งสภาสูงภาคกลางแล้วนั้น ปันเหรินผู้ซึ่งอยู่ในอันดับหนึ่งของตึกจอมพลภาคกลางเองก็ต้องทำได้เพียงนั่งนิ่งเงียบมองดูฉากการดุด่าของฮั่นจุยและจ้าวลี่เพียงเท่านั้น
หากพูดกันตรงๆแล้ว ตำแหน่งผู้การสูงของปันเหรินนั้นสูงที่สุดในตึกจอมพลภาคกลางแห่งนี้ ดีไม่ดีเมื่อเทียบกับตึกจอมพลอื่นแล้ว เขาก็ยังสูงกว่าผู้การสูงคนอื่นด้วยซ้ำ
แต่กระนั้น จ้าวลี่ที่เป็นผู้การร่วมของเขาเองนั้นกลับไม่เคยไว้หน้าแม้แต่น้อย แถมยังแอบอ้างชื่อของเขาก่อเรื่องไว้อย่างมากมาย
หากจะพูดกันตรงๆแล้ว ไอ้การต่อสู้ที่จิ้งชวนในครั้งนี้ เขา ปันเหรินที่เป็นผู้การสูงของเขตนั้นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะจ้าวลี่ได้เข้าหาสภาสูงด้วยตนเอง แถมยังคิดแผนก่อการสงครามด้วยตัวเองซะอีก
เหตุผลที่จ้าวลี่ใจกล้าหน้าด้านได้ถึงขนาดนี้เป็นเพราะว่าเขานั้นมีฮั่นจุย หรือก็คือผู้อาวุโสแห่งสภาสูงภาคกลางที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คอยหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เขาก็คงไม่เรื่องจ้าวลี่ไว้ถึงป่านนี้
นึกไม่ถึงว่าด้วยเรื่องในครั้งนี้ จ้าวลี่นั้นไม่เพียงจะพลาดจนทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องสูญเสียอย่างหนัก แถมยังทำให้ลูกชายสุดที่รักของฮั่นจุยต้องตกตาย
หากไม่ใช่เพราะจ้าวลี่วางแผนไว้ มีหรือที่ชายเจ้าสำอางอย่างฮั่นปู้เอ๋อจะได้เหยียบย่างเข้าตึกจอมพลภาคกลาง
หากพูดถึงด้านพลังการต่อสู้แล้ว แม้แต่นายพลวิญญาณขั้นกลางก็ยังตบไอ้เด็กนี่คว่ำได้โดยง่าย
แต่เพื่อให้ได้รับความดีความชอบจากผู้หนุนหลัง จ้าวลี่จึงคิดสร้างผลงานให้ผู้เป็นลูก โดยการนำเขามาเป็นผู้นำกองทัพในครั้งนี้
ยังดีที่ฮั่นปู้เอ๋อตกตายโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ นักรบนับพันที่ถูกส่งออกไปทั้งหมดคงตกตายจนหมดสิ้น
และด้วยการตายของฮั่นปู้เอ๋อนี้ จ้าวลี่สมควรจะถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรูของฮั่นจุย ในอนาคต อย่างน้อยๆก็สมควรที่ทั้งสองจะต้องขัดแข้งขัดขากัน
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ปันเหรินได้ก้มหัวเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น ด้วยการที่เขตจิ้งชวนนั้นอยู่ในการดูแลของข้า ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่ไม่ใส่ใจ กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าจ้าวลี่แอบใช้นามของข้าเคลื่อนไหวกำลังพลไปแล้ว และนี่ไม่เพียงจะทำให้เผ่าพันธุ์ต้องสูญเสียอย่างหนัก แต่มันกลับทำให้นายน้อยฮั่นต้องตกตายไปด้วย”
“ในฐานะผู้การร่วมนั้น ถึงแม้จ้าวลี่จะมีสิทธิในการเคลื่อนไหวกำลังพล แต่เขาไม่ได้ทำการรายงานกับตึกจอมพลที่เขาสังกัดเสียก่อน”
“นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าจ้าวลี่ไม่ตรวจสอบคนให้ดีจนเผลอใช้งานสายลับมนุษย์กลายพันธุ์ในการทำงานใหญ่ ดังเช่นที่ผู้อาวุโสฮั่นกล่าวไว้ ก่อนหน้าที่ที่กองทัพของข้าแพ้พ่ายนั้นต้องเป็นฝีมือขององครักษ์ฉีที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวลี่ผู้นี้เป็นแน่”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ข้าได้ยินมาจากนายพลที่โชคดีหนีรอดออกมาจากสนามรบมาได้ว่า จ้าวลี่นั้นยังลอบออกคำสั่งไม่ให้พวกเขาสนับสนุนกองกำลังเทียนเว่ยที่เป็นสุดยอดนักรบของมนุษย์ ผลก็คือ กองกำลังเทียนเว่ยผู้สร้างผลงานที่เลิศล้ำในการศึกเขตแดนจักรพรรดิต้องหายสาบสูญ”
“ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตามก็เพียงพอที่จะทำให้จ้าวลี่นั้นต้องรับโทษทัณฑ์อย่างหนัก”
“เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้า ในฐานะผู้การสูงแห่งตึกจอมพลภาคกลาง จึงขอให้ท่านผู้อาวุโสแห่งสภาสูงภาคกลางนั้นตัดสินโทษจ้าวลี่ ถึงแม้เขานั้นจะไม่สมควรจะให้อภัย แต่ตึกจอมพลของข้าเองนั้นก็ไม่อาจตัดสินโทษทัณฑ์ได้อย่างเหมาะสมเช่นเดียวกัน”
“เมื่อเป็นเช่นนั้น หากผู้อาวุโสฮั่นเป็นผู้ตัดสินโทษด้วยตัวเอง ข้าเชื่อว่าจ้าวลี่นั้นจะยอมรับโทษทัณฑ์นั้นอย่างเต็มใจ”
หลังจากพูดออกมาอย่างมากมายและยืดยาว ในที่สุด ปันเหรินก็เตะส่งเรื่องของจ้าวลี่กลับไปยังฮั่นจุยเสียอย่างนั้น แต่กระนั้น เขาก็รู้อยู่แล้วว่าฮั่นจุยเองคงไม่คิดจะปล่อยจ้าวลี่ไปโดยง่าย
อย่างที่เขาคาดไว้ หลังจากส่งต่อเรื่องจ้าวลี่กลับไปให้ฮั่นจุย ฮั่นจุยพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
“ดี ผู้การสูงปันกล่าวได้ถูกต้อง”
“กับความผิดพลาดจ้าวลี่นั้น ข้า จะขอตัดสินในนามของสภาสูงภาคกลางในตอนนี้”
เมื่อจ้าวลี่ได้ยินก็อดที่จะตกตะลึงและรีบพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น โปรดเมตตาและคุณงามความดีของผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ด้วย โปรดปล่อยข้าไป”
“ในช่วงหลายปีมานี้ข้าผู้นี้ได้ทำงานให้ท่านอย่างขยันขันแข็ง แม้แต่การศึกครั้งนี้เองนั้น ในตอนนั้นท่านเองก็ยังเห็นด้วยกับ….”
“หุบปาก”
ฮั่นจุยได้ตะคอกขัดจ้าวลี่ออกมาและตะคอกต่ออย่างโกรธเกรี้ยว “จ้าวลี่ ไม่คิดเลยว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเจ้าเองก็ยังไม่คิดจะปริปากยอมรับความผิดแถมยังโยนความผิดมาที่ข้าไม่หยุด” เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว ฮั่นจุยก็ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณให้กับจ้าวลี่ -จ้าวลี่ หากจ้ายังไม่อยากตายมันเสียตรงนี้ก็หุบปากเฉยๆคอยรับฟังแล้วทำตามไป ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ต่อให้มีเทพเซียนมาโปรดก็ช่วยเจ้าไม่ได้-
เมื่อจ้าวลี่ได้ยินแบบนี้แล้วก็ทำได้เพียงเงียบปากลง
เขารู้ดีว่าหากฮั่นจุยต้องการฆ่าเขานั้น เขาเองก็คงจะตกตายไปแล้ว
ยังไม่รวมถึงว่าฮั่นปู้เอ๋อที่เป็นทายาทต้องตกตายในแผนการของเขา เขาในตอนนี้ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับคำมั่นของฮั่นจุยเมื่อครู่นี้
“จ้าวลี่ เห็นแก่ที่เจ้ายอมรับความผิดพลาด แต่ด้วยการที่เจ้านั้นทำให้กองทัพต้องสูญเสียอย่างหนัก ข้าเองก็คงไม่อาจจะให้เจ้านั้นอยู่ในตำแหน่งของของผู้การร่วมในตึกจอมพลภาคกลางแห่งนี้ได้อีกต่อไป”
“แต่เห็นแก่ที่เจ้าได้ทำคุณงามความดีและสร้างผลงานมาอย่างมากมายหลายปี ถึงแม้มันจะเล็กน้อย แต่ข้าก็จะตัดสินผลสรุปโทษของเจ้าให้ได้รับฟัง”
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะถูกถอดออกจากการทำงานในตึกจอมพลภาคกลาง ย้ายไปทำงานในฐานะผู้อาวุโสนอกของสภาสูงภาคกลาง ในตำแหน่งผู้ตรวจการ”
หลังจากได้ฟังคำตัดสินของฮั่นจุยแล้วนั้น ทั้งปันเหรินและจ้าวลี่ต่างก็มึนงงไปพร้อมๆกัน
นี่คือการลงโทษเหรอ
นี่มันการเลื่อนตำแหน่งชัดๆไม่ไม่ใช่รึไงกัน
แม้แต่จ้าวลี่ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ฮั่นปู้เอ๋อตกตายไปนั้นก็ยังคิดไปก่อนหน้านี้ว่าคนเองยังไงซะก็ต้องตกตายตามไป
ด้วยการที่จ้าวลี่นั้นทำงานให้ฮั่นจุยมานานหลายปี เขาต้องเข้าใจถึงความอำมหิตของชายที่เขารับใช้เป็นอย่างดี ถึงสำหรับคนอื่นนั้นจะมองฮั่นปู้เอ๋อเป็นเพียงผู้สืบทอดอำนาจ แต่สำหรับเขานั้น ฮั่นปู้เอ๋อคือลูกรักของฮั่นจุย
ต่อให้ฮั่นจุยจะฆ่าจ้าวลี่ด้วยมือตัวเองแล้วนั้นก็ไม่มีใครที่จะด่าว่าลงได้แม้แต่น้อย
เขานั้นไม่เคยคิดเลยจริงๆว่านอกจากฮั่นจุยจะไม่ได้ฆ่าเขาแล้วยังเลื่อนตำแหน่งให้เขาเสียอย่างนั้น