ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 268 หนักหน่วง
บทที่ 268 หนักหน่วง
“เมิ่งน้อยยยยย”
ในหอกลางนั้น เม่ยหลัวหลันในตอนนี้กำลังกอดเมิ่งน้อยที่พึ่งจะปรากฏตัวอยู่ในอ้อมแขนของตน
ในยามที่ยังอยู่ในเขตแดนจักรพรรดินั้น เธอและเมิ่งน้อยใช้ชีวิตร่วมกันอยู่นานหลายเดือนเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกคนในกองกำลังต่างก็เห็นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเงาสีแดงนั้นคือเมิ่งน้อย
แต่ทุกคนนั้นก็ไม่คิดเหมือนกันว่าผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้วแต่เมิ่งน้อยนั้นไม่ได้มีขนาดที่โตขึ้นมากสักเท่าไหร่ แต่ไอ้พลังการต่อสู้นี้นั้น…..กลับสูงล้ำจนพวกเขาทำได้แต่เพียงยืนอึ้งอย่างตกตะลึง
“โฮ้ เมิ่งน้อยมาที่นี่เหรอ มามา มาให้ปะป๋าดูหน้าใกล้หน่อยสิ”
เฉินเฉีงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเมิ่งน้อยได้ยินดังนั้นแล้วก็ได้กระโดดออกจากอ้อมแขนของเม่ยหลัวหลันไปหาเฉินเฉียงในทันที
“เมิ่งน้อย บอกปะป๋ามาสิว่ามะม๋าของเจ้าอยู่ไหนกัน”
“เจี๊ยกเจี๊ยก”
เมิ่งน้อยพูดออกมาพลางชูเล็บขึ้นมาสองข้างในทิศทางเดียวกัน(เมิ่งน้อยมีสี่แขน)
“ฮี่ฮี่ฮี่” เฉินเฉียงได้หัวเราะออกมาหลังจากรับฟัง หลังจากนั้นก็ได้ตะโกนออกมาในทิศทางที่หันไปด้านนอกอาณานิคม “องครักษ์หยาน ไหนๆท่านก็มาแล้วก็ออกมาเถอะน่า ”
ภายใต้ความงุนงงของคนอื่นๆนั้น หยานเสวี่ยก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนอากาศราวกับภูติผี แล้วร่อนลงต่อหน้าทุกคนจนทำให้ต้องถอยร่นกันไปสองสามก้าว
ใบหน้าของเธอยังคงมีผ้าคลุม ทั่วทั้งร่างเป็นชุดคลุมสีดำที่กระชับแน่นพอดีตัว พร้อมกับท่าทางเย็นชาเฉกเช่นดังเดิม
“เฉินเฉียง ที่โลกภายนอกนั้นพวกเจ้ากำลังจะจบสิ้น(ฉิบหาย)กันอยู่แล้ว แล้วพวกเจ้ายังมีหน้ามาเอ้อละเหยลอยชายแบบนี้เนี่ยนะ นี่เจ้าไม่คิดจะเข้าไปร่วมวงความสนุกนี้เลยรึไงกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยานเสวี่ย จางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังต่างก็มองเฉินเฉียงกันอย่างตาเดียว
ในเวลาเดียวกัน เฉินเฉียงก็หันไปมองคนอื่นๆ ก่อนที่จะพูดออกมา “พี่สาวหลัวหลัน พี่เข้าไปเก็บกวาดหอกลางก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเราค่อยกินไปดื่มไปคุยไปในเรื่องนี้”
ไม่นานนัก หลางซานเอ๋อก็ได้นำเนื้อกวางย่างอีกชิ้นหนึ่งเข้ามาในหอกลางและนำไวน์ออกมาให้ทุกคนคนละไห
“องครักษ์หยาน โปรดลองไวน์ดอกไม้แดงนี่สักหน่อย รสชาติมันไม่เลวเลยนา”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้รินไวน์ลงในชามที่อยู่ตรงหน้าของเมิ่งน้อย และเริ่มดื่มส่วนของตน
“เฉินเฉียง เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะว่าเจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”
หยานเสวี่ยได้พูดออกมาอีกครั้งโดยไม่แตะชามไวน์ตรงหน้าแม้แต่น้อย
เฉินเฉียงที่ได้ดื่มไวน์ของตนไปแล้วก็ได้มองไปรอบๆก่อนที่จะพูดออกมา “พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านก็ได้ยินคำพูดจากไอ้พวกก่อนหน้านี้กันหมดแล้ว พวกท่านคิดว่ายังไง”
จางหยวนเป็นคนแรกที่พูดออกมา “เหตุผลที่พวกเราอยู่ที่นี้นั้นเป็นเพราะว่าพยายามคิดหาหนทางในอนาคตของพวกเรา แต่มาถึงตอนนี้ ตัวข้าหลังจากอยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้วก็ยังนึกไม่ออกเลย คนอื่นล่ะ คิดว่ายังไง บอกข้าหน่อย”
“ข้าบอกได้เลยว่าคิดมากไปก็เท่านั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับแต่นี้ข้าคิดว่าข้าจะทำในสิ่งที่ข้าเห็นควร” เทพเจ้าเงินตราหวังต้าลู่ได้พูดออกมา ก่อนที่จะเว้นช่วงเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “กัปตัน ไม่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์กลายพันธุ์ และสัตว์ประหลาดนั้นจะมีเหตุแห่งความขัดแย้งจากเหตุผลใดก็ตาม แต่ตราบใดที่พวกเราเชื่อว่าสิ่งที่พวกเรานั้นสมควรทำ ใครจะสนว่ามันผิดหรือถูก ยังไงซะนั่นก็เป็นเรื่องราวหลังจากที่พวกเราได้กระทำไปแล้วถึงจะรับรู้”
“กัปตัน จะพูดก็พูดเถอะนะ ถึงแม้ในตอนนี้พวกเรานอกจากจะมีเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว หากนับเมิ่งน้อยที่เป็นสัตว์ประหลาด เจิ้งยี่และองครักษ์หยานเองที่ตอนนี้ก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว”
“ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าพ่อแม่ของพวกเราส่วนใหญ่แล้วล้วนตกตายโดยมนุษย์กลายพันธุ์ หรือแม้แต่การแก้แค้นให้พ่อแม่ของตน พวกเรานั้นไม่อาจปล่อยให้มนุษย์กลายพันธุ์สามารถทำตามอำเภอใจแบบนี้และปล่อยนิ่งเฉยดูดายได้หรอก”
“ส่วนเรื่องเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น พวกเราไม่ได้ต้องการหากพวกนั้นมอบรางวัลให้กับพวกเรา พวกเราเพียงต้องการทำสิ่งที่พวกเราอยากจะทำ และกลับมาใช้ชีวิตอยู่แบบของเราแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
หลังจากเทพเงินตราได้พูดจบลง ทุกคนนั้นต่างก็คิดแบบเดียวกันกับที่เทพเงินตราได้พูดออกไป ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นมายังไงก็ตาม ยังไงซะ พวกเขานั้นต่างก็ต้องคิดถึงเรื่องของตัวเองไว้ก่อน
เฉินเฉียงได้หันไปหาหยานเสวี่ยและถามออกมา “องครักษ์หยาน สถานการณ์ภายนอกเป็นยังไงบ้าง”
“เหอเหอเหอ เท่าที่ฟังมานี่คือพวกเจ้าไม่ได้สนใจโลกภายนอกจริงๆเลยสินะ ดูเอาเองก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยก็ได้ส่งบางสิ่งให้เฉินเฉียง
หลังจากเฉินเฉียงได้อ่านพวกมันจนหมด ทุกคนต่างก็ต้องประหลาดใจในท่าทางของเฉินเฉียง
“องครักษ์หยาน หลินไฮ่หวังส่งคนมาขนาดนี้เลยเหรอ”
จากข้อมูลทั้งหมดนั้น มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เฉินเฉียงสนใจที่สุด
ทางหนึ่ง มันคือการตอบแทนราชาสวรรค์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือการดูดซับพลังเหนือมนุษย์ทางด้านการโจมตีทางจิตวิญญาณ
“ถูกต้อง ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ หลินไฮ่หวังได้สั่งการการศึกที่จิ้งชวนด้วยตนเอง คนในอาณัติของเขาที่ลงศึกก็คือหลิวเฟิง เขาได้สังหารนักรบของมนุษย์ไปมากมาย แม้แต่ผู้อาวุโสสูงของพวกเจ้านั้นก็ยังต้องตั้งค่าหัวพวกมัน เขาบอกว่าใครก็ตามที่ฆ่าไอ้พวกนี้ได้จะได้รับโอกาสเข้าไปฝึกตนในพื้นที่ของสภาสูง”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าไม่ได้ใส่ใจไอ้รางวัลพรรค์นั้นหรอก แต่กับไอ้หลิวเฟิงนี่….” ดวงตาของเฉินเฉียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนที่จะหันไปถามคนอื่นๆ “พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านคิดว่ายังไง”
จางหยวนและพวกนั้นต่างก็รับรู้ในทันทีที่เห็นว่าใจของเฉินเฉียงในตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในสนามรบเรียบร้อยแล้ว
“การตัดสินใจของกัปตันคือการตัดสินใจของพวกเรา” จางหยวนได้พูดออกมาก่อนเป็นคนแรก
“ถูกต้อง พวกเราจะติดตามกัปตันไปหากท่านเข้าร่วมสงคราม”
“เยี่ยม” เฉินเฉียงได้ทุบโต๊ะไปหนึ่งที่ก่อนจะพูดต่อ “หลังจากดื่มไวน์นี่เข้าไปแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมเยือนผู้การร่วมคนใหม่คนนี้ซะหน่อย หลังจากนั้นพวกเราจะไปที่จิ้งชวนกัน”
“ข้าว่าเจ้าไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก” หยานเสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆได้พูดออกมา “เท่าที่ข้ารับรู้มานั้น ไอ้คนที่เป็นผู้การร่วมในตอนนี้คือเว่ยหยวนตี้หรือก็คือลุงเว่ยของเจ้าน่ะ แถมตอนนี้เขายังไปอยู่ที่แนวหน้าของจิ้งชวนแล้วด้วย”
“ห้ะ แล้วราชาสวรรค์ไม่…”
เฉินเฉียงตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของหยานเสวี่ย เขายังคงจดจำได้เป็นอย่างดีว่าราชาสวรรค์เคยเอ่ยปากออกมาว่าต้องการจะกุดหัวเว่ยหยวนตี้ให้ได้
หยานเสวี่ยลังเลไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านราชาสวรรค์เองแม้จะอยากลงมือสักแค่ไหนก็ตาม แต่ไม่ต้องกังวลใจไป ด้วยเรื่องที่จิ้งชวนนี้นั้นทำให้ท่านไม่อยากจะลงมือ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงทำให้สถานการณ์โกลาหลมากกว่านี้เป็นแน่”
“ดี ดีมาก” เฉินเฉียงได้ถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนที่จะหยิบโถเหล้ายกกระดกเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำ “พี่ชายทั้งหลาย ในค่ำคืนนี้จงพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วเช้าวันพรุ่งนี้พวกเราจะพุ่งตรงไปยังจิ้งชวน”
เช้าวันถัดมา หยานเสวี่ยก็ได้พาเมิ่งน้อยจากไป
ส่วนเฉินเฉียงและพวกนั้นพุ่งตรงไปยังฐานบัญชาการในเขตจิ้งชวน
ด้วยพลังจิตของเฉินเฉียงในตอนนี้ เขาก็ได้พบเจอเต้นที่พักของเว่ยหยวนตี้ในทันทีที่ไปถึง
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ถึงแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์จะสูญเสียไพร่พลไปอย่างเหลือคณานับ แต่กระนั้นก็ยังมีการส่งนักรบเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้ว่าผลสุดท้ายจะกลับมาเพียงรายงานก็ตาม
ในทันทีที่เฉินเฉียงได้เอ่ยชื่อของตนออกไป เขาก็ถูกพาตัวไปพบเว่ยหยวนตี้อย่างรวดเร็ว
“หลานชาย ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นถูกโจมตีโดยมนุษย์กลายพันธุ์ก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าติดต่อยังไงข้าก็ติดต่อเจ้าไม่ได้ นี่ทำให้ข้านึกว่าเจ้าเป็นอะไรไปแล้วซะอีก”
“ในเมื่อเจ้ากลับมาได้ก็ดีแล้ว ดีแล้วที่เจ้าปลอดภัยกลับมา”
และเมื่อเว่ยหยวนตี้ได้เห็นว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้นได้แข็งแกร่งขึ้นมากว่าก่อนหน้านี้ เว่ยหยวนตี้ก็มีท่าทางมีความสุขอย่างมากและรีบให้ทุกคนเข้าไปในเต็นท์ของเขา
“ลุงเว่ย ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกข้าเองไม่อาจมาช่วยสนับสนุนได้ทันเวลา ก่อนหน้านี้ด้วยการที่จางหยวนและพวกมีชีวิตที่แขวนไว้บนเส้นด้าย กว่าพวกเขาพอที่จะรื้อฟื้นร่างกายจนพอที่จะเข้าสนามรบได้ก็เป็นอีกสองวันให้หลัง เมื่อเป็นอย่างนั้นข้าจึงให้พวกเขาพักฟื้นคืนก่อนที่จะเข้าร่วมสู้ ซึ่งนั่นก็ใช้เวลาอีกร่วมสองเดือนเลยทีเดียว”
“อัยหยา… หลานชาย เจ้าไม่ต้องไปพูดเรื่องเก่าๆแบบนั้นหรอก ไอ้จ้าวลี่เองก็ถูกโยกย้ายจากตำแหน่งนี้ด้วยเรื่องนั้นเหมือนกัน ตอนที่ข้าได้พบเจอมัน มันก็ยังลั่นปากออกมาเองว่ามันสมควรโดนแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เว่ยหยวนตี้เองก็อดที่จะรู้สึกกระดากอายในใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะยังไงซะเขาเองก็มีส่วนในเรื่องให้ยืมตัวกองกำลังเทียนเว่ยมาที่ตึกจอมพลภาคกลางด้วยเหมือนกัน
แต่เขาเองก็นึกไม่ถึงว่ากองกำลังเทียนเว่ยที่มีเฉินเฉียงเป็นผู้นำในตอนนี้นั้นยังละเลยความแค้นส่วนตัวและกลับมาในฐานะกองกำลังของมนุษยชาติแบบนี้ แม้แต่เขาเองก็ยากที่จะได้พบเจอ
“หลานชาย ลุงคนนี้ได้ยินมาจากฉิงเชินว่าเจ้านั้นพอที่จะรับมือกับไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ประเภทพลังจิตพวกนี้ได้ ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว จะเป็นอะไรหรือเปล่าหากลุงคนนี้จะขอให้เจ้าช่วยเหลือเผ่าพันธุ์อีกสักครั้ง”
“เฮ้อออ การศึกในช่วงที่ผ่านมานี้นั้น เมื่อเจอกับนายพลทักษะพิเศษพวกนั้นแล้วทำให้พวกเราสูญเสียไพร่พลไปมากมายนัก”
“หากพวกเราสามารถสู้กับพวกมันได้ตรงๆล่ะก็ พวกเราคงจะไม่สูญเสียมากมายขนาดนี้หรอก”
“ลุงเว่ยอย่าได้กังวลไป ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นเป็นเรื่องของหลาน ข้ามีความมั่นใจว่าจะจัดการพวกมันได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลานชาย ลุงเว่ยผู้นี้คิดไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะพูดออกมาแบบนี้ เอ้อ เดี๋ยวพวกเราจะส่งนักรบอีกสองทัพลงไปสู้ เจ้าต้องการจะไปสอบถามเกี่ยวกับศัตรูก่อนรึเปล่า”
“ลุงเว่ย ข้าขอพูดคุยกับจางหยวนและคนอื่นๆในการรับมือก่อนแล้วกันว่าต้องจัดการพวกมันยังไง หลังจากนั้นพวกเราจะไปร่วมกับทัพที่ท่านว่ามือ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้พาจางหยวนและพวกออกจากเต็นท์ของเว่ยหยวนตี้ และเดินตรงไปยังกองทัพนักรบที่เตรียมตัวออกรบ
“จางหยวน เจิ้งยี่ ฟังให้ดี หลังจากเริ่มศึกแล้ว ข้าจะไปรับมือกับไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์พลังจิตพวกนั้นด้วยตัวเองทำให้ข้านั้นไม่อาจเข้าไปร่วมสู้กับทุกคนได้”
“ในทันทีที่ข้าได้ฆ่าไอ้พวกนั้นไปแล้ว ข้าเชื่อว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลือนั้นจะเกิดความโกลาหลอย่างที่สุด และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าต้องให้ทุกคนล้างผลาญพวกมันให้สิ้น”
“เมื่อสงครามจบลงแล้ว ข้าจะเป็นฝ่ายกลับไปหาพวกเจ้าทีหลัง ส่วนพวกเจ้านั้นก็อย่าให้โดนจบได้แล้วไปพบกันที่อาณานิคมทะเลสาบกระจก”
จางหยวนและคนอื่นๆพยักหน้ารับในทันทีเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะเดินตามกันไป
ในตอนนั้น หลังจากหลี่เชินบาดเจ็บสาหัสไป ในตอนนี้เขาได้หายดีจนสามารถกลับมานำทัพได้อีกครั้ง และในครั้งนี้ เขาเป็นผู้นำของกองทัพทั้งสองในครั้งนี้
“หลี่เชิน กองกำลังเทียนเว่ยที่พึ่งเข้ามาเข้าร่วมนั้นต้องการเข้าร่วมศึกในครั้งนี้ในฐานะหน่วยจู่โจมน่ะ”
“กองกำลังเทียนเว่ย….เหรอ” หลี่เชินได้มองไปที่เฉินเฉียงและพวก ก่อนพยักหน้าอย่างยอมรับแล้วพูดออกมา “ข้าได้ยินชื่อพวกเจ้ามานานแล้ว เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองนั้นช่างสมคำร่ำลือจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางของหลี่เชินที่ได้ชื่อว่าเป็นนายพลวิญญาณขั้นสูงที่เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์กล่าวประโยคนี้ออกมาแล้ว นี่ทำให้เฉินเฉียงและพวกเองก็รู้สึกดีกับหลี่เชินเสียมิได้
“นายพลหลี่ พวกเรานำศึกด้วยกันดีไหม”
เฉินเฉียงเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา
“เจ้า…รึ” หลี่เชินเลิกคิ้วขึ้นมาพลางจ้องมองไปที่เฉินเฉียง
ด้วยการที่เกราะพลังงานของเฉินเฉียงนั้นไร้สีสัน ทำให้หลี่เชินเองก็ไม่อาจที่จะมองระดับการบ่มเพาะของเขาได้
“หลี่เชิน นี่คือกัปตันของกองกำลังเทียนเว่ย เฉินเฉียง เขาเองได้รับการอวยยศจากผู้การสูงแห่งกันหนันโดยตรงให้เป็นนายพลเว่ยหวู่ เขาเองก็ได้สู้กับมนุษย์กลายพันธุ์มาหลายครั้งหลายคราและสามารถนำเกียรติยศกลับมาได้ในทุกๆครั้ง”
หลังจากได้รับการแนะนำตัวจากเว่ยหยวนตี้แล้ว หลี่เชินก็พยักหน้ารับพร้อมสายตาที่เลื่อมใส
“ก็ดี พี่ชาย ในการศึกครั้งนี้ พวกเราจะสู้เคียงข้างกัน”
เมื่อพูดจบ หลี่เชินได้ยกมือขึ้นแล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น “พี่น้อง ถึงแม้ว่าไอ้มนุษย์กลายพันธุ์พวกนี้จะมีพลังจิตที่สูงล้ำ แต่ยังไงซะ จำนวนของพวกมันก็น้อยนิด ตราบใดที่พวกเราใช้วิธีการโหมกระหน่ำโจมตีมันเข้า ไม่ช้าก็เร็วพลังจิตของมันก็จะเหือดแห้งไปเอง และนั่นจะกลายเป็นทีของพวกเรา….เคลื่อนทัพได้”
และนี่ทำให้นายพลวิญญาณทั้งหมดเกือบพันคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นได้ตอบรับคำสั่ง และติดตามพุ่งเข้าไปยังเต็นท์ที่พักของพวกมนุษย์กลายพันธุ์
“หยุดก่อน”
ในขณะอยู่ห่างจากพื้นที่พักของมนุษย์กลายพันธุ์ไปสักสองพันเมตรกว่าๆ เฉินเฉียงได้หยุดหลี่เชินเอาไว้ในตรงนี้
“มีอะไรรึ”
เฉินเฉียงได้พาทุกคนหมอบต่ำลงกับพื้นดินและกระซิบออกมา “นายพลหลี่ ตอนนี้ไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ได้เตรียมตัวดักซุ่มโจมตีพวกเราในระยะสองพันเมตรข้างหน้า ข้าคิดว่าจะเป็นการดีกว่าหากพวกเราเป็นฝ่ายเตรียมพร้อม โดยให้กองกำลังย่อยสักสองกองไปล่อให้พวกมันเป็นฝ่ายออกมาเอง”
“โว่ พี่เฉิน พลังจิตของเจ้าช่างสูงล้ำนัก นี่เจ้ารับรู้พวกมันได้ทั้งๆที่อยู่ห่างจากพวกมันสองพันเมตรเลยเหรอ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ไอ้ที่กองกำลังของข้าได้รับชื่อเสียงมามากมายนักก็เพราะสิ่งนี้ แต่หากเอาไปเทียบกับพวกมันแล้วนั้นก็ยังอ่อนด้อยอยู่นิดหน่อยล่ะนะ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้กวักมือเรียกเจิ้งยี่และจางหยวนให้มาหา
“เจิ้งยี่ พาพวกเราหกคนไปที่พุ่มหญ้าทางด้านซ้ายนะ ตรงนั้นมีไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ซุ่มอยู่ จางหยวน เจ้าพาอีกหกคนที่เหลือไปที่ผาทางด้านขวา ที่นั่นก็มีพวกมันซุ่มอยู่เหมือนกัน”
“จำไว้ว่าที่พวกเจ้าต้องทำนั้นคือการล่อไอ้พวกนั้นให้ออกมา อย่าได้ลงมือจนกว่าจะออกมาถึงจุดของพวกเรา และกระทำอย่างปลอดภัยด้วย”
“รับคำสั่ง”
หลังจากจากหยวนและเจิ้งยี่ได้พาคนกองกำลังเทียนเว่ยออกไปทำตามคำสั่งแล้ว เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมา “นายพลหลี่ รอเจิ้งยี่และจางหยวนล่อพวกมันออกมาหาพวกเราก่อนแล้วค่อยฆ่ามันซะ แล้วหลังจากนั้นพวกเราค่อยไปเหยียบย่ำพวกมันถึงค่ายพัก ท่านคิดว่ายังไงในเรื่องนี้”
“หากเป็นไปได้อย่างนั้นจริงจะดียิ่ง” หลี่เชินพยักหน้ารับอย่างพอใจก่อนจะพูดออกมา “ในศึกครั้งนี้การที่พวกเราได้คนที่มีพลังจิตสูงล้ำอย่างพี่เฉินมาร่วมช่างดีนัก นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พวกเราเริ่มตีโต้พวกมันได้ก่อน เป็นไปได้ว่าในครานี้พวกเราอาจจะชนะได้อย่างสมบูรณ์เลยก็ได้”
“เหอเหอเหอ ข้าล่ะอยากให้คำของพี่เฉินเป็นความจริงในทันทีเลยจริงๆ…ฟังนั่น ดูเหมือนว่าเจิ้งยี่กับจางหยวนจะพบเจอพวกมันแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังมาที่นี่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลี่เชินก็รีบเงียบปากของตนและพยายามที่จะรับฟัง ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งสัญญาณให้กับทุกคนที่หลบซ่อนอยู่ได้หลังให้เตรียมพร้อมไว้ รอจนกว่าศัตรูจะเข้ามาในจุดการโจมตี
ไม่นาน เจิ้งยี่และจางหยวนและคนอื่นๆก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน พร้อมทั้งมนุษย์กลายพันธุ์นับร้อยตนที่บินไล่ตามมา
“นายพลหลี่”
เฉินเฉียงได้หันไปมองหลี่เชินในตอนนี้ก็ได้พบท่าทางของหลี่เชินที่ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมและตัวสั่นประหนึ่งดั่งได้เข้าไปเด็ดหัวมนุษย์กลายพันธุ์มาได้เป็นคนแรกเรียบร้อยแล้ว เป็นตอนนี้ที่หลี่เชินได้ยืนขึ้นแล้วพูดออกมา “พี่น้อง ฆ่ามันให้ข้าเดี๋ยวนี้”
ในตอนนี้ กองกำลังแรกที่มีนักรบเกือบพันได้พุ่งเข้าโจมตี ส่วนเจิ้งยี่ จางหยวน และคนของกองกำลังเทียนเว่ย เมื่อได้ยินสัญญาณก็ได้หันหลังและพุ่งตรงเข้าหามนุษย์กลายพันธุ์ในฐานะแนวหน้าของมนุษยชาติเฉกเช่นแต่ก่อน
ส่วนมนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังคงอยู่ในเต็นท์พักนั้น เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้ก็รีบแตกตื่นและรีบพุ่งตรงเข้ามา
เป็นตอนนี้ที่ทัพหลังของมนุษย์ได้เริ่มพุ่งเข้ามาเสริมทัพ และทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ห้ำหั่นกันอย่างโกลาหลในทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลี่เชิน ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าในวันนี้เจ้าจะวิ่งหางจุกตูดไปได้อีกรึเปล่า”
หลิวเฟิงได้พุ่งตรงออกมาภายใต้การอารักขาของนายพลทักษะพิเศษสองตนเช่นเดิม โดยตอนนี้เขาได้บินมาอยู่เหนือหลี่เชินเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นหลิวเฟิงที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานแล้ว เฉินเฉียงก็ได้มีดวงตาลุกวาว พลางสังเกตไปโดยรอบในทันที
ก่อนหน้านี้นั้น หยานเสวี่ยเองได้บอกเขาไว้ว่าหลินเฟิงนั้นได้นำทัพด้วยตัวเอง หรือก็คือจะต้องอยู่ใกล้สนามรบเป็นแน่ และนี่ก็อดที่จะทำให้เขานั้นต้องระวังตัวเสียมิได้
-เฉินเฉียง ไม่ต้องกังวลไป หลินไฮ่หวังนั้นมันอยู่ในระดับราชาแล้ว มันทำได้เพียงสั่งการเท่านั้นไม่กล้าลงมือเองแต่อย่างใด หากเจ้าอยากจะทำอะไรล่ะก็ทำได้เต็มที่ตามที่เจ้าต้องการ-
เสียงสายหนึ่งได้ดังขึ้นมาในจิตวิญญาณของเฉินเฉียง
-ราชาสวรรค์-
เฉินเฉียงสงบใจมากขึ้นในทันทีเมื่อได้ยินแบบนี้
ตราบใดที่ระดับราชาไม่ยื่นมือเข้ายุ่ง ต่อให้มีหลิวเฟิงมากกว่านี้อีกสิบตัวเขาก็ไม่กลัวแต่อย่างใด
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้พุ่งไปยืนเคียงข้างหลี่เชิน พร้อมธนูดำในมือ
“นายพลหลี่ คอยดูให้ดี ข้าจะสอยนกยักษ์สองตัวนั่นก่อน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นมา ก่อนที่จะยิงธนูออกไป และนี่ทำให้ลูกธนูไร้สีสันสองดอกได้ถูกยิงออกไปยังองครักษ์ทั้งสองของหลิวเฟิงในบัดดล
เมื่อเห็นนายพลของศัตรูนำธนูออกมาโดยไม่มีลูกธนูในคันศร หลิวเฟิงและอีกสองคนต่างก็มึนงงมองหน้ากันในทันที แต่กว่าทั้งสองจะรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังไร้สีที่ตรงเข้ามาอย่างดุร้ายนั้น มันก็คือชั่วพริบตาหลังที่ธนูทั้งสองได้ทะลุผ่านร่างขององครักษ์ทั้งสองไปแล้ว
“พี่เฉิน ทักษะของท่านช่างเลิศล้ำนัก”
เมื่อเห็นอย่างนี้ หลี่เชินก็อดที่จะหลุดปากออกมาอย่างยินดีเสียมิได้
ถึงแม้ว่าเขาไม่เก่งในการฆ่าฝันศัตรูจากระยะไกล แต่เขานั้นรับรู้ได้อย่างจำฝังใจว่าคนที่ฆ่าศัตรูด้วยจุดไกลขนาดนี้ได้นั้นล้วนแล้วแต่มีพลังจิตที่แข็งกล้า
และนี่คือเหตุผลที่ว่าหลิวเฟิงนั้นชนะได้ติดต่อกันมาอย่างซ้ำๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากข้างกายของมันมีนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงสองคนประกบกายอยู่นาน นี่จึงทำให้หลิวเฟิงสามารถโจมตีออกมาได้อย่างไม่ต้องยั้งมือ
ตราบใดที่สามารถจัดการองครักษ์ทั้งสองนี้ได้ กับเพียงแค่การพึ่งพาพลังจิตเพียงอย่างเดียวนั้นย่อมไม่เพียงพอแต่อย่างใด
และในตอนนี้ หลิวเฟิง ผู้ซึ่งยืนงงอยู่กลางอากาศ เมื่อรับรู้ว่าองครักษ์ข้างกายได้ตกตายไปแล้ว นี่ทำให้ใบหน้าของเขานั้น ตื่นตระหนกขึ้นไปทุกขณะที่ร่างทั้งสอง ได้ร่วงหล่นไปสู่ผืนดิน