ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 288 เอายามาส่ง
บทที่ 288 เอายามาส่ง
เฉินเฉียงที่ในตอนนี้นั้นกล้าพูดจาถากถางและเปิดเผยเรื่องราวต่อหน้าสาธารณชนในตอนนี้ เมื่อมองไปที่ท่าทางของผู้คนโดยรอบแล้ว เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าในตอนนี้คงยากที่จะมีคนเข้าข้างเขาอย่างแน่นอน
“ฮ่าฮ่าฮ่า จางหยวน ไอ้เด็กเวรตะไล เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นผู้เยาว์ให้เจ้าหลอกได้เพียงคำพูดเนี่ยนะ”
“ยังไงซะ คำพูดมันก็เป็นเพียงคำพูดล่ะวะ”
“เจ้าอย่าได้พูดจากล่าวล่วงเกินไปมากกว่านี้จะดีกว่า เจ้าเองก็พึ่งจะพูดออกมาว่าข้าไม่มีหลักฐานและสิ่งข้าพูดเป็นการใส่ร้าย แล้วทีเจ้าล่ะ มีหลักฐานรึเปล่าว่าข้าทำตามอย่างที่เจ้ากล่าวอ้าง”
“หากเจ้ายังมาพูดแบบนี้โดยไม่มีหลักฐานล่ะก็ ก็อย่าได้โทษข้าที่โหดร้ายก็แล้วกัน”
“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่เจ้านั้นไม่เพียงจะไม่แสดงความเคารพต่อข้า แถมยังกล้าที่จะกล่าววาจาล่วงเกินข้าผู้ที่เป็นถึงผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์ผู้นี้ โดยที่เจ้าไม่มีหลักฐานต่อหน้าสาธารณชน เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะฆ่าเจ้าทิ้งได้แล้ว”
หลังจากฮั่นจุยพูดจบ เขาได้หันไปมองผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ทั้งสี่เองก็มองหน้ากันก่อนที่จะพยักหน้ารับ แสดงออกมาซึ่งการเข้าข้างฮั่นจุย
เมื่อเห็นฉากนี้ แขกเหรื่อทั้งหลายจึงรีบผสมโรงด้วยในทันที
“จางหยวน แกมันก็แค่รองกัปตันกองกำลังเล็กๆจากตึกจอมพลน้อยๆเพียงเท่านั้น เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเหยียบย่างเข้ามาในงานนี่ด้วยซ้ำไม่รู้ตัวเลยรึไง”
“ถึงจะรู้อย่างนี้แต่ผู้อาวุโสฮั่นก็ยังไม่ถือสาหาความ อุตส่าห์เชื้อเชิญกองกำลังของเจ้าให้เข้ามาร่วมเป็นสักขีพยานในงานมงคลที่สุดแสนจะมีเกียรตินี้ แต่เจ้านั้นกลับไม่รู้สำนึกยังมาก่อเรื่องใส่ร้ายป้ายสีท่านผู้อาวุโสอีก เจ้านี่มันช่างบาปหนานัก”
“ถูกต้อง ท่านผู้อาวุโสฮั่น ข้าว่าท่านอย่าได้ไปเสียอารมณ์กับคนเยี่ยงนี้จะดีกว่า งานแต่งของท่านนั้นสำคัญกว่ามาก เดี๋ยวจะเสียฤกษ์งามยามดีซะหมด”
“ผู้การสูงฟางกง จางหยวนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านใช่รึเปล่า แล้วท่านนำคนเยี่ยงนี้มาเป็นผู้บังคับบัญชาได้ยังไง ในเมื่อท่านได้ปล่อยให้ผู้บังคับบัญชาของตนมาก่อเรื่องงามหน้าเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชนแล้ว ท่านเองในฐานะที่เป็นผู้การสูงของมันก็ต้องได้รับโทษด้วย”
“ผู้อาวุโสฮั่นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์เลยนะ การที่เขาจะมากล่าวหากับคนระดับท่านผู้อาวุโสนั้น ต่อให้มีหลักฐานยังยากที่จะเชื่อถือได้เลย”
“จริงด้วย แล้วนี่ออกมาพูดลอยๆโดยไม่มีหลักฐานใดๆ ข้าไม่มีทางเชื่อหรอกว่าผู้ที่มีฐานะสูงล้ำอย่างท่านผู้อาวุโสฮั่นจะทำเรื่องเช่นนั้นได้”
“ถูกต้อง หากคิดจะกล่าวหาผู้สูงล้ำเช่นนี้ล่ะก็ แน่จริงก็เอาหลักฐานออกมาสิวะ ที่นี่มันสภาสูงภาคกลางนะเว้ยไม่ใช่สถานที่ที่นายพลวิญญาณผู้ต่ำต้อยเช่นเจ้าจะออกมาพูดให้คนอื่นโง่งมหลงเชื่อได้ง่ายๆ”
เมื่อได้เห็นว่าผู้คนเริ่มแสดงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เว่ยฉิงเชินที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรนขึ้นมา เธอจึงได้รีบพูดออกมาในทันที “จางหยวน เจ้านั้นไม่ควรจะมาที่นี่เลยจริงๆ ต่อให้เจ้าไม่คิดถึงตัวเจ้าก็ควรจะคิดถึงกองกำลังของเจ้าบ้าง”
เฉินเฉียงนั้นไม่ได้แยแสต่อท่าทางของผู้คนโดยรอบแต่อย่างใด
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยฉิงเชินนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดตอบ
“ฉิงเชิน ในวันนี้ข้ามาเพื่อเรียกคืนเกียรติยศของกองกำลัง เจ้าไม่ต้องออกหน้าให้ข้าหรอก”
กับคนทั่วไปที่ได้ยินแล้วต่างก็ไม่ได้รับรู้สิ่งใดต่อคำพูดนี้ จะมีเพียงก็แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกผิดสังเกต
จางหยวนผู้นี้นั้นกลับเรียกชื่อเว่ยฉิงเชินผู้ซึ่งเป็นถึงลูกสาวของผู้การในสังกัดได้อย่างสนิทสนมเสียจนราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันมานานแสนนาน
แม้แต่เว่ยฉิงเชินเองที่ได้ยินก็ถึงกับต้องคิดในทันที
นั่นก็เพราะขนาดคนที่คุ้นเคยกับเธอมานานแสนนาน ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเรียกเธอแบบนี้ แม้แต่จางหยวนเองก็ยังไม่เคยเรียกเธอแบบนี้ด้วยซ้ำ
ไหนจะน้ำเสียงเมื่อครู่นี้มันช่าง….
ไม่น่าเป็นไปได้
เป็นเขางั้นเหรอ
เว่ยฉิงเชินในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพนิ่งอึ้งและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ส่วนฮั่นจุยเองที่อยู่ข้างๆนั้นแม้จะได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยังรับรู้ได้ในทันทีว่าไม่ใช่น้ำเสียงของคนที่เป็นเพื่อนจะมาพูดกัน
“จางหยวน แกมีหลักฐานรึเปล่า ถ้ามีก็เอาออกมาสิวะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้ยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะนำกำไลสื่อสารออกมาจากแหวนเก็บของของตน
“ทุกท่าน นี่คือหลักฐานที่ทุกท่านร้องขอ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เปิดกำไลสื่อสาร ก่อนที่จะฉายฉากที่ลูกชายคนเล็กของฮั่นจุยหรือก็คือฮั่นปู้เอ๋อกำลังสั่งองครักษ์ของตน หรือก็คือองครักษ์ฉีว่าต้องสร้างความยากลำบากให้กองกำลังเทียนเว่ยอย่างไรบ้าง
ฉากถัดมาเป็นฉากที่องครักษ์ฉีได้คุกเข่าลงบนพื้นหญ้าโดยมีกระบี่ยาวจ่อคอ เขานั้นพยายามร้องขอชีวิตจนเล่าทุกสิ่งทุกอย่างออกมาอย่างหมดเปลือก รวมถึงเรื่องราวของฮั่นจุยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
“โอ้ เจ้าหมายความว่าเพราะคนของตนพ่ายแพ้ตอนที่เข้าไปเขตแดนจักรพรรดิจนจ้าวลี่เสียหน้า จึงทำให้เขาตัดสินใจตอบแทนพวกเขาด้วยการเอาชีวิตพวกเขาไปสินะ”
“ไม่ใช่เท่านั้นครับ” องครักษ์ฉีไม่ลังเลที่จะพูดต่อ “ในครานั้นหลังจากออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ กองกำลังเทียนเว่ยแสดงให้เห็นว่าพวกมันเก็บแก่นวิญญาณมาได้จำนวนมาก นั่นทำให้มันไปต้องตาใครบางคน”
“นี่ทำให้ในภายหลังเมื่อจ้าวลี่วางแผนคิดจะจัดการกองกำลังเทียนเว่ย ผู้อาวุโสฮั่นพอรับรู้เรื่องนี้ก็คิดจะห้ามปราม แต่พอท่านจ้าวเสนอให้นายน้อยฮั่นผู้สูงส่งเข้าร่วมเพื่อเปิดทางให้เขาดำรงตำแหน่งในจิ้งชวน และแก่นวิญญาณที่ได้มาทั้งหมดนั้นยินดีที่จะมอบให้นายน้อยผู้สูงส่งฮั่น ผู้อาวุโสฮั่นก็เห็นด้วยในทันที”
ถึงแม้จะมีฉากวิดีโอต่อจากนี้ไปอีก แต่ผู้คนโดยรอบต่างก็ไม่ได้ใส่ใจส่วนที่เหลือแต่อย่างใด พวกเขารู้เพียงว่าแค่คำพูดส่วนแรกจนมาถึงจุดนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้จ้าวลี่ได้รับโทษได้แล้ว แม้แต่ฮั่นจุยเองดีไม่ดีก็จะโดนหางเลขไปด้วย
นี่จึงทำให้หลังจากที่ทุกคนได้เห็นภาพวิดีโอนี้แล้ว ใบหน้าของทุกคนก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
ความจริงแล้ว ทุกคนต่างก็รับรู้ว่าในการศึกที่จิ้งชวนในรอบแรกนั้นมีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้น แต่ในครั้งนั้นไม่มีใครที่จะกล้ากล่าวโทษต่อจ้าวลี่เพราะฮั่นจุยได้ออกหน้า
แต่ในตอนนี้ทุกคนได้รับรู้ความจริงแล้วว่าที่ฮั่นจุยกล้าที่จะออกหน้านั้นเป็นเพราะตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วใครล่ะที่จะกล้ากล่าวโทษต่อฮั่นจุยในเรื่องนี้
เป็นตอนนี้เอง ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ส่ายหน้าไปมาอย่างช่วยไม่ได้หลังจากได้เห็นวิดีโอนี้แล้ว
ฮั่นจุยไม่คิดมากว่าจางหยวนนั้นนอกจากคำพูดแล้วยังมีหลักฐานออกมายืนยัน นี่ทำให้เขารู้สึกเสียใจกับคำพูดของตนก่อนหน้านี้อย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางของคนอื่นที่ยังคงอึกอัก ฮั่นจุยก็ได้ยืดอกและพูดออกมาอย่างเป็นต่อ
“ฮี่ฮี่ฮี่ จางหยวน ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าได้ใช้วิธีการใดในการทำวิดีโอที่สมจริงได้ถึงขนาดนี้ แต่หากเจ้าคิดว่าเพียงวิดีโอที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอมนี่จะใส่ร้ายข้าได้ล่ะก็ เจ้าอย่าได้คิดฝัน”
“ในครานั้นสมควรจะมีนายพลมากมายของเผ่าพันธุ์ร่วมศึกอยู่นี่ มีใครสักคนรึเปล่าที่จะมายืนยันได้ว่าเหตุการณ์ตามวิดีโอนี้เป็นเรื่องจริง”
ด้วยสถานะของฮั่นจุยที่สูงล้ำนี้ เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครหน้าไหนที่กล้าเข้าข้างเฉินเฉียงแล้วเป็นศัตรูกับเขา
เมื่อสิ้นคำของฮั่นจุย ดวงตาของผู้คนโดยรอบก็ได้ลุกโชนอีกครั้ง
“จริงด้วย ผู้อาวุโสฮั่นนั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ในมุมมองของข้านั้นวิดีโอนี่มันต้องเป็นของปลอมอย่างแน่นอน มันต้องเป็นสิ่งที่กองกำลังเทียนเว่ยสร้างคิดเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษอยู่แล้ว”
“ถูกต้อง หากว่ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ทำไมไม่มีใครกล้าออกมาพูดให้กองกำลังเทียนเว่ยเลยล่ะ หื้ม”
“ข้ายืนยันได้”
เสียงอันดังก้องจนพาหูดับได้ดังออกมาฟังกลบเสียงผู้คนที่กำลังพูดยั่วยุเฉินเฉียงจนหมดสิ้น
“เฮ่ย นั่นมันรองผู้การคนใหม่แห่งตึกจอมพลภาคกลาง หลี่เชินไม่ใช่เหรอนั่น” บางคนที่จดจำหลี่เชินได้จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“หลี่เชินเหรอ ไอ้เด็กนี่มันก็แค่รองผู้การที่พึ่งจะได้รับตำแหน่งไม่ใช่เหรอ นี่มันไม่รู้รึไงว่าอะไรดีไม่ดีกับตัวเองถึงได้กล้าตอแยผู้อาวุโสฮั่นแบบนี้”
“ข้าว่ามันจะไม่ใช่การตอแยเนี่ยสิ นี่เจ้าไม่ได้ยินรึไงว่าเขาเองนั้นแม้จะเป็นเพียงรองผู้การ แต่กลับสร้างผลงานในการศึกที่จิ้งชวนได้อย่างเลิศล้ำน่ะ”
ท่ามกลางเสียงพูดคุยของผู้คน หลี่เชินได้เดินฝ่าผู้คนขึ้นหน้าและมายืนเทียบเคียงกับเฉินเฉียงที่ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวน เขาตบบ่าเฉินเฉียงไปทีหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ข้า หลี่เชินผู้นี้ขอยืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับกองกำลังเทียนเว่ย”
“และผลงานของกองกำลังเทียนเว่ยในการศึกที่จิ้งชวนในวันนั้น พวกเรา นายพลแห่งตึกจอมพลภาคกลางล้วนแล้วแต่ยอมรับในความสามารถอันสูงล้ำของพวกเขา”
“ข้าขอพูดกันตรงๆเลยว่าหากไม่ใช่เพราะฮั่นปู้เอ๋อได้แทรกแซงจนกลายเป็นผู้นำศึกในวันแรกและสั่งไม่ให้พวกเราไปช่วยเหลือกองกำลังเทียนเว่ยด้วยคำสั่งการสงครามแล้วล่ะก็ ด้วยความสามารถที่เลิศล้ำของพวกเขาผนวกกับกองกำลังที่ทรงพลังของพวกเรา พวกเราคงจะกวาดล้างมนุษย์กลายพันธุ์ได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว”
“ข้า หลี่เชินไม่ใช่เพียงผู้เดียวที่สามารถยืนยันในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ หากผู้อาวุโสต้องการคนยืนยันเพิ่มเติม ข้าสามารถเรียกให้บรรดานายพลที่เข้าร่วมรบในวันนั้นให้มายืนยันเหตุการณ์ที่พวกเขาประสบได้ว่าเป็นความจริง”
“ไอ้ขยะแห่งเผ่าพันธุ์จ้าวลี่ผู้นี้มันใช้ความแค้นส่วนตัวเป็นที่ต้องในการบริหารงานของส่วนรวม นี่ไม่เพียงเกือบจะทำให้นักรบผู้กล้าของเผ่าพันธุ์เกือบจะล้มตายไปเท่านั้น การกระทำของมันยังทำให้เผ่าพันธุ์สูญเสียอย่างยากที่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้”
“ถึงแม้ตำแหน่งของข้าผู้นี้จะต่ำต้อยกว่าทุกคนในที่นี้มากนัก แต่ผู้ต่ำต้อยเช่นข้าก็ยังรู้ดีว่าอะไรดำอะไรขาว หากพวกเราไม่กำจัดขยะโสโครกแห่งเผ่าพันธุ์ จ้าวลี่ผู้นี้ออกไปล่ะก็ เหล่านายพลที่ร่วมสงครามในครานั้น หากได้รับรู้เรื่องนี้ก็คงยากที่จะยอมรับได้จริงๆ ข้าก็คงหวังได้เพียงว่าพวกนั้นคงไม่สิ้นคิดเอาเยี่ยงเอาอย่างล่ะนะ”
ถึงแม้ว่าคำพูดนี้ของหลี่เชินจะกล่าวออกมานั้นดูเหมือนจะพูดเพื่อช่วยเหลือเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวน แต่เขาก็พูดพลางจ้องมองไปยังผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสภาคกลางนั้นสามารถไม่แยแสต่อกองกำลังเทียนเว่ยทั้งสิบสามคนได้ แต่พวกเขานั้นไม่อาจจะเมินเฉยต่อหลี่เชินผู้นี้ได้เหมือนกัน
นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นคิดจะปลุกปั้นให้หลี่เชินผู้นี้เป็นดาวดวงใหม่ของเผ่าพันธุ์ และต้องการจะให้เป็นแบบอย่างของเผ่าพันธุ์มนุษย์
และเท่าที่ฟังดูแล้ว หากพวกเขายังคิดนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้อีกล่ะก็ หลี่เชินอาจจะพานักรบทั้งหลายที่อยู่ในการศึกในจิ้งชวนมาประท้วงพวกเขา
หากเป็นแบบนั้นจริง พวกเขาจะไม่อาจทำอะไรได้อีก
กับเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้รับรู้ว่าลูกชายขยะของฮั่นจุยได้ไปก่อเรื่องอะไรไว้ แต่เป็นเพียงเพราะพวกเขาเห็นแก่ผลงานที่ฮั่นจุยได้สร้างเอาไว้จึงคิดจะไว้หน้าเขาเพียงเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่พวกเขาคิดว่าปล่อยผ่านไปได้นั้น กลับเลยเถิดจนไม่อาจจะนิ่งเฉยได้อีก
และก่อนที่ผู้นำของกลุ่มผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสจินจะได้พูดอะไรออกมา ฮั่นจุยก็ได้เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“ใครก็ได้ไปลากตัวไอ้ผู้ตรวจการจ้าวลี่มาที่นี่เดี๋ยวนี้”
เพียงไม่นานหลังจากสิ้นคำ จ้าวลี่ที่ทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้านอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ที่ตีนเขาก็ได้ถูกพันธนาการด้วยราชาจอมพลสี่คน และถูกนำตัวมาที่สวนที่จัดงานแต่งนี้
“จ้าวลี่ ในการศึกที่จิ้งชวนนั่นเป็นเจ้าที่ได้วางแผนร้ายต่อกองกำลังเทียนเว่ยเพียงเพื่อต้องการแก่นวิญญาณที่พวกนั้นได้มาจากเขตแดนจักรพรรดิจนทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราต้องสูญเสียนักรบผู้กล้าของเผ่าพันธุ์ไปมากมาย มาในตอนนี้ หลักฐานและพยานได้ปรากฏแล้ว เจ้าไม่อาจจะโต้แย้งในเรื่องนี้ได้อีกต่อไป”
จ้าวลี่ที่กำลังงงงวยที่อยู่ๆก็ถูกจับตัวมานั้น เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็ได้เข้าใจในทันที
ฮั่นจุยนั้นต้องการโยนอาจมให้แก่เขา
“ผู้อาวุโสฮั่น ท่านทำแบบนี้ไม่ได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้เชื่อฟังคำสั่งท่านอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องมาโดยตลอด แม้แต่การศึกที่จิ้งชวนนั้น ท่านเองก็ยังเห็นด้วยกับข้าที่จะกำ…”
เมื่อจ้าวลี่พูดออกมาถึงจุดนี้ ฮั่นจุยได้มองไปที่จ้าวลี่ด้วยสีหน้าที่เย็นชา ก่อนที่จะประทับฝ่ามือลงบนหัวของจ้าวลี่
เพื่อปกป้องตัวเองแล้ว ฮั่นจุยไม่มีทางเลือกจนทำได้เพียงหมารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของตนไปเพียงลดทอนความโกรธแค้นของผู้คน
“จางหยวน เจ้าพอใจแล้วสินะ”
หลังจากที่ได้ฆ่าจ้าวลี่ไปแล้ว ฮั่นจุยได้เดินกลับขึ้นเวทีพลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวนเองก็ได้หันไปป้องมือคำนับหลี่เชินแสดงความขอบคุณด้วยใจจริง ก่อนที่จะหันไปหาฮั่นจุยแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น การตายของจ้าวลี่เทียบได้กับการกู้คืนความบริสุทธิ์ของกองกำลังเทียนเว่ยของข้าแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ย่อมพึงพอใจ”
เฉินเฉียงนั้นรู้สึกโชคดีจริงๆที่ได้เก็บวิดีโอนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้ว การตีแสกหน้าฮั่นจุยในครั้งนี้เขาคงไม่อาจจะทำสำเร็จลงได้
แต่ในเมื่อเรื่องออกเป็นแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงเองก็คงจะทำได้เพียงหยุดแค่ตรงนี้
ในเมื่อผลลัพธ์ที่เขาต้องการนั้นออกมาได้ตามคิด และกองกำลังของเขาก็ได้หลุดพ้นจากข้อครหา ในอนาคต กองกำลังของเขาจะไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
เมื่อเห็นเฉินเฉียงในคราบจางหยวนพยักหน้ารับ ฮั่นจุยก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงที่เย็นชาแต่ก้องกังวาน “เริ่มงานต่อ”
“ช้าก่อน”
ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องก่อนหน้าที่หนักอึ้งได้เสร็จไปแล้วแต่ยังไม่ได้นั่งพักดี จางหยวนก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง นี่ทำให้ทุกคนอดที่จะคิดไม่ได้ว่าจางหยวนนั้นคิดจะล่มงานแต่งจริงๆ
“จางหยวน เจ้าอย่าให้มันมากนัก”
ฮั่นจุยได้พูดออกมาพลางกัดฟันแน่น มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฮั่นจุยในตอนนี้กำลังโกรธขนาดไหน ต่อให้เขาทำการฉีกกระชากร่างของเฉินเฉียงในรูปลักษณ์ของจางหยวนในตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดแปลกใจหรือห้ามปราม
แต่เฉินเฉียงนั้นกับไม่ได้แยแสต่อท่าทางของฮั่นจุยแต่อย่างใด
เฉินเฉียงได้ป้องมือขึ้นก่อนจะพูดออกมาอย่างติดตลก “ผู้อาวุโสฮั่น วันนี้เป็นงานแต่งของผู้อาวุโส ข้าเองก็ได้เตรียมของขวัญมามอบให้ว่าที่เจ้าสาวด้วยเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดก่อเรื่องแต่อย่างใด”
“เหอะ ไม่ใช่ว่าของขวัญนั่นเจ้ามอบให้ตั้งแต่ทางเข้าไม่ใช่รึไง แล้วเจ้ายังมาพูดถึงของขวัญอะไรอีกกัน”
เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นมาตั้งฉากเป็นปางห้ามญาติแล้วพูดตอบ “ผู้อาวุโสฮั่น นั่นมันต่างกัน”
“ของขวัญที่นำมาแล้วไว้ที่ทางเข้า นั่นย่อมเป็นส่วนของท่าน”
“แต่กับของขวัญนี้นั้น เป็นของขวัญที่กองกำลังของข้าต้องการมอบให้กับว่าที่เจ้าสาวของผู้อาวุโส”
“กับเรื่องนี้ ข้าคิดว่าผู้อาวุโสคงไม่คิดที่จะปฏิเสธกระมัง”
คำพูดและท่าทางของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวนนั้นไม่ได้แสดงออกอย่างผิดแผกแต่อย่างใด แต่กระนั้น ฮั่นจุยก็อดที่จะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไม่ได้ แต่เขาเองก็ไม่อาจหาเหตุผลมาแย้งเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้ได้เหมือนกัน เขาจึงได้ยืดอกแล้วพูดออกมา “เฮอะ เจ้าบ่าวผู้นี้ล่ะอยากจะเห็นจริงๆว่าคนเยี่ยงพวกเจ้านั้นจะตระเตรียมสิ่งใดมา”
ด้วยท่าทางที่แสดงออกอย่างปฏิปักษ์ของฮั่นจุยนี้เองก็ทำให้ผู้คนที่คิดจะประจบประแจงเขาอดไม่ได้ที่จะพูดสอดออกมา
“ฮี่ฮี่ฮี่ ของขวัญของจางหยวนที่นำมามอบให้ผู้อาวุโสที่ทางเข้านั่นน่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่ามันคืออะไร มันเป็นเพียงแค่แก่นคริสตัลระดับขุนพลขั้นสูงเพียงแค่สิบก้อนเท่านั้นเองนา”
“ห้ะ ไอ้เด็กนี่ช่างยาจกนัก กล้าดียังไงถึงได้นำแก่นคริสตัลขั้นสูงเพียงสิบกว่าก้อนมามอบให้เป็นของขวัญแก่ผู้อาวุโสฮั่นจุยเนี่ย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีนะจะได้เห็นฉากอะไรสนุกๆสักที กับผู้อาวุโสฮั่นผู้เลิศล้ำกลับมีปัญญาหาของมาได้เพียงเท่านั้น ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าเด็กนี่จะมาเล่นตลกอะไรให้พวกเราได้ดูกัน”
เฉินเฉียงที่ในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะสนใจกับคำพูดของผู้คนเหล่านี้นั้นก็ได้นำของบางอย่างออกมาจากแหวนของตน
“ฉิงเชิน ข้าเชื่อว่าของขวัญชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เจ้าอยากได้มากที่สุดในตอนนี้กระมัง”
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เว่ยฉิงเชินมั่นใจอย่างมากว่าจางหยวนที่กำลังพูดกับเธออยู่นั้นคือเฉินเฉียง
และก่อนหน้านี้ในเขตแดนจักรพรรดินั้น เธอก็ได้รับรู้แล้วว่าเฉินเฉียงนั้นสามารถใช้พลังเหนือมนุษย์ได้เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์กลายพันธุ์
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอนั้นจะมั่นใจว่าคนตรงหน้าของเธอนั้นไม่ใช่จางหยวนแต่เป็นเฉินเฉียง
ความจริงแล้วข่าวงานแต่งของเธอนั้นได้ถูกปล่อยออกไปมานานมากแล้ว เพียงแต่ว่ากำไลสื่อสารของเธอถูกทำลายไปโดยพ่อของตนทำให้เธอนั้นไม่อาจติดต่อเฉินเฉียงได้อีก ท้ายที่สุด เธอก็หาโอกาสที่ติดต่อกับจางหยวนและคนอื่นๆได้เพียงเท่านั้น
แต่เธอก็ยังเชื่อมั่นว่าตราบใดที่เฉินเฉียงรับรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องมาเพื่อช่วยเธออย่างแน่นอน
และเป็นจริงอย่างที่เธอคิดเอาไว้ เฉินเฉียงได้มาจริงๆ
ทุกอย่างก้าวของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวนที่กำลังเดินขึ้นเวทีตรงเข้ามาหาเธอนี้ได้ถูกจับจ้องเอาไว้โดยเว่ยฉิงเชินชนิดที่ตาไม่กะพริบ และเฉินเฉียงเองก็ได้จ้องมองไปที่เว่ยฉิงเชินด้วยอาการเดียวกัน
-ฉิงเชิน ทำไมเจ้าถึงได้แต่งงานกับฮั่นจุยกัน- เมื่อมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงนั้นเก็บงำความสงสัยของตนไว้ไม่ได้อีกต่อไปจนต้องส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปถามเธอ
-พี่ใหญ่เฉินเฉียง ข้าเองนั้นย่อมไม่อยากที่จะทำเช่นนี้-
-แต่พ่อของข้านั้นอาการของพ่อของข้าแย่ลงไปในทุกวัน และในทุกวันนั้น ฮั่นจุยแม้จะส่งคนมาตรวจดู แต่ในทุกๆครั้งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าหากพ่อของข้าไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว เขาจะไม่มีทางบ่มเพาะได้อีก-
“ฉิงเชิน หากว่าการที่เจ้าต้องแต่งงานกับไอ้แก่ตัณหากลับนี่เพียงเพราะเม็ดยาโลกาหวนคืนเพียงเท่านั้นล่ะก็ สิ่งนั้นข้าได้นำมามอบให้เจ้าแล้ว”
“จริงเหรอ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เว่ยฉิงเชินได้หลุดปากออกมาก่อนที่จะเดินรี่เข้ามารับแหวนในมือของเฉินเฉียงไป หลังจากเธอตรวจสอบดูแล้วพบว่าเป็นเม็ดยาโลกาหวนคืนจริงแล้ว รอยยิ้มที่ห่างหายไปนานก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนหน้าของเธออีกครั้ง
และทุกฉากเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างก็รับรู้กันจนหมดสิ้น
“เกิดอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่าจางหยวนนั่นเป็นเพื่อนสนิทของคุณหนูเว่ย”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ เจ้าเองก็เห็นท่าทางของนางไม่ใช่รึ นั่นไม่ธรรมดาเลยนา”
“เฮ่ยเฮ่ย ลดเสียงลงหน่อยเว่ยเฮ่ย พวกเจ้าไม่เห็นท่าทางของผู้อาวุโสฮั่นเหรอนั่น ท่าทางของเขาในตอนนี้พร้อมจะลงมือฆ่าคนได้ทุกเมื่อเลยนะวุ้ย”
แน่นอนว่าฮั่นจุยเองก็พอรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยเฉิงเชินและจางหยวนอยู่บ้างว่าไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่คิดว่าจางหยวนนั้นจะทำให้เว่ยฉิงเชินแสดงออกอย่างเกินเลยได้ถึงขนาดนี้
แต่ที่ทำให้ฮั่นจุยทนไม่ได้ที่สุดก็คือในตอนนี้ หลังจากที่เว่ยฉิงเชินได้รับแหวนของจางหยวนมาแล้วนั้น ว่าที่เจ้าสาวของตนกลับโผเข้ากอดจางหยวนต่อหน้าต่อตาของสาธารณชน
“จางหยวน ไอ้เด็กเปรต ปล่อยภรรยาของข้าซะ”
ฮั่นจุยในตอนนี้ได้จ้องมองไปที่เฉินเฉียงในรูปลักษณ์ของจางหยวนด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ
ในขณะเดียวกัน เว่ยหยวนตี้เองที่ยังคงนั่งอยู่ในที่นั่งของผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวก็ถึงกับนิ่งอึ้งสับสนไปอย่างหนัก
จางหยวนกับฉิงเชินเนี่ยนะ
จะเป็นไปได้ยังไงกัน
ฉิงเชินนั้นก่อนหน้านี้บอกกับเขาอยู่กับปากว่ารักเฉินเฉียงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ลูกสาวข้าถึงได้ไปกอดกับจางหยวนได้กัน
“ฉิงเชิน ยัยตัวดี นี่เจ้าคิดจะทำอะไรอีก”
เว่ยหยวนตี้ที่ฟื้นคืนสติก็ได้ตะคอกออกมาอย่างดังลั่น ก่อนจะรีบลุกขึ้นมา แล้ววิ่งเข้าไปหาเว่ยฉิงเชินพลางยกมือขึ้นสูงหมายที่จะตบสั่งสอนเสียตรงนี้
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่เฉินเฉียงได้นำเม็ดยาโลกาหวนคืนมามอบให้ท่านแล้ว” เว่ยฉิงเชินรีบเร่งพูดออกมาก่อนที่จะจับแหวนในมือยัดใส่มือที่กำลังง้างอยู่ของพ่อของตน
“ห้ะ ….ยาโลกาหวนคืนน่ะเหรอ”
สำหรับเว่ยหยวนตี้แล้วนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเม็ดยานี้มีความสำคัญยังไงกับเขา
และนี่จึงทำให้เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้ใช้มือที่สั่นเทิ้มของตน ค่อยๆหยิบกล่องเล็กๆออกมาจากแหวน เพียงแรกสัมผัส เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่ามันคือเม็ดยาหวนคืนแบบเดียวกับที่ฮั่นจุยเคยแสดงให้เขาเห็นมาก่อนหน้านี้
“ท่านพ่อ นี่หมายความว่าข้าไม่ต้องแต่งงานกับผู้อาวุโสฮั่นอีกแล้วสินะ…”
ด้วยเรื่องของเม็ดยาโลกาหวนคืนนี้เองนั้นทำให้เว่ยชิงเฉินต้องตกอยู่ในสภาพกดดันอย่างอับจนหนทางมาหลายเดือน เมื่อมาถึงตอนนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่เธอนั้นจะแสดงความยินดีออกมาอย่างเกินงาม นี่ยังไม่รวมถึงการที่เธอนั้นคว้าผ้าคลุมหัวเจ้าสาวที่อยู่บนหัวและเขวี้ยงลงบนพื้นเวทีจนดังพอที่จะได้ยินจนทั่ว
แน่นอนว่าทุกคนที่เห็นฉากนี้ต่างก็สับสนและงงงวยจนจับต้นชนปลายแทบจะไม่ทัน