ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 290 กบฏ
บทที่ 290 กบฏ
“ผู้น้อยไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ด้วยตนเอง โปรดให้อภัยผู้น้อยด้วย”
เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ทำการป้องมือและโค้งตัวลงอย่างนอบน้อมและกระดากอาย
“ก็ได้ ข้าผู้นี้จะถือดังคำกล่าวที่ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดให้สักครั้ง ฮั่นจุย ก่อนหน้านี้ที่ข้าผู้นี้ลงมือ ก็เพียงช่วยชีวิตเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น เจ้าก็อย่าถือสาที่คนแก่คนนี้พลั้งมือทำเจ้าบาดเจ็บซะล่ะ”
เมื่อพูดจบ ชายแก่ผู้นี้ก็ได้กวักมือและเรียกเฉินเฉียงให้เข้ามาหา “เฉินเฉียง มากับข้า”
ด้วยการที่ชายแก่ผู้นี้แสดงออกมาว่าต้องการจบเรื่องนี้อย่างไว และดูเหมือนว่าเขานั้นมาเพียงช่วยเฉินเฉียงแล้วมาพาตัวไปเพียงเท่านั้น นี่ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างก็ไม่รู้เลยว่าทำไมผู้อาวุโสแห่งเผ่าพันธุ์ถึงต้องแสดงความเคารพต่อชายแก่ตรงนี้ขนาดนี้เพียงหลังจากเห็นธงสามเหลี่ยมนั่น
เฉินเฉียงแม้จะสับสนเพราะเขานั้นก็ไม่เคยได้พบเจอชายแก่ตรงหน้ามาก่อน แล้วทำไมเขาถึงได้ทั้งรู้ชื่อแม้กระทั่งเจาะจงตัวเขาได้ ไหนจะเรื่องที่มาช่วยเหลือกันอีก
แต่เพียงแค่เฉินเฉียงทำท่าจะก้าวเดินเข้าไป เขาก็ได้ยินฮั่นจุยกำหมัดจนส่งเสียงดังกร๊อบแล้วตะคอกออกมา
“ช้าก่อน”
“ฮื้มมมม” ชายแก่ได้หันมาพลางมองไปที่ฮั่นจุยด้วยคิ้วที่ยกตัวขึ้นแล้วพูดออกมา “มีอะไร ฮั่นจุย เจ้าจะบอกว่าปฏิเสธการกระทำของข้าผู้นี้งั้นรึ”
เมื่อเห็นท่าทางที่สงบบนใบหน้าของชายแกแล้วฮั่นจุยนั้นถึงกับใบหน้าแข็งค้างไป แต่กระนั้น เขาก็ยังทำตัวฝืนกล้าพูดออกมาในที่สุด “ผู้อาวุโส ถึงแม้ท่านนั้นจะเป็นผู้ที่มาจากฮุยตู๋ก็ตาม แต่หากผู้น้อยจำไม่ผิด ฮุยตู๋นั้นจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ไม่สิ ไม่ยื่นเข้ายุ่งกับความขัดแย้งของทั้งสามเผ่าพันธุ์ไม่ใช่หรอกหรือ นั่นควรจะรวมถึงเรื่องความขัดแย้งภายในด้วยถึงจะถูก”
เพียงฮั่นจุยได้พูดคำนี้ออกมา ทุกคนถึงกับหน้าซีดเผือดในทันทีเมื่อได้รับรู้ว่าคนแก่ตรงหน้านั้นมีเบื้องหลังที่ทรงพลังอย่างองค์กรลึกลับที่มีชื่อว่าฮุยตู๋
ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่แม้แต่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องแสดงความเคารพ
ตามตำนานเรื่องเล่าได้กล่าวไว้ว่าฮุยตู๋นั้นทรงพลังอย่างยากที่จะหยั่งถึง แม้พวกเขาจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมกับความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่พวกเขานั้นก็มีอำนาจพอที่จะให้ใครอยู่หรือตายก็ได้ในโลกใบนี้ นี่จึงทำให้ไม่มีใครที่กล้าจะไปหาเรื่องฮุยตู๋
เมื่อชายแก่ได้ยินคำถามของฮั่นจุย เขาก็ได้ยิ้มแล้วพูดออกมา “ไม่เลว ว่าต่อไป”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ฮั่นจุยก็ราวกับบังเกิดความกล้าขึ้นมาแล้วพูดต่อ “แล้วหากว่าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมผู้อาวุโสถึงได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องการจะจัดการกับสายลับของต่างเผ่าพันธุ์ในวันนี้กัน”
“โฮ่ เจ้าบอกว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นสายลับจากเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์งั้นรึ” ชายแก่ได้ชี้ไปที่เฉินเฉียงพลางพูดออกมา ก่อนที่จะหันไปมองสี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์แล้วถามออกมา “เจ้าสี่คนก็คิดเช่นนั้นงั้นรึ”
ผู้นำกลุ่มของผู้อาวุโสสี่คนหรือก็คือผู้อาวุโสจินได้ป้องมือแล้วพูดออกมา “เรียนผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้พวกเราเพียงแค่ได้ยินเรื่องราวนี้มาบ้าง แต่เมื่อสักครู่ท่านก็เห็นว่าเฉินเฉียงนั้นได้ใช้ทักษะเหนือมนุษย์พันหน้าแล้ว นี่จึงทำให้พวกเราเชื่อว่าเขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”
“และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าพวกเรานั้นย่อมต้องสังหารผู้ที่เป็นสายลับจากเผ่าพันธุ์อื่น”
“เหอะ” ชายแก่สบถออกมา ก่อนที่จะชี้ไปที่สี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์แล้วพูดออกมา “เจ้าทั้งสี่คนนี่สมควรจะเรียกว่าโลหะผุกร่อนซะมากกว่านะ”
“หากถือคำพูดของพวกเจ้าแล้วล่ะก็ ตาแก่ผู้นี้ที่พึ่งจะใช้พลังพันหน้าไปนั้นก็คงจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ในมุมมองของพวกเจ้าสินะ”
“ผู้อาวุโส ต่อให้ท่านเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะพวกเราต่างรับรู้กันดีว่าในองค์กรฮุยตู๋นั้นมีคนจากทั้งสามเผ่าพันธุ์”
เมื่อได้ยินคำพูดค่อยๆนี้ ชายแก่ก็ได้ยิ้มออกมาพลางเดินไปตรงหน้าสี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นฉากนี้ สี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ ได้เห็นฉากนี้ถึงกับผงะไปจนถอยร่นในทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ ชายแก่ได้ส่ายหัวไปมาแล้วพูดออกไป “พวกเจ้าสี่ตัวจะกลัวไปทำซากอะไรกัน ชายแก่ผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะชอบกินเนื้อแก่ๆเช่นพวกจ้าหรอกนะ”
“ไม่ใช่ว่าฮั่นจุยนั้นพึ่งบอกไปไม่ใช่เหรอว่าข้าเองเป็นมนุษย์กลายพันธุ์น่ะ”
“พวกเจ้ามาดูตรวจดูในหัวข้าสิว่ามีแผ่นแก่นพลังงานของมนุษย์กลายพันธุ์รึเปล่า”
“ห้ะ” เมื่อสี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็อุทานออกมาแทบจะพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งสี่จะมองหน้ากันไปมาแล้วส่ายหัวกันอย่างพร้อมเพรียงในทันที
ในก็เพราะหากพวกเขาพบว่าในหัวของชายแก่นั้นมีแผ่นแก่นพลังงานอยู่จริงล่ะก็ นั่นก็ไม่ได้ต่างไปจากทำให้เขาต้องตกตาย มีหรือที่ฮุยตู๋จะปล่อยพวกเขาไป
และเรื่องจะลามไปถึงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ หากฮุยตู๋ลงมือจริง ต่อให้พวกเขามีระดับราชาจอมพลมากมายขนาดไหนก็ไม่แคล้วต้องสูญพันธุ์
“เฮ้อ ช่างมันเถอะ ดูๆไปแล้วพวกเจ้าไม่มีความกล้าอยู่ในหัวเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด เอาอย่างนี้ ชายแก่ผู้นี้จะให้พวกเจ้าเลือกแล้วกันว่าจะตรวจสอบข้าหรือจะตรวจสอบเฉินเฉียงว่าเขานั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆหรือไม่”
เมื่อพูดจบ ชายแก่ก็ได้เดินไปข้างๆเฉินเฉียงประหนึ่งดังให้เขายอมรับคำพูดของตน
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้มองไปที่ฮั่นจุยที่ยังทรุดอยู่กับพื้นเวทีพลางนึกลังเลขึ้นมา
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ปล่อยให้มันตรวจสอบเจ้าไปเถอะ เพียงชายแก่คนนี้อยู่ที่นี่ ไม่มีใครกล้าเกินเลยกับเจ้าอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าชายแก่จะสำทับคำพูดของตนออกมา เฉินเฉียงก็ยังกังวลอยู่ดี
นั่นก็เพราะไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฮั่นจุยนั้นก็ยังเป็นผู้อาวุโสแห่งสภาสูงภาคกลาง ไหนจะการทำตัวของสี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้อีก แล้วเขาจะยกชีวิตของตนฝากไว้ที่คนแบบนี้ได้ยังไง
“ฮี่ฮี่ฮี่ ไอ้เด็กนี่ เจ้านี่ช่างดื้อเงียบนัก”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงยังไม่ขยับเขยื้อน ชายแก่ได้เผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่จะผายมือออกไป
เป็นตอนนี้ที่ผู้คนกว่าห้าร้อยก็ได้ปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้า
“ทำความเคารพผู้อาวุโสสูงสุด”
ในทันทีที่คนทั้งห้าร้อยได้ปรากฏ พวกเขาต่างก็โค้งตัวลงจนแทบจะตั้งฉากกับพื้นที่ต่อหน้าชายแก่
“ราชาจอมพลห้าร้อยคน”
ฮั่นจุยและสี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้เกือบที่จะปล่อยให้เป้ากางเกงของตนเปียกชื้นในทันทีเมื่อได้เห็นคนทั้งห้าร้อยปรากฏตัวตรงหน้า
ในขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมงานสมรสนี้ก็ถึงกับตื่นตะลึงและพูดคุยกัน
และไม่นาน ทุกคนในที่นี้ต่างก็รับรู้ได้ในทันทีว่าคนทั้งห้าร้อยนี้ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้านั้นเป็นคนของฮุยตู๋ และนี่ทำให้ทุกคนนั้นถึงกับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คนเหล่านี้อยู่ๆก็ได้ปรากฏตัวที่นี่โดยที่เหล่าราชาจอมพลกว่าสองร้อยก็ไม่อาจที่จะรู้ตัวเลยสักนิด
อย่าว่าแต่เรื่องจำนวนเลย แม้แต่เรื่องระดับการบ่มเพาะ หากเทียบกันแล้วต่อให้อยู่ในระดับเดียวกันก็ตาม แต่ไอพลังที่พวกเขาปล่อยออกมานั้นก็เทียบได้ราวกับอยู่คนละช่วงชั้น
ยังไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่บนพื้นดิน ในหมู่คนเหล่านี้มีคนสิบกว่าคนที่ก้าวเข้าสู่ระดับราชาจอมพลไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีเพียงแค่หกคนเท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับราชาจอมพลขั้นสูง
“ผู้อาวุโสใหญ่ฮูเตี๋ยน ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าลมอะไรได้นำพาท่านและเหล่าผู้ทรงพลังทั้งหลายเหล่านี้ให้มาเยี่ยมเยือนยังเขาโชวหยางของข้า”
ชายแก่ผู้หนึ่งได้ร่อนลงมาที่พื้นจากกลางอากาศมาอยู่ตรงหน้าของฮูเตี๋ยน
“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่หลิวฉิง ไม่ได้พานพบกันเกือบจะร้อยปีแล้วกระมัง หากชายแก่ผู้นี้ไม่ได้มาที่นี่เพราะมีเรื่องราวให้จัดการจนได้พบเจอเจ้าได้นี่ หากพวกเราจะได้พบปะหน้าตากันอีกทีก็คงตอนตายเสียกระมัง”
ฮูเตี๋ยนพูดพลางยิ้มออกมาอย่างเย้าแหย่ ก่อนที่จะชึ้ไปที่ฮั่นจุยแล้วพูดออกมา “ส่วนการที่ตาแก่ผู้นี้มาทำไมนั้น เจ้าก็ไปถามไอ้นั่นดูแล้วกัน ข้าขี้เกียจจะเอ่ยแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลิวฉิงได้จ้องเขม็งไปที่ฮั่นจุยแล้วถามออกมา “เกิดอะไรขึ้น บอกข้ามา”
ถึงแม้ฮั่นจุยนั้นจะมีอำนาจอยู่ในสภาสูงก็ตาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวฉิงผู้ที่ไม่ได้โผล่หน้าออกมานานจนโลกแทบจะลืมนี้ ก็ไม่อาจจะแข็งขืนได้
เพราะหากไม่มีชายคนนี้อยู่ในเผ่าพันธุ์ ไม่มีทางเลยที่ฮั่นจุยและผู้อาวุโสคนอื่นๆจะสามารถทำให้เผ่าพันธุ์ของตนดำรงอยู่ได้ภายใต้การคุกคามของสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้
“เป็นเช่นนี้”
หลังจากผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลิวฉิง ได้ฟังคำอธิบายของฮั่นจุยแล้ว “เขาได้หันหลังกลับก่อนที่จะพูดออกมา ในเมื่อพี่ฮูเตี๋ยนนั้นบอกว่าเด็กนี่ไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ นั่นก็หมายความว่าตามนั้น”
“ไม่ไม่ไม่ เจ้าอย่าได้ทำกิริยาเยี่ยงนั้น” ผู้อาวุโสฮูเตี๋ยนได้ส่ายหัวไปมาในทันทีแล้วพูดต่อ “ข้า ฮูเตี๋ยน ไม่ใช่คนที่ไร้หลักการและเหตุผลเฉกเช่นใครบางคน หากว่าเจ้าไม่ตรวจสอบด้วยตนเอง เจ้าก็คงเชื่อได้อย่างไม่สนิทใจกระมัง”
“อีกอย่างคือข้าไม่ต้องการให้เจ้าเวรตะไลน้อยผู้นี้ต้องอาศัยอยู่กับเผ่าพันธุ์ของตนเองทั้งๆที่ถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธุ์อื่นแบบนี้ได้หรอกนะ จะดีกว่าหากมีคนที่น่านับถือมาตรวจสอบในเรื่องนี้”
“เฉินเฉียง เจ้าก็เห็นแล้วสินะว่าข้านั้นได้ผู้ทรงพลังมาอย่างมากมาย เจ้าเองก็คงวางใจได้แล้วกระมัง”
“อย่าได้กังวลไป หากมีใครคิดทำอะไรเกินเลยกับเจ้า ข้ารับรองว่า แม้แต่หมาแมวของหุบเขาแห่งนี้ก็จะไม่ได้คงอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป”
หลังจากที่เห็นท่าทางและรอยยิ้มที่ราวกับเอ็นดูลูกหลานที่ขวัญเสียนี้แล้ว กระนั้นหลิวชิงก็ไม่ได้มีท่าทีสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการทำตามคำพูดของฮูเตี๋ยนแม้แต่น้อย
ส่วนเฉินเฉียง เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วก็มีท่าทีวางใจในทันที
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าฮูเตี๋ยนผู้นี้ ทำไมถึงออกโรงมาช่วยเขา แต่เขาก็เชื่อมั่นได้ว่า หากฮูเตี๋ยนอยู่ที่นี่ ต่อให้เขาถ่มถุยใส่ฮั่นจุยตรงหน้าก็ยังไม่กล้าที่จะแข็งขืน
“ได้ครับ ข้านั้นให้ใครตรวจสอบก็ได้ยกเว้นฮั่นจุย”
เฉินเฉียงได้ชี้ไปที่ฮั่นจุยพร้อมกับสีหน้าและดวงตาที่ชิงชังอย่างที่สุดจนทุกคนเห็นได้ชัด
“ฮี่ฮี่ฮี่ อย่าได้กังวลไป ต่อให้เจ้าระยำนี่อยากแค่ไหน มันก็ไม่มีค่าคู่ควรในเรื่องนี้”
เมื่อพูดจบ ฮูเตี๋ยนก็ได้มองไปที่หลิวฉิงพร้อมรอยยิ้ม
“พี่หลิวฉิง ในเมื่อเจ้าออกมาแล้วก็คงต้องรบกวนให้ออกหน้าแทนผู้คนในเรื่องนี้หน่อยแล้วกัน แล้วหากเฉินเฉียงนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงล่ะก็ ตาแก่ฮูเตี๋ยนผู้นี้จะถอนกำลังกลับออกไปแล้วไม่คิดยุ่งเกี่ยวอีก เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร”
เพียงแค่ฮูเตี๋ยนอยู่ที่นี่ด้วยตนเองแล้ว หลิวฉิงต่อให้ไม่ต้องถามก็บอกได้ว่าเฉินเฉียงนั้นมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฮุยตู๋ขนาดไหน ไม่อย่างนั้นฮูเตี๋ยนคงไม่กล้าจะออกหน้าอันใหญ่โตของตนมาแบบนี้อย่างแน่นอน
แต่ในเมื่อฮูเตี๋ยนนั้นพูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้ไม่เห็นแก่ผู้ทรงพลังกว่าห้าร้อยตรงหน้า หลิวฉิงเองก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี เขาได้หันไปมองที่ฮั่นจุยอย่างเดือดดาลปราดหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองสี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์แล้วพูดออกมา “พวกเจ้าสี่คนมาที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วจัดการซะ”
“เอื๊อกก”
สี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ทำได้เพียงก้มน้ำก้มตาและสะดุ้งขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน
หากพวกเขารู้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะมีเบื้องหลังที่ทรงพลังขนาดนี้ พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ฮั่นจุยเป็นผู้จัดการเรื่องราวที่นี่แต่ต้นอย่างแน่นอน
และเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว สี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่นำโดยผู้อาวุโสจินก็ได้รวบรวมความกล้าเดินตรงมาที่หน้าเฉินเฉียง ก่อนจะวางมือและปล่อยพลังเพื่อดูดซับแผ่นแก่นพลังงาน
ห้ะ
ผู้อาวุโสจินสะดุ้งเฮือกในทันที พร้อมท่าทางที่ราวกับไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกมา
“……ระ…รายงานผู้อาวุโสสูงสุด….เฉินเฉียงเป็น….เป็นมนุษย์แบบพวกเราครับ”
“ไม่มีทาง เมื่อกี้มันก็แสดงออกมาต่อหน้าทุกคนอยู่แล้วว่ามันใช้พลังพันหน้าได้ ไหนจะปีกสีเงินคู่ใหญ่ยักษ์ของมันนั่นอีกล่ะ” ฮั่นจุยกระวีกระวาดออกมาในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ พร้อมปฏิเสธที่จะเชื่อ
ฮูเตี๋ยนเองเมื่ได้ยินแล้วก็เชิดหน้าจ้องมองไปยังฮั่นจุยด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย ก่อนที่เขานะจะดุด่าออกมา “ไอ้ตัวระยำ ใครสั่งใครสอนเจ้ากันห้ะว่ามนุษย์ไม่อาจใช้พลังเหนือมนุษย์ได้”
“แล้วที่ข้าผู้นี้นั้นใช้พลังพันหน้าไปเมื่อครู่นี้ แถมข้าผู้นี้ก็มีปีกสีเงินอีก เจ้าก็คิดว่าข้าผู้นี้ก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยอย่างนั้นรึ”
“ถ้าไอ้ตัวระยำเช่นเจ้านั้นมีความคิดที่ฝังหัวเฉกเช่นนี้ มานี่ ลองมาดูดหาแก่นแผ่นพลังงานในหัวพ่อคนนี้ดูสิว่าใช่มนุษย์กลายพันธุ์รึเปล่า”
“มาสิวะ ไอ้ตัวดักดาน พ่อคนนี้ล่ะอยากรู้จริงว่าตัวระยำเช่นเจ้านั้นจะดูดห่าเหวอะไรออกมาได้กัน”
เมื่อเห็นฮูเตี๋ยนก้มหัวของตนแล้วเดินตรงรี่เข้าไปหาฮั่นจุยแล้ว
ฮั่นจุยที่เห็นถึงกับต้องผงะ และถอยร่นไปหลบหลังหลิวฉิงในทันที
“ผู้อาวุโสฮูเตี๋ยนโปรดอย่าได้ขุ่นเคืองถือสาเด็กไปเลย เดี๋ยวข้าจะให้คนอื่นตรวจสอบดูเพื่อยืนยันเอง”
เมื่อพูดจบ หลิวฉิงได้ส่งสายตาที่ขุ่นเคืองไปให้ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์อีกสามคนเพื่อให้ทำการตรวจสอบต่อ
ไม่ต้องพูดอะไรอีกต่อไป ผลลัพธ์ของการตรวจสอบนั้นยังเหมือนเดิม เฉินเฉียงนั้นคือมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัยอีก
“เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้” ฮั่นจุยในตอนนี้ราวกับได้พบเจอกับปีศาจร้าย ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาก็ไม่เชื่อว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กัน ให้ตาแก่ผู้นี้ได้บอกกล่าวเจ้าไว้หน่อยแล้วกันว่าเฉินเฉียงของข้านั้นคือศิษย์ของตาแก่ฮูเตี๋ยนผู้นี้ และไอ้พลังเหนือมนุษย์พวกนั้นเป็นพ่อผู้นี้ถ่ายทอดให้กับเขา”
เมื่อสิ้นคำของฮูเตี๋ยนแล้ว ท่าทางของทุกคนที่มองเฉินเฉียงนั้นเปลี่ยนไปในทันที
แม้แต่เว่ยหยวนตี้เองนั้น ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเชื่อคำพูดของเฉินเฉียงแม้แต่น้อย แต่เมื่อฮูเตี๋ยนผู้ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญเหนือผู้ใดในโลกหล้าผู้นี้ประกาศออกมาด้วยตนเองแล้วนั้น กับเฉินเฉียงที่ทรงพลังเหนือผู้ใดในรุ่นเดียวกันนี้จึงไม่แปลกแต่อย่างใดอีก แถมดีไม่ดีเขาจะถูกถือว่าเป็นคนของฮุยตู๋ด้วยซ้ำ
เฉินเฉียงเองนั้นก็ไม่คิดว่าชายแก่คนนี้ไม่เพียงจะโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้มาช่วยเขาแล้ว เขานั้นยังช่วยมาล้างมลทินให้กับเขาเสียอีก
และนี่จะหมายความว่าเขานั้นจะสามารถใช้พลังเหนือมนุษย์ได้ตราบที่ใจต้องการ ไม่ต้องกลัวใครจะตราหน้าว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อีก
“พี่หลิวฉิงคงประจักษ์แล้วกระมัง”
“ศิษย์ของข้าผู้นี้เป็นมนุษย์ขนานแท้ ไม่อย่างนั้นเขาจะสร้างคุณประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างนับไม่ถ้วนไปทำซากอะไรกัน”
“แล้วดูสิว่าเผ่าพันธุ์นั้นปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงไร”
“ไม่เพียงจะออกหมายจับเจ้าเวรตะไลน้อยผู้นี้แล้ว พวกเจ้ายังกล้าแย่งชิงสาวน้อยของศิษย์ของข้าไปอย่างหน้าตาเฉย”
“เป็นเพียงไอ้เฒ่าที่ก้าวขาลงโลงไปครึ่งหนึ่งแล้วยังมีหน้ามาแต่งงานกับสาวน้อยผู้ซึ่งจะมีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีนั่นอีก”
“นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสผู้สูงส่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์พึงกระทำอย่างงั้นรึ ถุ้ย”
“ยัง ยังไม่พอ หลิวฉิง พ่อคนนี้ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า เจ้าอย่าได้คิดว่าจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ไปได้เป็นอันขาด”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ถึงเวลาปิดเขตแดนจักรพรรดิตามสัญญา ไอ้ตัวระยำฮั่นจุยที่พึ่งจะหน้าด้านเอาเรื่องที่ข้าเอาเรื่องข้อตกลงมาอ้างหาว่าผิดคำมั่น ทั้งๆที่มันนั้นเป็นตัวตั้งตัวตีในการเปิดเขตแดนรอบสองทั้งๆที่พึ่งจะปิดตัวลงโดยที่ยังไม่ข้ามวันดี”
“ถึงแม้ว่าชายแก่ผู้นี้เคยลั่นปากออกมาแล้วว่าจะเปิดเขตแดนในอีกห้าสิบปีข้างหน้าเพื่อเป็นการลงโทษก็ตาม”
“แต่ดูเหมือนว่าโทษทัณฑ์นั้นสมควรจะไม่เพียงพอกระมัง”
“ชายแก่ผู้นี้ถามจริงๆเหอะว่าเจ้านั้นให้ค่ากับไอ้ระยำฮั่นจุยผู้นี้ขนาดนั้นเลยงั้นรึ”
“หากเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ดี ชายแก่ผู้นี้ขอประกาศเอาไว้ในที่แห่งนี้ว่ามนุษย์สามารถเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิได้นั้นก็ต่อเมื่อผ่านไปอีกร้อยปีข้างหน้า”
“ส่วนในระหว่างนี้ ตอนที่เขตแดนจักรพรรดิได้เปิดตัวขึ้นมา ให้มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดเข้าไปประจำแทนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ไป”
หลิวฉิงที่ได้ยินก็หน้าซีดเผือดจนแทบจะทรุดลงเสียตรงนี้
“ฮั่นจุย ทำไมเจ้าไม่รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขตแดนจักรพรรดิให้ข้าได้รับรู้”
“แล้วพวกเจ้าสองคน ทำไมถึงช่วยปิดบังเรื่องของฮั่นจุยกัน ห้ะ”
“ดูเหมือนว่าคงถึงเวลาที่ข้าผู้นี้คงต้องปฏิรูปสภาสูงแล้วสินะ”
“ฮั่นจุย ดูเหมือนว่าสองปีมานี้เจ้าจะก่อเรื่องเอาไว้อย่างมากมายนัก ข้าคิดว่าสภาสูงแห่งนี้คงจะไม่อาจยกให้เจ้าดูแลได้อีก”
“นับจากวันนี้ เจ้า ตามข้ากลับไปหลังเขาแล้วทำการเก็บตนบ่มเพาะซะ แล้วอย่าได้ออกมาอีกเป็นเวลาร้อยปี”
“ว่าไงนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ฮั่นจุยถึงกับหน้าซีดเผือดในทันที
“ฮึ่ม”
เป็นตอนนี้ที่ฮั่นจุยแสดงออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะโจนทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วประดุจดั่งแสงของดาวหาง พุ่งตรงออกจากเขาโชวหยางไป
“หลิวฉิง ข้าทำงานอย่างหนักเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์มาครึ่งค่อนชีวิต แล้วเจ้ากลับจะคุมขังข้าเพียงเพราะไอ้เด็กเวรตัวหนึ่งเนี่ยนะ”
“ในวันนี้ ในเมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับทำกับข้าเยี่ยงนี้ ก็อย่าได้โทษที่ข้าจะนำพาเภทภัยมาให้พวกเจ้าก็แล้วกัน”
เสียงที่ดังมาจากที่ห่างไกลของฮั่นจุยนี้ทำให้ท่าทางของหลิวฉิงเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูนักในทันที
“เจ้าสอง เจ้าสาม ไปจับตัวฮั่นจุยมาให้ข้า”
“รับคำสั่ง”
เมื่อพูดจบ หลิวฉิงก็ได้หันไปพูดกับฮูเตี๋ยนด้วยท่าทางที่อับอายใจ “ท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน เรื่องราวที่น่าขบขันของเผ่าพันธุ์ของข้าในวันนี้ทำให้ข้าอับอายนัก ข้า….”
ฮูเตี๋ยนได้ยกมือขึ้นห้ามปรามแล้วพูดออกมา “พี่หลิวฉิง นี่เป็นเรื่องภายในของเผ่าพันธุ์ของเจ้า ข้านั้นขี้เกียจจะยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด”
“แต่ในเมื่อฮั่นจุยนั้น คิดคดทรยศต่อเผ่าพันธุ์ตนเองเช่นนี้ งั้นข้าจะถอนโทษที่เกี่ยวกับเขตแดนจักรพรรดิให้ก็แล้วกัน”
เพียงฮูเตี๋ยนได้พูดจบ เขาก็ได้เห็นผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสสามของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้กลับมาโดยไร้วี่แววของฮั่นจุย
“เรียนผู้อาวูโสสูงสุด ไม่เพียงฮั่นจุยมันจะลั่นวาจาว่าจะลงมือกับเผ่าพันธุ์ของตนแล้ว มันยังได้พุ่งตรงไปยังที่พักของผู้การสูงแห่งตึกจอมพลภาคกลาง และสังหารครอบครัวของผู้การสูงปันเหรินไปแล้ว”
“ว่าไงนะ”
ปันเหรินเมื่อได้ยินก็ทรุดลงไปกองกับพื้นในทันที ก่อนที่จะกรีดร้องออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุด ไอ้ลูกโสเภณีฮั่นจุยนั่นมันบ้าไปแล้ว ได้โปรด….ขอร้อง…ข้าขอร้อง โปรดล้างแค้นแทนผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ด้วยเถิด”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลิวฉิงที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์ก็โกรธจัดจนใบหน้ากลายเป็นสีน้ำเงิน เขาได้ออกคำสั่งออกมาในทันที “ผู้อาวุโสสูงที่อยู่ในระดับราชาจอมพลขั้นกลางขึ้นไปจงฟัง พวกเจ้าทั้งหมดต้องออกไปไล่ล่าฮั่นจุยมาให้จงได้ จะเป็นก็ได้ จะตายก็ยิ่งดี”