ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 291 ร่องรอยที่ผ่านมา
บทที่ 291 ร่องรอยที่ผ่านมา
หลังจากได้เห็นเหล่าผู้ทรงพลังแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทะยานขึ้นฟ้าออกไปเป็นทิวแถว ฮูเตี๋ยนก็ได้วาดมือออกไปและนำคนกว่าห้าร้อยของตนกลับเข้าไปยังโลกใบเล็กของตน
“พี่หลิวฉิง ฮูเตี๋ยนผู้นี้มาที่นี่เพียงเพื่อมาปกป้องศิษย์ของตน เฉินเฉียงผู้นี้เพียงเท่านั้น ไม่คิดฝันว่าจะกลายเป็นการทำให้ผู้อาวุโสอันสูงค่าของเผ่าพันธุ์ผู้หนึ่งต้องถูกตัดสินว่าคิดคดต่อเผ่าพันธุ์แบบนี้ โปรดอย่าได้ถือสาหาความข้าผู้นี้เลยแล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฮูเตี๋ยนแล้ว หลิวฉิงยิ่งรู้สึกอับอายเสียยิ่งกว่าเดิมในทันที เขาได้ป้องมือแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน มันความผิดของเผ่าพันธุ์ข้าตั้งแต่ต้น เป็นข้า หลิวฉิงต่างหากที่จัดการคนไม่ดี ก่อให้เกิดเลือดเสียจนกลายเป็นวายร้ายแบบฮั่นจุยขึ้นมา เป็นข้าผู้นี้ต่างหากที่ทำให้ศิษย์ของท่านต้องพบกับความอยุติธรรม”
“อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นคนของเผ่าพันธุ์ข้าอย่างแท้จริง ยังไม่รวมถึงผลงานต่างๆที่เขาได้สร้างเอาไว้หลังจากที่เข้าร่วมกับกองทัพ เขานั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยบุคคลที่หาได้อย่างยากยิ่ง”
หลังจากพูดจบ หลิวฉิงได้มองไปที่เฉินเฉียงพร้อมกับใช้ความคิดครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง ประกาศจับที่ฮั่นจุยได้ออกคำสั่งไปของเจ้ากับกองกำลังของเจ้านั้น ผู้อาวุโสคนนี้จะยกเลิกมันด้วยตัวเอง”
“ส่วนผลงานของเจ้าที่สร้างเอาไว้อย่างมากมายนั้น แม้เจ้าจะไม่อาจก้าวข้ามไปได้แม้แต่ระดับกึ่งราชาได้อีก แต่การได้เข้าไปอยู่ในตึกจอมพลนั้น ผู้อาวุโสผู้นี้คิดว่าน่าจะเพียงพอให้เจ้าพอใจ”
“ผู้การสูงฟางกง”
หลิวฉงได้หันไปมองผู้การสูงแห่งเขตกันหนันที่ยังคงทำความเคารพอยู่ “เฉินเฉียงนั้นแม้จะอยู่ในสังกัดตึกจอมพลเหมันต์จันทราของเจ้าอยู่แล้ว แต่ด้วยผลงานของเขานั้น ข้าว่าเจ้าคงพอหาตำแหน่งผู้การของตึกจอมพลให้กับเขาได้กระมัง”
ก่อนหน้านี้ที่ฮั่นจุยได้ยื่นมือเข้ามาทำร้ายเฉินเฉียงนั้น เขาแม้จะอยู่ในฐานะผู้การสูงแห่งตึกจอมพลกันหนัน แต่เรื่องราวก่อนหน้ากลับไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย หากเขารู้เรื่องก่อนหน้านี้ก็คงไม่ปล่อยคนของตนใช้อำนาจที่ตนมอบให้ โยกย้ายเอาเองตามใจชอบแบบนี้ ไม่สิ ต่อให้รู้เรื่อง เขาก็คงถูกบังคับให้ทำตามอยู่ดี
แต่ในตอนนี้แตกต่างกันไป จ้าวลี่ได้ตกตาย ฮั่นจุยคิดก่อกบฏ
เรื่องทั้งหมดนี้ หากเฉินเฉียงไม่ปรากฏก็คงจะไม่เกิดขึ้น
แต่ถึงจะเกิดขึ้นมาแล้ว ฟางกงนั้นก็ยังรู้สึกราวกับเข้าใจในตัวเฉินเฉียงเป็นอย่างดี จึงได้กล่าวออกมา
“รายงานผู้อาวุโส เขตกันหนันของข้านั้นมีตำแหน่งผู้การทั้งหมดเก้าตึก หากเฉินเฉียงต้องการตำแหน่งในตึกเหล่านั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ย่อมไม่ปฏิเสธ”
หลิวฉิงที่ได้ยินก็ยิ้มและพยักหน้ารับ “เฉินเฉียง เจ้าคิดว่ายังไง”
จนมาถึงตอนนี้ เฉินเฉียงนั้นยังคงรู้สึกราวกับร่วงหล่นอยู่ท่ามกลางผาสูงที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกอยู่รอบกาย ยังคงไม่ได้สติกลับมา
เขานั้นมาที่นี่มีเป้าหมายที่ชัดเจน
หนึ่งคือการมอบเม็ดยาเพื่อขัดขวางงานแต่งงานระหว่างฮั่นจุยและเว่ยฉิงเชิน ส่วนอีกหนึ่งคือการทำตามข้อตกลงที่ให้กับเว่ยหยวนตี้ เพื่อรับทราบความจริงในการตายของพ่อของตน
อย่างไรก็ตาม เขานั้นไม่คิดว่าเขาจะเผลอเผยตัวเองออกมาจนทำให้เรื่องราวเลยเถิดขนาดนี้
ดังคำกล่าวที่ว่าไม่รักและแค้นอย่างไร้เหตุผล
เขานั้นไม่แม้แต่รู้จักคนของฮุยตู๋เลยจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ แต่กระนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดขององค์กรอย่างฮูเตี๋ยนนั้นกลับรู้จักเขาราวกับรู้จักกันมาช้านาน นี่เขาถูกแอบติดตามอยู่รึไงกัน
ถึงแม้เขานั้นจะเคยบอกออกไปบ้างว่าเขานั้นมีอาจารย์ที่น่าจะมาจากองค์กรฮุยตู๋ต่อเว่ยหยวนตี้และราชาสวรรค์ก็ตาม
แต่ไม่มีทางเลยที่เว่ยหยวนตี้จะถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด เพราะหากเขาเชื่อเฉินเฉียงคงไม่ทำกับตัวเขาเฉกเช่นในตอนนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าเว่ยหยวนตี้ไม่เชื่อในคำของเขาแต่อย่างใด
ต้องเป็นราชาสวรรค์จัดการเรื่องนี้ให้เขาเป็นแน่
-หยานเสวี่ย ท่านราชาสวรรค์เป็นคนของฮัวตู๋รึ- เฉินเฉียงลอบถามหยานเสวี่ยผ่านทางจิตวิญญาณ
-ข้าไม่แน่ใจในเรื่องนี้เหมือนกัน-
ถึงแม้หยานเสวี่ยจะบอกว่าไม่แน่ใจ แต่เฉินเฉียงกลับรู้สึกว่ามันย่อมเป็นเช่นนั้น
การที่ฮูเตี๋ยนมาปรากฏตัวที่นี่ย่อมเกี่ยวข้องกับราชาสวรรค์
และเหตุผลที่ฮูเตี๋ยนยอมออกหน้ามาช่วยเขาโต้งๆแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลของเขตแดนจักรพรรดิ
และในตอนนี้ เมื่อนำองค์กรของฮัวตู๋มาเทียบกับสภาสูงนี้แล้วนั้น พวกเขาก็เปรียบได้ดั่งองค์กรหนึ่งที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ของตนไม่ให้ขาดจากองค์กรที่ใหญ่กว่า
และนั่นก็เป็นเพราะว่าทุกคนนั้นได้ประจักษ์ถึงความทรงพลังของฮุยตู๋แล้วนั่นเอง
เพียงแค่คนที่ฮูเตี๋ยนผู้นี้พามานั้นก็แข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์มารวมตัวกันซะอีก
แต่สิ่งที่ผู้คนนั้นตกตะลึงมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการที่ฮั่นจุย ผู้ที่เคยเป็นพลังให้กับสภาสูงภาคกลางนั้นกลับไม่ยอมรับโทษทัณฑ์จนประกาศตนเองว่าเป็นกบฏและก่ออาชญากรรมแรกให้ประจักษ์โดยการฆ่าล้างครอบครัวของผู้การสูงแห่งตึกจอมพลภาคกลางเช่นนี้ ยังไม่รวมถึงเรื่องการประกาศว่าจะนำพาเภทภัยมาให้เผ่าพันธุ์อีก
แต่มาถึงตอนนี้ ไม่เพียงสภาสูงภาคกลางนั้นจะอาสากู้ชื่อเสียงให้กับเฉินเฉียงและกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว สภาสูงยังให้เฉินเฉียงขึ้นเป็นผู้การสูงของตึกใดตึกหนึ่งแล้วแต่จะเลือก นี่เรียกได้ว่าเป็นเกียรติยศที่ยากจะได้รับเลยทีเดียว
ต้องรู้กันก่อนว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงเท่านั้น สำหรับผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้การสูงประจำตึกจอมพลได้นั้น ไม่เคยมีผู้ใดที่อยู่ในตำแหน่งนี้ได้โดยอยู่ในระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่ากึ่งราชามาก่อน
แต่การที่เป็นไปได้นี้ก็คงจะเพราะเหตุผลหนึ่ง
นั่นก็คือการที่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋อย่างฮูเตี๋ยนนั้นออกมายอมรับด้วยตัวเองว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นศิษย์ของตน เพียงแค่เรื่องนี้ ต่อให้เฉินเฉียงเป็นเพียงนายพลวิญญาณเพียงเท่านั้น เขาก็มีค่าพอที่จะเหยียบย่างเข้าสู่สภาสูงภาคกลางได้โดยไม่ใครกล้าคัดค้านเลยด้วยซ้ำ
หากจะถามว่าฮูเตี๋ยนนั้นคือใคร
เขาก็คือผู้อาวุโสสูงสุดของฮุยตู๋ ผู้อาวุโสขององค์กรลึกลับที่มีพลังยากที่จะหยังถึง
หากว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถสร้างสัมพันธ์อันดีกับฮุยตู๋ได้ผ่านทางเขาล่ะก็ เผ่าพันธ์ุมนุษย์จะมีเบื้องหลังที่ทรงพลังเหนือทั้งสามเผ่าพันธุ์
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่านั้นเป็นที่รับรู้กันว่า คือหนึ่งเดียวที่ได้ครอบครองความลับของเขตแดนจักรพรรดินั่นอีก
แล้วผู้นำของเผ่าพันธุ์เช่นหลิวฉิงจะยอมปล่อยให้เขารอดพ้นสายตาเกินระยะพันไมล์ไปได้เยี่ยงใด
ตราบใดที่เขานั้นยังเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลิวฉิงย่อมเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็ว ความลับของเขตแดนจักรพรรดิจะต้องตกอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน
และนี่จึงทำให้ เฉินเฉียงเลือกที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญนี้ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ หรือก็คือหลิวฉิงอย่างไม่อิดออด
“ข้าต้องขอขอบคุณเกี่ยวกับความเมตตาของท่านผู้อาวุโสสูงสุด”
“อย่างไรก็ตาม ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้เป็นเพียงนายพลวิญญาณผู้ต้อยต่ำ และข้านั้นได้ใช้การเผาผลาญแก่นสายเลือดไปแล้ว ทำให้ไม่อาจจะทะลวงข้ามขั้นการบ่มเพาะได้อีกไปชั่วชีวิต”
“เหตุผลที่ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้กล้ามาที่นี่ในวันนี้มีเพียงสองเหตุผลเท่านั้น”
“หนึ่งคือการทวงความยุติธรรมให้กับกองกำลังของข้า”
“ในเรื่องนี้ เมื่อท่านผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยปากที่จะจัดการเรื่องนี้ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ย่อมประทับใจในคำสั่งของท่าน และเชื่อว่ามันจะจบลงด้วยดี”
“ส่วนเรื่องที่สองนั้นเป็นเรื่องของฉิงเชิน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้เดินไปหาเว่ยฉิงเชินและจูงมือเธอมาอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสสูงสุด “ก่อนหน้านี้เว่ยหยวนตี้…ท่านเว่ยนั้นได้ถูกไล่ล่าโดยราชาสวรรค์ผู้ซึ่งเป็นราชาเหนือมนุษย์ จนทำให้เขานั้นถูกทำลายโลกใบเล็กลง และเป็นฮั่นจุยที่ใช้เม็ดยาโลกาหวนคืนเพียงบังคับฉิงเชินผู้นี้ให้แต่งงานด้วย”
“นี่ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่อาจทำใจยอมรับได้ และเมื่อได้ลองพยายามดูแล้วจนได้เม็ดยานี้มา ข้าจึงได้นำเม็ดยามาที่นี่เพื่อจะลองหยุดยั้งการแต่งงานนี้ดู”
“และเมื่อเรื่องทั้งสองที่คาใจอยู่นั้นได้ลุล่วงด้วยดีแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่ได้มีเรื่องค้างคาใจอีกต่อไป”
ฉิงเชินผู้ที่ถูกจูงมือมาโดยไม่ขัดขืนนั้น ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังพูดอยู่นี้ เธอก็ไม่ได้มีท่าทางกระด้างกระเดื่องแต่อย่างใด ออกจะชื่นใจของตนเสียด้วยซ้ำ
หลิวฉิงนั้นไม่คิดมาก่อนว่าเฉินเฉียงจะปฏิเสธโอกาสก้าวหน้าอันดีงามที่ตนเองเสนอ
ถึงแม้ว่าการเป็นผู้การตึกจอมพลสักตึกมันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากนัก แต่ตึกจอมพลที่อยู่ใต้อาณัติของสภาสูงภาคกลางเองก็มีอยู่เพียงแค่สี่สิบกว่าตึกเพียงเท่านั้น ยังไม่รวมถึงการที่ผู้การตึกเหล่านี้ยังมีเกณฑ์ขั้นต่ำที่ผู้จะดำรงตำแหน่งได้ต้องอยู่ในระดับกึ่งราชาเป็นอย่างน้อยนี่อีก
สำหรับคนทั่วไปแล้วเป็นสิ่งที่อย่าได้คิดฝันว่าจะได้ครอบครอง
แต่กับเฉินเฉียงนั้น เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาไหวติงแม้แต่น้อย
และก็เป็นไปอย่างที่เฉินเฉียงพูดไว้ ถึงแม้สิ่งที่หลิวฉิงกล่าวออกมานั้นจะเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์และเหล่านักรบสายเลือดต่างก็ถวิลหาก็ตาม ตัวเขานั้นเป็นเพียงผู้ที่แก่นสายเลือดเสียหายและไม่อาจที่จะบ่มเพาะได้อีก ต่อให้เขาดำรงอยู่ในตำแหน่งแต่ก็ไม่อาจได้รับความเชื่อใจจากคนอื่นได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลิวฉิงเองนั้นไม่มีทางเลือกอีกต่อไป เขาทำได้แต่เพียงคิดหาวิธีอื่นในการมัดพันให้เฉินเฉียงคงอยู่กับเผ่าพันธุ์เอาไว้ เพื่อให้ได้โอกาสที่จะได้รับความลับแห่งเขตแดนจักรพรรดิมาครอบครอง ยังไม่รวมถึงโอกาสที่จะได้สานสัมพันธไมตรีกับผู้อาวุโสสูงสุดของฮุยตู๋อย่างฮูเตี๋ยนอีก
เมื่อได้เห็นว่าเฉินเฉียงนั้นปฏิเสธโอกาสอันดีที่ตนเองมอบให้อย่างไม่แยแส หลิวฉิงก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาในทันที แต่เป็นตอนนี้เช่นกันที่เขาได้เห็นท่าทางเอียงอายของฉิงเชินแล้วก็ได้ทำให้เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาในทันใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี”
“เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้านั้นไม่คิดจะรับตำแหน่งผู้การตึกจอมพลก็ไม่เป็นไร ผู้อาวุโสผู้นี้ไม่บังคับเจ้า”
“แต่ในวันนี้นั้น เหล่านักรบที่ทรงพลังทั้งหลายมาที่นี่ในวันนี้ ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่มุ่งหวังมาเพื่อแสดงความยินดีกับงานแต่งงานของลูกสาวของเว่ยหยวนตี้”
“และด้วยความจริงที่เปิดเผยออกมานี้แล้ว ไอ้ตัวระยำตำบอนอย่างฮั่นจุยย่อมไม่คู่ควรกับฉิงเชินแต่อย่างใด”
“แต่ผู้อาวุโสคนนี้ก็ได้ยินมาบ้างแล้วว่าร่างกายของฉิงเชินนั้นเป็นร่างกายที่หาได้ยากยิ่งในเผ่าพันธุ์ของเรา ร่างกระจ่างจิต การบ่มเพาะของเธอนั้นจะไม่มีการติดขัดแต่อย่างใด”
“ในความเห็นของข้านั้น เฉินเฉียง เจ้ากับฉิงเชินนั้นก็ดูจะชอบพอกันไม่น้อย”
“ตราบใดที่พวกเจ้าทั้งสองไม่คัดค้าน ข้าว่าพวกเจ้าทั้งสองก็ควรจะแต่งงานกันในวันนี้ไปเลยแล้วกัน เว่ยหยวนตี้ เจ้าคิดว่ายังไง”
ให้ฉิงเชินกับเฉินเฉียงครองคู่กันงั้นรึ
หากไม่ใช่เพราะฮั่นจุยกบฏไปแล้ว เว่ยหยวนตี้ย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้…..
ไม่เพียงเฉินเฉียงจะพิสูจน์ตนเองได้แล้วว่าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ เขายังได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และฮุยตู๋ ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าเฉินเฉียงเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสุดของฮุยตู๋อย่างฮูเตี๋ยนอีก
นี่จึงไม่มีเหตุผลที่เว่ยหยวนตี้จะต้องปฏิเสธให้เสียโอกาสแต่อย่างใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ข้าขอบอกตามตรงเลยนะว่าหลานชายเฉินเฉียงผู้นี้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของพี่น้องสุดที่รักของข้าเฉินเทียนเว่ย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าข้ากับเขาเคยสู่ขอทั้งสองกันไว้ตั้งแต่ครั้งเก่าก่อนนั่นอีก”
“ในเมื่อชะตานำพอให้ทั้งสองมาพบกันได้อีกครั้ง นี่ก็ถือว่าเป็นบุญพาวาสนามีได้แล้ว ยังไม่รวมถึงที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดคิดจะจัดการเรื่องนี้ให้”
เว่ยหยวนตี้ได้แสดงความด้านหน้าของทนอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใดในทันที
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสิ่งรอบตัวเปลี่ยนไป เป็นธรรมดาที่คนเช่นนี้จะปรับตัวได้อย่างไม่ยากเย็น
อย่าว่าแต่เว่ยหยวนตี้เลย แม้แต่แขกเหรื่อทั้งหลายก็ไม่ต่างกัน
หากว่าฮั่นจุยยังเป็นใหญ่อยู่ในเผ่าพันธุ์ พวกเขาย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน มีหรือที่ทั้งสองจะได้ลงเอยกันด้วยดี
ก่อนหน้านี้แขกเหรื่อทั้งหลายต่างก็เปรียบเฉินเฉียงประดุจดั่งดินโคลนที่โสมม บางคนนั้นอาสาจะฉีกเฉินเฉียงเป็นพันๆชิ้นเพื่อที่จะได้รับสายสัมพันธ์อันดีกับฮั่นจุยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้มันได้แตกต่างไปแล้ว
นอกจากฮูเตี๋ยนและหลิวฉิงแล้ว เฉินเฉียงนั้นในตอนนี้ได้กลายเป็นที่สนใจของทุกคน
“น้องเฉินเฉียงนั้นเปรียบได้ดั่งโอรสสวรรค์ ย่อมคู่ควรกับนางฟ้าอย่างคุณหนูเว่ยอยู่แล้ว”
“ข้านั้นก็เห็นว่าทั้งสองคู่ควรกันมานานแล้ว สุดยอดนายพลอย่างน้องเฉินเฉียงย่อมคู่ควรกับอัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์อย่างคุณหนูเว่ยอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นไอ้แก่ตัณหากลับอย่างฮั่นจุยที่อายุอานามมากมายขนาดนั้นแล้วยังทำตัวราวกับกบที่อยากกินเนื้อหงส์ฟ้าอีก มันนี่ไม่นึกละอายใจเลยจริงๆ”
“พี่เฉินเฉียง ข้า หลี่เชิน ขออวยพรให้ท่านทั้งสองครองคู่กันร้อยปีพันปีไม่ให้รักเสื่อมคลายหรือแยกจากกันอีก”
เมื่อได้ยินเสียงของแขกเหรื่อที่ร่วมผสมโรงนี้ด้วยแล้ว หลิวฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่มออกมา “เฉินเฉียง เว่ยฉิงเชิน พวกเจ้าทั้งสองคิดว่ายังไง”
“แต่บอกไว้ก่อนนาว่าในวันนี้ไม่มีใครบังคับพวกเจ้าทั้งคู่ได้อีก หากเจ้าไม่ต้องการจะแต่งงานกัน ข้าจะทำเป็นไม่ได้พูดเรื่องนี้….”
“ไม่นะ ไม่ ข้า ยินดีที่….”
ยังไม่ทันที่หลิวฉิงจะได้พูดจบดี เว่ยฉิงเชินก็ได้กระโตกกระตากขึ้นมาอย่างเขินอาย
แต่ตอนที่เธอพูดออกมานี้ เธอเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ นั่นก็เพราะตอนนี้ทุกๆคนได้จ้องมองมาที่เธอ นี่ทำให้เธอถึงกับหน้าแดงฉาน
เฉินเฉียงที่กุมมือของเว่ยฉิงเชินไว้แน่น ก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์อย่างหลิวฉิงแล้วพูดออกมา “ข้า เฉินเฉียง ต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุดที่ให้โอกาสข้าในเรื่องนี้”
“แต่งานแต่งนี่มัน….ค่อนข้างจะกะทันหันเกินไปไม่ใช่หรือ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียง เจ้าจะคิดมากไปไย มันไม่ได้กะทันหันอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” เมื่อได้เห็นว่าวิธีการที่คิดใช้ผูกมัดเฉินเฉียงนี้มีท่าทางที่เขาจะยินดีรับ หลิวฉิงก็ได้หัวเราะออกมาอย่างดังลั่น เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว เรื่องที่ฮั่นจุยคิดคดต่อเผ่าพันธุ์นั้นไร้ค่าไปแทบจะในทันที
“เฉินเฉียง เจ้าเองก็บอกไม่ใช่เหรอว่าเจ้านั้นเผาผลาญแก่นสายเลือดไปจนไม่อาจบ่มเพาะได้อีกน่ะ”
“แต่หากเจ้านั้นได้ครองคู่กับฉิงเชินในวันนี้ นั่นมันก็เทียบได้กับเจ้านั้นเตรียมพร้อมที่จะบรรลุขั้นไปแล้ว”
“เจ้าอย่าได้หลงลืมไปว่าฉิงเชินนั้นมีร่างกระจ่างจิตและจนไม่มีการติดขัดในการบ่มเพาะน่ะ หากพวกเจ้าได้ครองเรือนกันในค่ำคืนนี้ล่ะก็ เจ้านั้นจะบรรลุขั้นได้อย่างไม่อยากเย็น”
“ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ท่านคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ”
เมื่อฮูเตี๋ยนได้ยินเรื่องร่างกระจ่างจิตนี้ก็มีดวงตาที่ลุกโชนแล้วพูดออกมาส่งเสริม “ถูกต้องแล้ว สิ่งที่พี่หลิวฉิงพูดนั้นช่างสมเหตุสมผลนัก”
“หลายร้อยปีก่อนนั้น มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่าชายหญิงที่แตกต่างกันนั้น เมื่อได้ครองคู่แล้วย่อมส่งเสริมกัน”
“ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าหากเจ้าได้ครองครู่กับเด็กนี่ อาการของเจ้าจะหายเป็นปลิดทิ้ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสทั้งสอง เว่ยฉิงเชินนั้นรู้สึกอับอายจนอยากจะกระโดดลงหลุมไหนสักหลุมเพื่อซ่อนตัว
ส่วนเฉินเฉียงเองก็เข้าใจในเรื่องนี้อย่างกระจ่างชัด
ความจริงแล้ววิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้เขาหวนคืนสู่การบ่มเพาะได้นั้นก็คือการที่เขาจะดูดซับซากร่างของสิ่งมีชีวิตระดับกึ่งราชาขึ้นไปเป็นอย่างน้อยเพิ่มระดับพลังสายเลือดของเขา
แต่คำพูดของหลิวฉิงนั้นก็ไม่ใช่จะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
หากว่าเขาได้ครองคู่กับฉิงเชินไปนั้นย่อมมีโอกาสที่เขาจะบรรลุข้ามขั้นได้จริง เขาเองก็ย่อมไม่ปฏิเสธโอกาสอันดีต่อหน้าเช่นนี้อยู่แล้ว
เฉินเฉียงได้หันไปมองสาวงามที่อยู่ข้างๆด้วยสายตาที่นิ่งลึก
ฉิงเชินในตอนนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาช้าๆจนได้สบตากัน
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง….”
แขกเหรื่อที่ในตอนนี้ต่างก็เชื่อมั่นว่างานแต่งในวันนี้ยังไงก็ต้องล้มเลิกเพราะฮั่นจุยคิดคดต่อเผ่าพันธุ์ ก็กลับกลายมาเป็นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง และต่างเข้าไปแสดงความยินดีกับเว่ยหยวนตี้เป็นการใหญ่
“ท่านเว่ย ขอแสดงความยินดีด้วย”
“ลูกเขยของท่านนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ไม่เพียงจะเป็นนักรบผู้กล้าแห่งเผ่าพันธุ์แล้ว เขายังเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋อีก”
“ในอนาคต ท่านเว่ยเองก็ย่อมมีอนาคตไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกัน”
“ฮี่ฮี่ฮี่ งั้นก็มาดื่มฉลองกันดีกว่า”
เว่ยหยวนตี้พูดออกมาพลางหูกระดิกยับ
ก่อนหน้านี้ ถึงแม้ฮั่นจุยจะหลบหนีไปได้ แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงนำเม็ดยาโลกาหวนคืนมามอบให้เขา อาการบาดเจ็บของเขาย่อมฟื้นคืนได้โดยเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เฉินเฉียงนั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับฮุยตู๋ ต่อให้เขามันมีฮั่นจุยคอยหนุนหลัง เว่ยหยวนตี้ก็ยังมีโอกาสได้อยู่สูงในเผ่าพันธุ์ได้อยู่ดี
“ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ในเมื่อศิษย์รักของท่านมีวันดีๆในวันนี้ ทำไมเราสองคนไม่ร่วมงานแต่งของเขาล่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ดี ถึงแม้เรื่องในตอนนี้จะกะทันหันไปหน่อย แต่ก็ต้องขอบคุณพี่หลิวฉิงเป็นธุระให้ในการแต่งงานทั้งสองล่ะนา”
ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองกำลังพูดคุยกันนั้น มีเสียงหนึ่งที่เงียบหายไปนานดังมาจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของเฉินเฉียง
“ไม่ได้ เฉินเฉียง เจ้าไม่สามารถแต่งกับเว่ยฉิงเชินได้”
ถึงแม้เสียงของนางจะไม่ได้ดังมาก แต่มันกลับสามารถฝังกลบเสียงจอแจโดยรอบได้ในทันที
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็จ้องมองไปที่เฉินเฉียง
คนที่หยุดเฉินเฉียงเอาไว้คือสาวงามที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเว่ยฉิงเชิน แม้แต่ระดับการบ่มเพาะก็ยังไม่ต่างกัน
นี่มันอะไรกันแน่
เธอผู้นี้เป็นใครกัน
หรือว่าเป็นผู้หญิงของเฉินเฉียงกัน
สิ่งนี้บังเกิดขึ้นในใจของทุกคน แม้แต่เว่ยฉิงเชินเองก็ไม่เว้น และนี่ทำให้เธอเองนั้นอดไม่ได้ที่จะมองเฉินเฉียง และหันกลับไปมองหญิงสาวผู้นี้ด้วยสายตาที่ริษยาเสียมิได้