ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 292 ความจริงในปีนั้น
บทที่ 292 ความจริงในปีนั้น
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้หันไปแล้วตวาดออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น “หยานเสวี่ย เจ้าพูดอะไรออกมากัน”
“หยานเสวี่ย…เหรอ พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่าน…หมายความว่านางคือองครักษ์หยาน”
ก่อนหน้านี้หยานเสวี่ยได้สวมชุดที่มีผ้าคลุมหน้ามาโดยตลอด แถมระดับพลังของเธอก็ต่างไปจากเดิมมากนัก นี่จึงไม่แปลกที่เว่ยฉิงเชินจะไม่อาจจดจำได้
และเพียงได้ยินสรรพนามที่เขาได้เรียกหยานเสวี่ยที่อยู่ข้างกายในตอนนี้ นี่ยิ่งทำให้เธอนั้นรู้สึกอิจฉาหญิงสาวมนุษย์กลายพันธุ์ผู้นี้เสียยิ่งกว่าเดิม และคิดไปว่าเธอนั้นงามกว่าเธอไปโดยพลัน
ผู้หญิงนั้นมักอ่อนไหวต่อเรื่องสายสัมพันธ์ของคนที่ตนรักต่อผู้หญิงคนอื่นอยู่เป็นนิจ
ด้วยการที่หยานเสวี่ยนั้นเปลี่ยนแปลงไปโดยการเลิกใส่ผ้าคลุมแล้วจนเผยให้เห็นใบหน้าที่งามงดที่ขนาดแม้แต่ผู้หญิงอย่างเว่ยฉิงเชินก็ยังอยากจะครอบครอง นับประสาอะไรกับคนธรรมดาเช่นเฉินเฉียง
เว่ยฉิงเชินนั้นรู้สึกว่าจิตใจตัวเองได้หวั่นไหวในทันทีเมื่อนึกถึงช่วงที่หยานเสวี่ยนั้นใช้เวลาร่วมกับเฉินเฉียงมาโดยตลอด
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่าน….มีความสัมพันธ์อย่างไรกับนางกัน ทำไมนางถึงคัดค้านการครองคู่ของพวกเรา”
“ฉิงเชิน ฟังข้าก่อนนะ” เฉินเฉียงในตอนนี้เองก็เริ่มร้อนรนไปโดยอัตโนมัติ และในขณะที่เขาจะหันไปบอกเว่ยฉิงเชินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ได้ยินเว่ยหยวนตี้ที่อยู่ไม่ไกลตะโกนออกมาอย่างดังลั่น “องครักษ์หยานเหรอ มันเป็นบอดี้การ์ดของราชาสวรรค์นี่ มันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”
เมื่อเห็นโอกาสที่เฉินเฉียงและเว่ยฉิงเชินนั้นจะได้ครองคู่กันตรงหน้า มีหรือที่คนอย่างเว่ยหยวนตี้จะให้คนอื่นยื่นมาเข้าสอด
แต่เดิม เขาเองก็จดจำไม่ได้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่เฉินเฉียงบอกตัวตนของหยานเสวี่ยออกไป และเมื่อเขาได้เห็นรูปลักษณ์ของหยานเสวี่ย นี่ถึงกับทำให้เว่ยหยวนตี้ถึงกับตั้งหัวใจสั่นกลัว
คงไม่ใช่ว่าหยานเสวี่ยนี่มัความสัมพันธ์พิเศษกับเฉินเฉียงหรอกนะ
และหากนับจากที่เฉินเฉียงพูดออกมาก่อนหน้านี้ว่าหยานเสวี่ยนั้นคอยตามเขาเพื่อปกป้องเขาเพียงเท่านั้น แต่ในตอนที่ฮั่นจุยลงมือกับเฉินเฉียง หยานเสวี่ยคนนี้กลับไม่แยแสต่อชีวิตตัวเองและนำร่างกายของตนไปบังการโจมตีให้กับเฉินเฉียง แม้แต่ในภายหลัง เฉินเฉียงจะเอาตัวกลับมาปกป้องหยานเสวี่ยเองอีก
ไม่ว่ามองยังไงก็ตาม ทุกๆคนเพียงแค่มองก็รับรู้ได้ว่าทั้งสองนี้มาสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แล้วเขาจะปล่อยให้หยานเสวี่ยมาล่มแผนการแต่งงานของลูกสาวของตนกับเฉินเฉียงได้เยี่ยงไร
และนี่จึงเป็นเหตุผลให้เว่ยหยวนตี้รีบบอกทุกคนเกี่ยวกับสถานะของหยวนเสวี่ย ว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์
เขาชื่อว่าด้วยสถานะของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์อย่างหลิวเฉิงนั้นย่อมไม่ยามให้มนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ตรงหน้าทำอะไรตามใจแล้วปล่อยให้รอดไปได้อย่างแน่นอน ไหนจะแขกเหรื่ออีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีหน้าตาแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์
และอย่างที่คาดเอาไว้ เพียงได้ยินคำพูดของเว่ยหยวนตี้ แขกเหรื่อทุกคนก็ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
“มนุษย์กลายพันธุ์ ผู้หญิงคนนี้คือมนุษย์กลายพันธุ์ อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เขาโชวหยางนั้นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา พวกเราจะปล่อยให้มนุษย์กลายพันธุ์มาหยามกันถึงถิ่นแบบนี้ไม่ได้”
“จริงด้วย ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หากเราปล่อยนางไป เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องเสียหน้าแน่ๆ รีบฆ่านางซะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันของผู้คนแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าพันธุ์อย่างหลิวฉิงนั้นถึงกับต้องแสดงสีหน้าที่มืดครึ้ม
ต่อให้หยานเสวี่ยไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ แต่เขาเองก็ไม่อาจไปให้เธอนั้นหลุดรอดไปได้โดยง่ายในวันนี้
หากเขาปล่อยเธอไว้ แล้วเขาจะจับคู่ให้กับเฉินเฉียงและเว่ยฉิงเชินง่ายๆได้ยังไง
ทั้งๆที่แผนการของเขาเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว การที่มีมนุษย์กลายพันธุ์ออกมาขัดขวางเอาไว้แบบนี้ มีหรือที่เขาจะทนได้
“ผู้อาวุโสฮูเตี๋ยน เขาโชวหยางในวันนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นจริงๆ ข้าเองต้องขายหน้าต่อท่านแล้ว”
“ก่อนที่จะจัดงานแต่งงานให้กับเฉินเฉียงและคุณหนูเว่ย ข้าเองคงต้องมีเรื่องที่ต้องจัดการเสียก่อน ขออภัยที่อาจจะทำให้ท่านเห็นภาพที่ไม่ควร”
เมื่อเห็นท่าทางที่เหี้ยมเกรียมที่แสดงออกมาจากสีหน้าของหลิวฉิงในตอนนี้ เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรนในทันที
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างที่หยานเสวี่ยนั้นขัดขวางงานแต่งของตนกับเว่ยฉิงเชิน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เขาปล่อยให้เธอต้องตกตายลงไป
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา แม้แต่เรื่องที่พึ่งจะเกิดขึ้น เขาไม่มีทางเลยที่จะปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับหยานเสวี่ย
ก่อนหน้านี้กว่าที่เขาจะมายืนตรงจุดนี้ได้ หยานเสวี่ยปกป้องชีวิตมากมายหลายครั้ง จนแทบจะไม่นึกถึงชีวิตของตนโดยไม่ลังเล แล้วเขาจะหลงลืมเรื่องเหล่านั้นไปได้อย่างไร
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลิวฉิงและฮูเตี๋ยนแล้ว ทั้งสองต่างก็อยู่ในระดับราชาจอมพลขั้นสูง ต่อให้เขายอมแลกชีวิตก็ไม่อาจจะหยุดหลิวฉิงให้ฆ่าฟันอย่างแน่นอน
เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงรีบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาฮูเตี๋ยนในทันที -ท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ได้โปรดช่วยหยานเสวี่ยด้วยเถิด หากท่านช่วยได้ผู้น้อยจะไม่ลืมพระคุณนี้ช่วยชีวิต-
ต่อให้เฉินเฉียงไม่ร้องขอต่อฮูเตี๋ยน แน่นอนว่าฮูเตี๋ยนย่อมไม่ปล่อยให้หลิวฉิงฆ่าหยานเสวี่ยอยู่แล้ว แต่เฉินเฉียงนั้นก็ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้แต่อย่างใด
นี่จึงทำให้เมื่อฮูเตี๋ยนได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงแล้ว ก็อดจะนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
-หรือไอ้เด็กนี่แท้จริงแล้วชอบหยานเสวี่ยกันหว่า-
-เฉินเฉียง เจ้านี่มันช่างมากรักนัก-
-นี่ขนาดจะได้แต่งงานกับดอกฟ้าอย่างคุณหนูเว่ยนั่นแล้วยังมามีหน้ามาห่วงสาวอื่นอย่างหยานเสวี่ยอีกรึนี่-
-แต่ก็เอาเถอะ ชายแก่คนนี้จะช่วยเจ้าก็ได้ แต่ก็อย่าได้หลงลืมไปว่าเจ้านั้นติดค้างชายแก่ผู้นี้ซะล่ะ-
เมื่อเห็นสายตาที่ราวกับจะหมางเมินของฮูเตี๋ยนแล้ว เฉินเฉียงก็ได้รับรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจเขาผิดอย่างจัง เขาจึงรีบกล่าวออกไป –ไม่ใช่อย่างนั้นท่านผู้อาวุโส ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น เพียงแต่ว่าหากนางตกตายไปอย่างนี้มันจะทำให้ข้าต้องเสียใจไปช่วยชีวิตเพียงเท่านั้น-
นึกไม่ถึงว่ายิ่งเขาพูด ฮูเตี๋ยนกับยิ่งหรี่ตามองเขาเขม็งยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางจะปฏิเสธคำขอ นี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง
ตราบใดที่ฮูเตี๋ยนออกหน้าช่วยเหลือ เขาเชื่อว่าหลิวฉิงต้องไว้หน้าเขาบ้าง….กระมัง
ฮูเตี๋ยนได้ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขัด “พี่หลิวฉิง วันดีๆเช่นนี้ไม่ควรจะมานั่งฆ่าฟันกันหรอกนา”
เมื่อได้เห็นท่าทางและได้ยินคำพูดนี้ของฮูเตี๋ยน หลิวฉิงก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวดแล้วถามออกมา “ทำไมท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนถึงคิดที่จะขัดข้ากันล่ะ”
“หุหุหุหุ พี่หลิวฉิง ก็จริงที่ข้านั้นได้เอ่ยปากไปว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวภายในของเผ่าพันธุ์”
“แต่ข้าเองก็เพียงคิดว่า หากท่านคิดจะฆ่าสาวน้อยสักคนต่อหน้าธารกำนัล ท่านก็ควรจะมีเหตุผลที่จะฆ่านางไม่ใช่รึไงกัน”
“เหตุผล หึหึหึ ไม่ใช่ว่าพี่ฮูนั้นก็ได้ยินอย่างแจ่มแจ้งไม่ใช่รึว่าสาวน้อยที่มีนามว่าหยานเสวี่ยผู้นี้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วนั่นยังไม่พออีกรึ”
“เป็นเพียงแค่มนุษย์กลายพันธุ์ตัวน้อย แต่กลับกล้ารุกล้ำเข้ามาถึงเขาโชวหยางแห่งนี้ หากข้าไม่ทำอะไร เกรงว่าเขาโชวหยางแห่งนี้ก็คงไม่ต้องมีก็ได้แล้วกระมัง”
“อืมมม ก็จริง ที่พี่หลิวฉิงพูดนั้น ข้าเองก็ไม่เถียงว่ามันนั้นถูกต้อง”
“แต่ก็อีกนั่นแหละ ข้านั้นล่ะสงสัยนักว่าทำไมเจ้านั้นถึงได้เชื่อเสียขนาดนั้นว่าสาวน้อยหยานเสวี่ยนางนี้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ได้เสียขนาดนั้น”
“จะบอกว่าเจ้าเชื่อคำพูดเดียวของไอ้เจ้าเว่ยหยวนตี้เนี่ยนะ”
“พี่หลิวฉิงหลงลืมไปรึเปล่าว่าไอ้เว่ยหยวนตี้ผู้นี้ก่อนหน้านี้ยังบอกกล่าวว่าเฉินเฉียงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อยู่เลย แล้วผลสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ”
“ข้าเองนั้นก็ไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายอะไรมากนัก แต่ในเมื่อนี่คือต่อหน้าธารกำนัล ข้าเองเพียงคิดว่าตัวท่านเองก็ควรจะทำให้มันกระจ่างชัดต่อหน้าทุกคนก่อนที่จะฆ่าใครไปหากคิดจะใช้เหตุผลนี้จริงๆ โดยเฉพาะกับสาวน้อยผู้งามงดเช่นนี้ยิ่งควรจะตรวจสอบให้มันกระจ่างชัดกว่าใคร”
และเมื่อพูดจบ ฮูเตี๋ยนก็ได้คว้าร่างของหยานเสวี่ยมาไว้ต่อหน้าของหลิวฉิงแล้วพูดออกมา “สาวน้อยหยานเสวี่ยเอ๋ยอย่าได้เกรงกลัวไป ข้าเชื่อว่าพี่หลิวฉิงผู้นี้ย่อมจะตรวจสอบให้กระจ่างชัดก่อนที่จะลงมืออย่างแน่นอน”
หยานเสวี่ยได้มองไปที่ฮูเตี๋ยนทีหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น ก่อนที่จะนั่งลงกับพื้น
“พี่หลิวฉิง โปรดตรวจสอบสาวน้อยผู้นี้ด้วยตัวเอง ให้มันรู้ชัดกันไปว่านางเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือไม่”
ถึงแม้หลิวฉิงและฮูเตี๋ยนนั้นจะมาจากฝักฝ่ายที่แตกต่างกัน แต่ดูจากท่าทางทั้งสองก็พอจะรับรู้ได้ว่าทั้งสองต่างก็รู้จักกันดีอยู่ไม่น้อย
และนี่ทำให้หลิวเฉียงรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าฮูเตี๋ยนมีประเด็นกับการกระทำของเขา ไม่เช่นนั้นฮูเตี๋ยนก็คงไม่ยกเรื่องนี้มาพูด โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนและต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้
เท่าที่ดูๆไปนี่ ดีไม่ดี แม้แต่หยานเสวี่ยที่อยู่ต่อหน้าเขาเองก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮูเตี๋ยนด้วยเสียกระมัง
และเมื่อเห็นท่าทางของฮูเตี๋ยนด้วยแล้ว เขาแทบจะเชื่อได้ในทันทีว่าหยานเสวี่ยนั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์จริงๆ
นี่ทำให้หลิวฉิงนั้นต้องเหลือบมองไปที่เว่ยหยวนตี้ เพื่อดูว่าเขานั้นมีท่าทางผิดแผกอย่างไรบ้างรึเปล่า
เพราะก่อนหน้านี้ ฮูเตี๋ยนได้เอ่ยคำที่แสดงออกมาว่า ก่อนหน้านี้เว่ยหยวนตี้ก็ได้กล่าวหาว่าเฉินเฉียงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์มาแล้ว และนี่ก็เป็นไปได้ว่าเว่ยหยวนตี้นั้นกล่าวหาหยานเสวี่ยว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลิวฉิงนั้นก็ไม่คิดมาก่อนว่าเว่ยหยวนตี้จะมีท่าทีที่ผิดแผลกไป
นั่นก็เพราะ เฉินเฉียงนั้นสามารถใช้พลังเหนือมนุษย์ได้ แต่ผลการตรวจสอบนั้นกับแสดงผลออกมาในทางตรงกันข้าม
แล้วในครั้งนี้ล่ะ
ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของทั้งสองคนนี้ เป็นไปได้มากที่นางเองก็จะเป็นศิษย์อีกคนของฮุยตู๋
แล้วหากว่าผลที่ออกมานั้นผิดพลาดจริง เว่ยหยวนตี้ต้องเสียหน้าอย่างที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เว่ยหยวนตี้เริ่มที่จะไม่แน่ใจ
และเมื่อเห็นท่าทางของเว่ยหยวนตี้นี้แล้ว หลิวฉิงเองก็เชื่อได้ในทันทีว่าเว่ยหยวนตี้นั้นสักแต่จะพูด
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเริ่องออกมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็คงจะทำได้เพียงลงมือตรวจสอบเพียงเท่านั้น เพราะ ระหว่างชื่อเสียงของนายพลที่พร่ำพ่นโดยไม่มีหลักฐาน กับผู้อาวุโสสูงแห่งเผ่าพันธุ์ เขาย่อมต้องรักษาชื่อเสียงของตนเองไว้ก่อน
และหลังจากได้วางมือบนหัวของหยานเสวี่ยแล้วทำการปล่อยคลื่นพลังงานออกมา เขาก็ไม่พบแผ่นแก่นพลังงานเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขารีบสงบใจลงแล้วพูดกับฮูเตี๋ยนในทันที “ขอบคุณพี่ฮูนักที่ช่วยเตือนข้าในวันนี้ ไม่เช่นนั้นข้าเองก็คงจะได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผลไปแล้ว”
เมื่อรับรู้ว่าหยานเสวี่ยไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ นี่ทำให้หลิวฉิงนั้นทำได้เพียงไม่ใส่ใจหยานเสวี่ยได้เพียงเท่านั้น
“เป็นไปได้ยังไงกัน” เว่ยหยวนตี้ก้มหัวลงในทันทีพร้อมกับพูดออกมาเบาๆ พร้อมจิตใจที่ว้าวุ่น
แม้แต่ฉิงเชินที่อยู่ข้างกายเฉินเฉียงก็ยังรู้สึกตกตะลึงในเรื่องนี้
เธอนึกไปถึงว่าก่อนหน้านี้เฉินเฉียงแม้จะไม่ได้ปิดบังว่าหยานเสวี่ยนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่ในตอนนี้ ผู้อาวุโสหลิวฉิงยังบอกมากับปากว่านางเองไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์
เป็นไปได้ว่า……
ฉิงเชินได้มองไปที่ฮูเตี๋ยนราวกับจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
เป็นไปได้ว่าฮูเตี๋ยนนั้นอาจจะบังคับผู้อาวูโสของสูงสุดอย่างหลิวฉิงไม่ให้นางต้องยุ่งยากรึเปล่านะ
หลังจากเห็นหยานเสวี่ยรอดพ้นจากอันตราย เฉินเฉียงก็ได้แอบกระซิบคุยกับเธอด้วยเสียงอันเบา “หยานเสวี่ย จะดีกว่านะหากเจ้าไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ นี่มันเรื่องส่วนตัวของข้านา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยานเสวี่ยก็ได้ของขึ้นจนพูดสวนกลับไปในทันที “เฉินเฉียง นี่เจ้าคิดว่าข้าอยากจะยุ่งกับเจ้ามากรึไงกัน”
“ข้าแค่ไม่อยากจะให้เจ้าต้องมานั่งนึกเสียใจในภายหลังเท่านั้น”
“นึกเสียใจ ฮี่ฮี่ฮี่” เฉินเฉียงยิ้มกริ่มในทันที “ฉิงเชินกับข้านั้นรักกันได้ แล้วข้าจะต้องนึกเสียใจด้วยเหตุผลอันใดกัน”
ฉิงเชินที่อยู่ข้างๆเองเมื่อได้ยินแล้วก็ราวกับพึ่งจะเคยได้ยินความในใจของเฉินเฉียงออกมาเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว
และนี่ยิ่งทำให้เธอถึงกับคิดหนักกว่าเดิม เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม เธอก็ยังมองว่าหยานเสวี่ยงามงดกว่าเธอ แล้วพี่ใหญ่ของเธอจะไม่ไปมีความรู้สึกดีๆกับนางได้ยังไง
เฉินเฉียงเองก็คิดว่าหยานเสวี่ยนั้นจะเลิกราเพราะเขาพูดออกไปแบบนี้กับปาก
แต่เขากลับต้องประหลาดใจที่เห็นหยานเสวี่ยจ้องมองเขาอย่างดูแคลนแล้วสบถออกมา “หึ เฉินเฉียง แต่เดิมข้าก็นึกว่าเจ้านั้นเป็นชายที่ท้าทายได้แม้แต่สวรรค์ ดำดิ่งได้แม้แต่ใต้ปฐพี เพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของตน แต่ดูเหมือนว่าข้าคนนี้จะเข้าใจผิดไปและได้รู้จักเจ้าอย่างกระจ่างชัดก็วันนี้”
“ก่อนหน้านี้ที่เจ้านั้นเพื่อที่จะได้เม็ดยาโลกาหวนคืนโลกามาจนอุตส่าห์ดำดิ่งลงไปก้นสมุทรแห่งคาบสมุทรมังกรซ่อนเพื่อเก็บดอกไม้ร้อยสีสันแม้แต่ชีวิตของเจ้าก็ยินยอมที่จะเสี่ยง”
“นั่นเจ้าทำไปเพียงเพื่อช่วยเด็กนี่ที่เจ้ารักใคร่เสียมากว่ากระมัง”
“ในตอนนั้นเจ้าลั่นปากออกมาว่าเจ้าจะใช้เม็ดยาเพื่อช่วยเว่ยหยวนตี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความจริงในการตายของพ่อรึอย่างไร”
“นี่เจ้าหลงลืมเป้าหมายที่แท้จริงของตนเพียงเพราะโดนสาวสวยกอดรัดเนี่ยนะ ไอ้จ๊าดง่าว”
เมื่อได้ยินหยานเสวี่ยพูดออกมาขนาดนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่เฉินเฉียงจะจดจำเป้าหมายหลักที่เขามาที่นี่ได้ในทันที
“ลุงเว่ย ในเมื่อท่านก็ได้ยาไปแล้ว คงถึงเวลาที่ท่านจะบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อข้าได้แล้วสินะ”
“ห้ะ อ่า…เรื่องนี้…..”
หัวใจของเว่ยหยวนตี้ถึงกับกระตุกขึ้นมาในทันที พร้อมใบหน้าที่เปลี่ยนไป
“หลานชาย ข้าว่า…..ในเมื่อวันนี้เป็นวันดีแล้ว…..เอาเป็นหลังจากจัดงานของเจ้ากับฉิงเชินแล้ว เรื่องของเจ้าข้าเองจะบอกในภายหลังจะดีกว่านา….”
เฉินเฉียงที่เห็นท่าทางอันแปลกประหลาดของเว่ยหยวนตี้แล้วก็รับรู้ได้ในทันทีว่าการตายของเขานั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ได้บอกเล่ากัน
“ลุงเว่ย สิ่งที่หยานเสวี่ยได้พูดออกมานั้นถูกต้องแล้ว หากข้าไม่ได้แก้แค้นให้พ่อของข้า แล้วข้า เฉินเฉียงผู้นี้จะไปแต่งงานอยู่กินอย่างสุขสบายได้เยี่ยงไร กับเรื่องนี้ ข้าว่าท่านบอกความจริงมาเสียดีกว่า”
แม้แต่เว่ยฉิงเชินเองก็ยังพูดกดดันออกมา “นั่นสิคะท่านพ่อ ในเมื่อท่านพ่อรู้ว่าลุงเฉินตกตายได้ยังไง ท่านก็ควรบอกพี่ใหญ่เฉินเฉียงไปซะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พี่ใหญ่เฉินเฉียงก็คงเป็นกังวลจนไม่อาจแต่งงานกับลูกสาวของท่านได้อย่างไม่สบายใจได้”
เพียงคำพูดไม่กี่คำของหยานเสวี่ย ได้ทำให้งานสมรสที่น่าจะราบรื่นกลายเป็นระทมในทันใด
ภายนอกเขตแดนใต้อาณัติของตึกจอมพลแห่งกันหนันนั้น มีเพียงไม่กี่คนนักที่จะรู้จักเฉินเทียนเว่ย
อย่างไรก็ตาม มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดนึก เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาอยากจะกินสิ่งใด พวกเขาก็จะหามากินให้จงได้ เฉกเช่นเดียวกับข่าวลือ ต่อให้ไม่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อได้ยินก็ที่จะอยากรับรู้ให้ได้เช่นเดียวกัน
และนี่เองก็ทำให้แขกเหรื่อทุกคนในที่นี้จ้องมองไปยังเว่ยหยวนตี้ ราวกับจะเค้นคอให้เขาพูดออกมาเสียให้ได้ในตอนนี้
จะมีก็เพียงสองคนเท่านั้นที่มีท่าทางที่แตกต่างออกไป
หนึ่งคือหยานเสวี่ยที่กำลังมองเว่ยหยวนตี้ด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา
อีกหนึ่งฮูเตี๋ยน
นั่นก็เพราะ ในทันทีที่หยานเสวี่ยเอ่ยเรื่องการแก้แค้นให้กับพ่อของตนของเฉินเฉียงขึ้นมานั้น ฮูเตี๋ยนก็เมินหน้านี้ราวกับไม่ได้รับรู้เห็นเหตุการณ์แต่อย่างใด
แต่ก็ไม่มีใครที่รับรู้ถึงท่าทางนี้ได้เลยสักคนเดียว
และเมื่อเว่ยหยวนตี้ เห็นทุกคนจับจ้องมาที่ตน ทำให้เขาพูดออกมาประโยคหนึ่ง “หลานชาย ความจริงแล้วเจ้าเองก็น่าจะได้ฟังมาบ้างแล้วนา”
“เรื่องที่ว่าพ่อของเจ้าผู้ซึ่งเป็นพี่น้องอันดีของข้านั้นได้ตกตายโดยมนุษย์กลายพันธุ์เมื่อยี่สิบสามปีก่อนเพื่อช่วยข้า”
“ส่วนมนุษย์กลายพันธุ์ที่ฆ่าพ่อเจ้านั้น เพราะตอนนั้นมันฉุกละหุกและข้าได้ล่วงเลยไปไกลแล้ว ทำให้ข้าเห็นได้ไม่ชัดนัก”
“ข้าจดจำได้เพียงว่ามันผู้นั้นมีปีกสีเงินที่เล็กกว่าเจ้าเล็กน้อย และระดับการบ่มเพาะของมันอยู่ในระดับกึ่งราชาเพียงเท่านั้น”
“ข้าเชื่อว่าด้วยเวลาที่ล่วงเลยมานานหลายปีนี้ มนุษย์กลายพันธุ์อาจจะไปถึงระดับราชาพลังพิเศษแล้วก็ได้ ใช่ไหมล่ะ”
“หลานชาย เอาอย่างนี้ดีกว่า ในเมื่อตัวเจ้ายังมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำต้อย เจ้าเองหากจะแก้แค้นก็สมควรจะอยู่ในระดับราชาให้ได้เป็นอย่างน้อยนะ”
“ข้าว่าเราค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลังหลังจากที่เจ้าบรรลุเข้าสู่ระดับราชาขุนพลได้ก่อนก็แล้วกัน”
เว่ยหยวนตี้หลังจากพูดออกมาเสร็จแล้วนั้น เขาก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างมาก ทำให้ทุกคนนั้นต่างพากันคิดไปว่า เขานั้นเป็นพี่น้องอันดียิ่งกับเฉินเทียนเว่ยที่ถูกกล่าวถึง
อย่างไรก็ตาม เพียงเว่ยหยวนตี้ได้พูดจบลง หยานเสวี่ยได้กล่าวออกมา ก่อนที่จะชี้หน้าไปยังเว่ยหยวนตี้ และตะคอกออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “เว่ยหยวนตี้ ไอ้ตัวหน้าด้านไร้ยางอาย(โกหกหน้าด้านๆ)”
หลังจากนั้น หยานเสวี่ยได้หันไปหาเฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “ เฉินเฉียง ที่ข้าออกมาหยุดงานแต่งระหว่างเจ้ากับลูกสาวของไอ้ตัวหน้าด้านนี้ไว้นั้น เป็นเพราะข้าไม่อยากจะให้เจ้านั้นต้องมานั่งยากลำบากในการตัดสินใจในอนาคต”
“หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายจริง เจ้าเองก็คงไม่อยากจะไปแต่งงานกับลูกสาวของศัตรูผู้ฆ่าพ่อของเจ้าหรอกกระมัง”
“เพราะในวันนั้น คนที่มีส่วนรู้เห็นกับการตายของพ่อเจ้านั้นก็คือไอ้ตัวด้านหน้าเว่ยหยวนตี้คนนี้แหละ”
“………….”
เมื่อสิ้นคำของหยานเสวี่ย ผู้คนที่อยู่โดยรอบเงียบกริบ ก่อนที่จะพูดซุบซิบนินทากันอย่างขนัดหู
“เป็นไปได้ยังไงกัน ไม่ใช่ว่าผู้การเว่ยนั้นเป็นพี่น้องอันดีกับเฉินเทียนเว่ยไม่ใช่เหรอ”
“ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่นา อย่างไรก็ตาม ข้านั้นอดจะเสียดายแทนเฉินเฉียงกับคุณหนูเว่ยเสียมิได้เลยจริง ดูเหมือนว่างานแต่งที่หวังนั้นจะไม่ได้แต่งกันแล้วเสียกระมัง”
ในตอนนี้ เว่ยฉิงเชินที่อยู่ข้างๆเฉินเฉียงนั้นได้รีบพูดออกมา “พี่สาวหยานเสวี่ย ท่านใส่ร้ายพ่อของข้า”
“นับแต่ที่ข้ารู้ความ ท่านพ่อของข้าก็พร่ำบอกมาเสมอว่าลุงเฉินเทียนเว่ยนั้นช่วยชีวิตท่านเอาไว้”
“ข้าว่าที่ท่านพูดออกมาแบบนี้เป็นเพราะท่านไม่อยากจะให้พี่ใหญ่เฉินเฉียงของข้าแต่งงานกับข้าเสียมากกว่า”
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านคงไม่คิดที่จะเชื่อคำพูดของผู้หญิง……พี่ใหญ่เฉิน….”
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง พี่ใหญ่เฉินเฉียง….”
ในตอนนี้มีเพียงเว่ยฉิงเชินเท่นั้นที่รับรู้ว่า เฉินเฉียงผู้ยืนอยู่ข้างๆเธอนั้นมีท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไป แม้เขาในตอนนี้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขากับจ้องมองไปที่เว่ยหยวนตี้อย่างเขม็ง
คำพูดของหยานเสวี่ยทำให้เขานั้นถึงกับต้องตกตะลึง
พ่อของเขาตกตายในเงื้อมมือของเว่ยหยวนตี้อย่างนั้นรึ
เป็นไป….ไม่ได้……น่า