ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 295 ฮั่นจุยเข้าร่วม
บทที่ 295 ฮั่นจุยเข้าร่วม
ท่ามกลางความมีชีวิตชีวาของอาณานิคมเขาหมางนี้ ผู้บัญชาการหลิงเว่ยได้พูดออกมา “น้องเฉินเฉียง ในฐานะที่เจ้านั้นเป็นนักรบผู้กล้าของอาณานิคมเขาหมางของเรานั้น แต่เดิม ข้าเองก็คิดจะเลือกเฟ้นสิบสาวงามให้กับเจ้าเพื่อเป็นภรรยาไว้คอยปฏิบัติดูแลเจ้ายามที่เจ้าได้อาศัยอยู่ที่อาณานิคมเขาหมางแห่งนี้”
“แต่ไม่นึกว่าสาวน้อยผู้มีความสามารถที่ลึกล้ำอย่างคุณหนูเว่ยจะมาเยือนถึงหน้าประตูบ้านด้วยตัวเองแบบนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าสองคนนี่น่าจะเป็นคู่บุพเพกันซะล่ะมั้งเนี่ย”
“ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ข้าว่าจัดงานแต่งกันเสียวันพรุ่งนี้เลยเนี่ยแหละ เจ้าคิดว่ายังไง”
ท่ามกลางผู้คนและพี่น้องของตนที่กำลังดูมีชีวิตชีวาอยู่นี้ เฉินเฉียงในตอนนี้พยายามสะกดข่มความรู้สึกไม่ยินดีและแรงกดดันทางใจไป พลางกุมมือน้อยๆของฉิงเชินเอาไว้และมองหน้ากันประดุจคู่รัก
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ข้าเองก็รอวันนี้มานานนัก”
-เจ้าก็รู้ไม่ใช่รึว่าตนเองไม่สมควรจะแต่งงานกับนางน่ะ-
“ในวันพรุ่งนี้ ยามที่เราแต่งงานกันแล้ว ข้าว่าเราน่าจะกลับไปสภาสูงภาคกลางแล้วบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อนะ”
เฉินเฉียงที่ในตอนนี้ได้บังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในใจก็ทำได้เพียงยิ้มแหยๆออกไปเพียงเท่านั้นเมื่อได้ยิน
เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงในตอนนี้ นี่ทำให้เว่ยฉิงเชินอดได้ที่จะถามออกมา “ทำไมล่ะ พี่ใหญ่เฉินเฉียงไม่อยากไปที่นั่นหรือ”
“หรือว่าท่านยังคิดถึงองครักษ์หยานอยู่กัน”
เว่ยฉิงเชินนั้นได้พูดออกมาอย่างอิจฉาเมื่อกล่าวถึงหยานเสวี่ย จางหยวนและพวกเองที่ได้เห็นใบหน้าของหยานเสวี่ยมาแล้วก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าทั้งสองต่างก็เป็นสาวงามทั้งคู่ พวกเขาจึงได้ส่งสายตาไปยังเฉินเฉียงด้วยท่าทีแปลกพิกล
คงไม่ใช่ว่ากัปตันจะตั้งเป้าในการเพิ่มจำนวนเผ่าพันธุ์หรอกนะ
“ฉิงเชิน เจ้าก็ควรจะรู้นะว่าข้าไม่ได้คิดเยี่ยงนั้น”
“ในครั้งนี้ ข้าเองก็พึ่งจะกลับจากเกาะเทียนลี่มา และยื่นคำขาดไม่ให้หยานเสวี่ยนั้นตามข้ามาอีกนับจากนี้ไปในอนาคต”
“ถ้าอย่างนั้น หลังจากพวกเราแต่งงานกันวันพรุ่งนี้ พวกเราก็กลับไปยังตึกจอมพลภาคกลางกันได้แล้วสิ”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิงนั้นได้บอกเอาไว้ว่าหลังจากพวกเราได้ร่วมหอกันแล้วและผลกระทบที่ท่านได้รับจากการเผาผลาญแก่นสายเลือดหายไปจนหมดสิ้น ท่านเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการบ่มเพาะอีก ไม่สิ แม้แต่การทะลวงขั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอีกเลยแม้แต่น้อย”
“ไม่ ฉิงเชิน ข้านั้นกลับไปกับเจ้าที่นั่นไม่ได้”
เฉินเฉียงในตอนนี้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่อยากจะเอ่ย “เว่ยหยวนตี้กับข้านั้นยังคงมีหนี้เลือดกันอยู่ หากข้าไปเห็นเขาอีกครั้งโดยทุกอย่างยังไม่กระจ่าง ข้าเกรงว่าข้าจะยั้งใจให้ฆ่าพ่อของเจ้าไม่อยู่อีกต่อไป ไม่พ่อของเจ้าก็เป็นข้าที่ต้องตายไปกันข้างหนึ่ง”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ใบหน้าของเว่ยฉิงเชินได้ซีดเผือด หลังจากนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เธอก็ได้พูดออกมาด้วยปากที่สั่นเครือว่า “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ทำไมท่านถึงได้เชื่อคำพูดขององครักษ์หยานนัก”
“พ่อของข้านั้นกล่าวคำมั่นต่อหน้าท่านผู้อาวุโสสูงสุดออกมาเลยนะว่าเขานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของลุงเทียนเว่ยน่ะ”
“แล้วท่านจะลืมความแค้นของคนรุ่นก่อนแล้วมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกับข้าไม่ได้เลยเหรอ”
“ฉิงเชิน ความแค้นของผู้เป็นพ่อ ลูกชายย่อมต้องสานต่อ”
“และเจ้าเองก็เป็นลูกสาวของเว่ยหยวนตี้ เป็นธรรมดาที่เจ้าต้องเชื่อคำ”
“แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น การแสดงออกของพ่อของเจ้าที่มากมายทำให้ข้าเห็นถึงตัวตนของพ่อเจ้า”
“แล้วก็นะ ย้อนกลับไปที่ตอนหยานเสวี่ยเปิดโปงคำโกหกของพ่อของเจ้า เจ้าไม่เห็นเหรอว่าเขานั้นมีท่าทางตื่นตระหนกขนาดไหน”
“แต่ก็อีกล่ะนะ สำหรับใจเจ้าแล้ว เจ้าก็ย่อมต้องการเชื่อว่าพ่อของเจ้านั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์เหนือผู้คนในโลกหล้าก็ไม่แปลก”
“แต่ข้าว่าในใจท่านนั้นไม่คิดว่าพ่อของข้าจะเป็นผู้บริสุทธิ์เลยเสียมากกว่า”
“ท้ายที่สุดแล้ว ท่านก็ยังเชื่อคำของหยานเสวี่ยอยู่ดีนั่นแหละ”
หลังจากเว่ยชิงเฉินตะคอกสวนออกไปสองประโยค ดวงตาของเธอก็เปียกชื้น ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านคิดว่าการตัดสินใจของท่านนั้นดีต่อข้าแล้วงั้นเหรอ”
“ท่านอย่าเป็นศัตรูกับพ่อของข้าเลยนะ”
“ท่านไม่อยากอยู่ร่วมกับข้าแล้วเหรอ”
“ท่านไม่ต้องการรักษาอาการของท่านแล้วรึไงกัน”
“…..ฉิงเชินข้าขอโทษ”
“ข้านั้นรักเจ้าด้วยใจจริง”
“แต่ข้าเองก็ไม่อาจจะละวางความแค้นนี้ได้เช่นกัน”
“หากว่าเจ้านั้นอยากให้ข้ามีความสุขและอยากจะช่วยข้ารักษาผลข้างเคียงจากการเผาแก่นสายเลือดจริง เจ้าก็จงลืมพ่อของเจ้าไปซะ”
“หากว่าเว่ยหยวนตี้ไม่ตกตาย ข้าคงไม่อาจจะนานตายตาหลับ”
“แต่เขาเป็นพ่อของข้านะ”
เว่ยฉิงเชินในตอนนี้ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป เธอมองไปที่เฉินเฉียงอย่างไม่รู้จะทำยังไง
ท่าทางของเฉินเฉียงเองนั้นยังคงหนักแน่นเฉกเช่นเดิม
ถึงแม้เขานั้นอยากจะครอบครองเว่ยฉิงเชินขนาดไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจให้อภัยเว่ยหยวนตี้ได้จริงๆ
หากพูดตามตรงแล้ว เฉินเทียนเว่ยนั้นไม่ใช่สิ่งใดที่เขาต้องสนใจเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินเฉียงนั้นได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้จนกลายเป็นเจ้าของร่างไปแล้ว อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะตอบแทนให้กับเจ้าของร่างเดิมอย่างสุดความสามารถเท่าที่เขาจะทำได้
และหากไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้ เขาเองก็คงจะยอมแต่งกับเว่ยฉิงเชินตั้งแต่ในวันนั้นแล้ว
“พี่ใหญ่…เฉินเฉียง…”
เว่ยฉิงเชินได้เม้มปากของตนพร้อมกับปาดน้ำตาที่ไหลริน ก่อนที่จะหันหลังวิ่งออกไปด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
ฉากนี้ทำให้ทุกคนในห้องต่างก็ประหลาดใจกันไปหมด
จางหยวนและคนอื่นๆนั้นรับรู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของเว่ยหยวนตี้มานานแล้ว
แต่พวกเขานั้นไม่คิดมากก่อนว่าเว่ยหยวนตี้นั้นจะเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อของเฉินเฉียง ผู้การเฉินเทียนเว่ย
หากว่าไม่ใช่คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางมาก่อน แล้วมาได้ยินคำพูดนี้ล่ะก็พวกเขาเองก็คงจะไม่เชื่อเฉินเฉียงเหมือนกัน
และหากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ การที่ฉิงเชินนั้นมาที่นี่ในวันนี้ก็เป็นเพียงการใช้การแต่งงานของตนกับเฉินเฉียงในการลบล้างความแค้นในใจไม่ใช่เหรอ
นี่เธอไม่รู้รึไงว่าใครก็ตามที่ยอมรับข้อเสนอนี้ล้วนแล้วต่อจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ในภาคหน้าทั้งนั้นไม่ใช่รึไง
“ดีแล้ว น้องเฉินเฉียง” หลิวเว่ยพูดออกมาในฐานะผู้ที่อาวุโสกว่าแล้ว เขาทำเพียงมองตามหลังเว่ยฉิงเชินที่วิ่งออกไปพลางถอดถอนลมหายใจออกมา “เฮ้ออออ เป็นเพราะข้าไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าสองคน ก็ตาม แต่ข้าเองก็คิดว่าเจ้าก็อย่าให้ความแค้นของคนรุ่นก่อนมาส่งผลกับเจ้าและคุณหนูฉิงเชินได้ก็ดีนะ”
“สิ่งที่เจ้าพูดไปก่อนหน้านี้เองมันก็ดูไม่ยุติธรรมกับนางเช่นกัน”
“เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่านางต้องรู้สึกยังไงที่ติดอยู่ระหว่างความเกลียดชังของเจ้าและพ่อของนางน่ะ”
“ใช้แล้ว กัปตัน ตอนนี้คุณหนูฉิงเชินเองก็พึ่งจะออกไปไม่นาน ข้าว่าท่านไปตามนางกลับมาจะดีกว่านา”
“หญิงสาวดีๆอย่างคุณหนูผู้นี้หาได้ยากยิ่งนา ท่านคิดว่าจะทำใจปล่อยนางไปได้รึอย่างไร”
ในตอนที่เห็นเว่ยฉิงเชินออกไปจากห้องนั้น เฉินเฉียงเองก็รู้สึกได้ราวกับได้สูญเสียสมบัติมีค่าออกไปอย่างไม่มีวันหวนคืนได้อีก
เขาควรจะตามไปตามคำแนะนำของเจิ้งยี่รึเปล่า
ไม่ใช่ว่าเขานั้นไม่เข้าใจความรู้สึกของนางและการกระทำของนางในวันนี้
แต่เพราะเข้าใจดีจึงทำให้เขาคิดว่าไม่ตามไปจะดีกว่า
มันอาจจะดีกว่า หากว่าเขาและเธอนั้นต่างก็สงบใจลงก่อนที่จะได้พูดคุยกันจริงๆ
แต่ที่แน่ๆก็คือ เขานั้นไม่อาจจะปล่อยวางการตายของเฉินเทียนเว่ยไปได้
และเว่ยฉิงเชินเองก็คงไม่อาจอยู่ร่วมกับคนที่ต้องการฆ่าพ่อของเธอโดยไม่แยแสสิ่งใดในโลกเฉกเช่นคนอย่างเขา
เฉินเฉียงได้นวดขมับของตน ก่อนที่จะนั่งลง
“จางหยวน มีไวน์รึเปล่า”
“ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก….”
ไวน์หกไหได้ถูกวางกระแทกกับพื้นโต๊ะในทันที เฉินเฉียงได้หยิบมาไหหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดฝามันออกและยกมันดื่มโดยไม่พูดจา
เมื่อเห็นฉากนี้ จางหยวนก็ได้ใช้มือไล่คนอื่นๆออกไปจากห้อง
ด้วยเวลาเช่นนี้ จะดีกว่าหากปล่อยให้เฉินเฉียงใช้เวลากับตนเอง ไม่ว่าจะบังคับหรือพูดอะไรไปตอนนี้ จางหยวนรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด โดยเฉพาะที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพ่อและชีวิตคู่ของตน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องคิดให้ออกด้วยตนเอง
ในห้องที่ไร้ผู้คนนอกจากตัวเอง ดวงตาของเฉินเฉียงจับจ้องไปยังแสงสีแดงที่ตกแต่งไว้ในห้อง กับสีเขียวขี้ม้าของไหไวน์ พร้อมกับมือที่ยงคงไม่ห่างจากไหเหล้าและยกเทใส่ปากอย่างไม่ขาดห้วง
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เกือบจะทำให้เขานั้นรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อการใช้ชีวิตแล้วจริงๆ
ด้วยความลับแห่งเขตแดนจักรพรรดินั่น ทำให้เขานั้นถูกไล่ล่าจากสามเผ่าพันธุ์ ไหนจะการเผาผลาญแก่นวิญญาณเพื่อช่วยเว่ยหยวนตี้ ไหนจะความสัมพันธ์ที่สับสนกับเว่ยฉิงเชิน ไหนจะการตายที่น่าฉงนของเฉินเทียนเว่ยอีก
ยิ่งเฉินเฉียงคิด เขาก็ยิ่งนึกหนักใจกับปัญหา และโดยไม่รู้ตัว ค่ำคืนหนึ่งก็ได้ผ่านไป
เมื่อเฉินเฉียงตื่นขึ้นมานั้นก็ได้พบว่าทุกคนในกองกำลังมารวมตัวกันในห้องพลางมองเข้าอย่างจับจ้องแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
ดังคำที่เขาบอกกันว่า ดื่มเหล้าเพื่อช่วยลืมปัญหาไปแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา
เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมาก่อนที่จะยืนขึ้น
“ตอนนี้ใบประกาศจับกองกำลังของเราได้ถูกถอนออกไปแล้ว พวกเราเองเป็นคนของตึกจอมพลเหมันต์จันทรา นี่สมควรจะถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องกลับไป”
“จางหยวน เจ้านำพี่น้องกลับไปก่อน”
“กัปตัน ท่านไม่กลับไปกับพวกเราเหรอ”
“ไม่ ข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการ หากข้าต้องการอะไรเดี๋ยวจะส่งข้อความไปบอกแล้วกัน”
“แล้วท่านจะไปไหนกัน”
เฉินเฉียงพูดพลางเดินออกไปนอกห้อง “ผาคนแก่”
…..
ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเขาห่านป่า นี่คือสถานที่ตั้งของสมาคมผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์ ที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับสภาสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์
“ราชาเก้าแม่น้ำ เจ้ารู้รึเปล่าว่าผู้อาวุโสหลี่ต้องการให้พวกเรามารวมกันทำไม”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่านะ ราชาซากต้นไม้ ถ้าจำไม่ผิด ครั้งก่อนที่พวกเราประชุมกันก็เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนตอนที่เราตัดสินใจรุกใส่พวกมนุษย์ใช่ไหมนั่น”
“หรือว่าที่ผู้อาวุโสหลี่เรียกพวกเรามารวมกันที่นี่เพราะคิดจะโจมตีครั้งใหญ่กับพวกมนุษย์กัน”
“เช่นนั้นรึ ยี่สิบห้าปีแล้วเหรอเนี่ย”
“ไม่กี่ปีมานี้ไอ้พวกมนุษย์นั่นมันเริ่มพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และนี่ทำให้อาณาเขตหลายๆแห่งที่พวกเราเคยควบคุมเอาไว้ถูกยึดครองไปโดยพวกมัน แถมพวกมันยังเริ่มที่จะรุกรานเขตแดนที่มีคนของพวกเราอยู่อีก”
ราชาสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางผู้คนเอง ในตอนนี้เขาเองก็ยังอยู่ในสภาพนึกสงสัยอยู่ไม่ขาด อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเข้าวงร่วมพูดคุยกับคนอื่น เขาเลือกที่จะปิดตาลงและเฝ้ารออยู่ตรงนั้น
ไม่นาน ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้มาถึง พร้อมผู้คนกว่าสามสิบคนที่เดินไปประจำที่ของตน
คนเหล่านี้คือผู้อาวุโสของสมาคมผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์นี้ซึ่งพวกเขาต่างก็คุ้นเคยกันดี แต่ก็มีคนหนึ่งที่ไม่คุ้นเคยอยู่เช่นกัน
คนคนนี้มีระดับการบ่มเพาะที่เทียบเท่ากับผู้อาวุโสหลี่ ใบหน้าส่วนใหญ่ค่อนไปทางซ้ายถูกปกคลุมไปด้วยหน้ากากสีเงิน นี่ทำให้รู้สึกแปลกตาอย่างที่สุด
“คนที่อยู่ข้างผู้อาวุโสหลี่นี่เป็นใครกัน”
“ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเขามาก่อนเหมือนกัน เขาอาจจะเพิ่งเข้ามาในสมาคมนะ”
“เออออออ ทำไมราชาคนนี้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับคนคนนี้นัก ราชาคนนี้คิดว่าต้องเคยพบเขามาก่อนเป็นแน่”
หลังจากผู้คนโดยรอบได้พูดคุยกันไปมาอย่างสงสัย ผู้อาวุโสหลี่ได้ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเงียบเสียงลงแล้วกล่าวออกมา “ทุกคน เงียบก่อน…”
หลังจากผู้คนได้เงียบเสียงลง ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้พูดออกมาด้วยใจที่ฮึกเหิม
“จ้าวเกาะทั้งหลาย ในตอนนี้ ไอ้พวกมนุษย์นั้นมันเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วนัก พวกเรามนุษย์กลายพันธ์ุแพ้ในสนามรบ”
“อย่างไรก็ตาม ยังไงซะ พวกเราก็ยังถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธ์ุที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในการสงครามทั้งสามเผ่านั้น ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะกัน ยังอยู่ในช่วงการดูเชิงกันอยู่”
“แน่นอนว่าถึงแม้ไอ้พวกมนุษย์นั่นจะแสดงศักยภาพออกมาจนทำให้พวกเรานั่งต้องถึงกับเลิกคิ้วขึ้นมา”
“เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาด พวกมันก็ยังเอาชนะความแข็งแกร่งด้วยการร่วมกลุ่มก้อนในการต่อสุ้”
“เมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ของเรา พวกมันก็สามารถเพิ่มจำนวนประชากรได้ ชนิดที่แม้แต่พวกเราก็ไม่อาจจะเทียบเคียง”
“แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่พื้นผิวเพียงเท่านั้น ไอ้พวกมนุษย์ ยิ่งนานวันไป พวกมันยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะยุทธวิธีการสร้างอาณานิคมที่พวกมันใช้ในการขยายจำนวนและพื้นที่ของพวกมัน และนี่จะทำให้พวกเรานั้นเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมาบ้างแล้ว”
“แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้มันก็ได้คลี่คลายลงตั้งแต่ช่วงสามวันก่อน มีคนของสภาสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้หนึ่งต้องการสวามิภักดิ์เข้ากับพวกเรา พร้อมกับข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาล และนี่จะทำให้อีกไม่ช้า พวกเราทุกคนจะได้รับข่าวดีอย่างแน่นอน”
“ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเกาะทั้งหลาย ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะมีความคุ้นเคยกับอดีตผู้อาวุโสผู้นี้
แต่เดิม เขาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ฮั่นจุย
“ห้ะ ฮั่นจุยเหรอ นั่นมันผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดในพวกมนุษย์ไม่ใช่รึไง”
“ไอ้ฉิบหาย เขาบ้าไปแล้วรึเปล่า หากว่าฮั่นจุยทรยศต่อเผ่าพันธุ์แบบนี้ล่ะก็ ไอ้พวกมนุษย์ต้องเสียหายอย่างเหลือคณานัก”
“หากผู้อาวุโสฮั่นยินดีที่จะเข้าร่วมกับพวกเราจริงล่ะก็ เพียงแค่ข้อมูลที่เขามีก็เพียงพอที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ของเราควบคุมพวกมนุษย์ได้แล้วนะ”
“แต่….ฮั่นจุยมันจะทรยศต่อมนุษย์จริงเหรอ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาเป็นถึงคนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์เลยนะ มองยังไงก็ไม่น่าจะทรยศเผ่าพันธุ์ได้”
“ก็ไม่แน่นา ท่านไม่เห็นเหรอว่าฮั่นจุยนั้นสวมหน้ากากอยู่ เป็นไปได้ว่าอาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับเขาก็ได้”
“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำ เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ต่อให้พวกมนุษย์มันจะส่งคนมาสอดแนมพวกเรามากมายขนาดไหน พวกมันก็ไม่สมควรจะส่งผู้อาวุโสสูงของพวกมันเองอย่างฮั่นจุยออกมา”
“ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็รู้ดีว่าคนที่มาที่นี่ได้นั้นไม่ใช่ว่าใครจะเข้ามาได้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นผู้ที่ต้องได้รับการรับรู้ว่าเป็นนักรบมีชีวิตของพวกเรา”
ท่ามกลางเสียงพูดของผู้คน ฮั่นจุยที่ใส่หน้ากากอยู่นั้น ได้ก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนที่จะถอดหน้ากาก เผยให้เห็นใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของตน
เมื่อเหล่าจ้าวเกาะได้เห็นใบหน้าที่เหลือที่มีแต่หลุมบ่อบนใบหน้าของฮั่นจุยแล้ว ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป หลายๆคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาอย่างดัง
“ไอ้ฉิบ….. น่าขยะแขยงนัก อะไรที่ทำให้ผู้อาวุโสสูงของพวกมนุษย์ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เนี่ย”
“ทุกคนบอกว่าฮั่นจุยนั้นคือหนุ่มหล่อที่สุดของในเหล่าในหมู่สภาสูงภาคกลางคนนั้น แต่กับใบหน้าของมันในตอนนี้ก็คงจะยากที่จะอยู่ที่นั่นล่ะนะ”
“ใครกันที่ทำร้ายผู้อาวุโสฮั่นได้ถึงขั้นนี้เนี่ย”
“จะใครซะอีก เขาเป็นถึงราชาจอมพลภาคกลางเลยนะ คนที่จะทำร้ายเขาได้ขนาดนี้ก็ควรจะอยู่ในระดับขั้นสูงเป็นอย่างน้อย”
“งั้นนี่ก็หมายความว่าฮั่นจุยไปมีเรื่องกับคนที่ทรงพลังในสภาสูงจึงต้องระเห็จมาเข้าร่วมกับเราสินะ”
ฮั่นจุยไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมากับคำพูดของทุกคน เขานั้นยังคงรับฟังอยู่เงียบ
แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เขาก็ได้หัวเราะออกมา ก่อนที่จะชี้ไปที่ใบหน้าครึ่งเดียวของตนแล้วพูดออกมา “ข้านั้นได้ยินมาว่ามีใครบางคนสงสัยว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของข้าที่ตกอยู่ในสภาพนี้จะต้องถูกผู้อาวุโสของมนุษย์เป็นคนลงมือเป็นแน่ แต่ข้าขอบอกเลยว่าไม่ใช่แบบนั้น”
“ข้าขอบอกตามตรงว่าคนที่ทำร้ายข้านั้นเป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงเท่านั้น”
“ห้ะ เป็นเพียงนายพลวิญญาณแต่สามารถทำร้ายผู้อาวุโสฮั่นได้ถึงขนาดนี้ นี่…นายพลวิญญาณของมนุษย์ทรงพลังขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ผิดแล้ว”
ฮั่นจุยได้กล่าวคำทัดทานออกมา “ข้า ฮั่นจุย ไม่ถือว่าตนเองเป็นมนุษย์ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน”
“ส่วนไอ้นายพลวิญญาณขั้นสูงที่ทำร้ายข้านี้มันก็เป็นคนของราชาสวรรค์”
เมื่อพูดจบ ฮั่นจุยได้มองไปที่ราชาสวรรค์ที่ยืนอยู่แถวหน้าและรับฟังเรื่องราวอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ฮื้ม ข้าเหรอ”