ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 299 สัตว์หายนะ
บทที่ 299 สัตว์หายนะ
หลังจากเฉินเฉียงได้ดึงหญ้าและเถาวัลย์ที่บดบังจนแทบจะไม่เห็นสถานที่ที่เฉินเฉียงคาดว่าจะเป็นถ้ำที่กล่าวถึงในตอนที่เขาเกือบจะล้มเลิกการค้นหาไปแล้ว
-นี่จะเป็นถ้ำตามที่หยานเสวี่ยพูดรึเปล่าหว่า-
ที่เขานั้นนึกสงสัยก็เพราะว่าเจ้าช่องที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นมันเล็กมาก มันอยู่ตรงชะง่อนผาที่อยู่สูงกว่าพื้นหกร้อยเมตร
เจ้าถ้ำเล็กๆนี้อยู่ต่ำกว่าชะง่อนผาลงมาประมาณเมตรครึ่งเห็นจะได้ และหากพลาดเพียงก้าวเดียว เขาเองก็คงจะตกลงไปยังพื้นล่างในทันที
“เว่ยหยวนตี้ เจ้าคิดจริงๆเหรอว่ามีเพียงพวกเจ้าสามคนเท่านั้นที่อยู่ที่ถ้ำนั่น”
เฉินเฉียงหวนนึกถึงคำพูดของหยานเสวี่ยอีกครั้ง
จากคำพูดนี้หมายความว่า นอกจากมนุษย์กลายพันธุ์ที่ไล่ตามมาแล้ว ในตอนนั้นคงมีเพียงเฉินเทียนเว่ยและหลี่ปิงที่อยู่ข้างกายเว่ยหยวนตี้
แต่กับถ้ำเล็กๆแบบนี้ อย่างมากก็เข้าไปอยู่ได้แค่สองคนเท่านั้น
หากจะให้อิงจากสิ่งที่เล่าลือ เฉินเทียนเว่ยสมควรจะบอกให้เว่ยหยวนตี้และหลี่ปิงซ่อนตัวเองอยู่ที่นี่ แล้วเขาจะล่อมนุษย์กลายพันธุ์ที่ไล่ล่ามาออกไปด้วยตัวเอง และท้ายที่สุด เขาก็ตกตายในมือของมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่รึ
แล้วทำไมหยานเสวี่ยถึงได้บอกออกมาว่าเว่ยหยวนตี้เป็นคนลงมือฆ่าเฉินเทียนเว่ยกัน
แต่หลังจากตรวจสอบอย่างดีแล้ว เขาก็พบสถานที่คิดว่าน่าจะเป็นถ้ำได้แค่ที่นี่ที่เดียวเพียงเท่านั้น
แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อยี่สิบสามปีก่อนกันแน่
เฉินเฉียงได้ทำหน้าบิดเบี้ยวไปมาพลางใช้มือเขกหัวตัวเองราวกับจะกระตุ้นให้ตระหนักคิด ก่อนที่จะนั่งลงแล้วปิดตาลงไป ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและโหยหวนที่ดังไปมานี้ แม้แต่เสียงลมที่ผัดผ่าน ก็โหยหวนไม่ต่างกับสัตว์ประหลาดเลยแม้แต่น้อย
ยี่สิบวันให้หลัง เฉินเฉียงก็ได้ลืมตาขึ้นมา
ในเมื่อนึกไม่ออกก็ลงไปดูซะก็สิ้นเรื่อง
ยังไงซะ เฉินเทียนเว่ยนั้นก็สมควรจะตกตายลงที่นี่ เป็นไปได้ว่าเขายังอาจจะหาซากร่างเจออยู่ก็เป็นได้ และบนนั้น สมควรจะมีร่องรอยให้เขาได้สืบหา
เมื่อเฉินเฉียงมองลงไปที่ก้นผา เขาคาดการณ์ได้ว่าหน้าผานี้ควรจะมีความสูงเพียงหกร้อยเมตรเท่านั้น
แต่เมื่อเฉินเฉียงบินลงไปแล้ว เขาก็ได้พบว่าก้นผานี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นจากที่ไกลลิบแบบก่อนหน้า
หลังจากเฉินเฉียงลงมาเกือบพันเมตร เขาก็เริ่มได้พบเจอพืชพันธุ์ที่เติบโตอยู่ใต้ผา
“ฮื้ม หมอกพิษ”
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นพืชที่ขึ้นอยู่ใต้ผานี้ เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าข้างใต้ผานี้มีสภาพแวดล้อมเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขามีสายเลือดโกลาหลแรกกำเนิด เขาย่อมป้องกันพิษได้ โดยเฉพาะกับพิษที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรแบบนี้
และนี่ทำให้เขาเริ่มสบายใจขึ้นมา
นี่หมายความว่าสิ่งแวดล้อมตรงใต้ผานี้ยากที่จะพบเจอสิ่งมีชีวิตอย่างแน่นอน
เมื่อไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดแม้แต่สัตว์ประหลาดที่จะอยู่ได้ ต่อให้มันเป็นเวลานานกว่ายี่สิบหรือสามสิบปี หากเฉินเทียนเว่ยตายที่นี่ เขาก็ต้องย่อมพบเจอซากร่างอยู่ที่ใต้ผาแห่งนี้
หลังจากลงมายังก้นของหน้าผา เฉินเฉียงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหญ้าที่คงอยู่ได้เพียงไม่กี่ชนิดนี้ สูงใหญ่กว่าสามช่วงตัวคน
ท่ามกลางความนุ่มของผืนหญ้าและความชื้นแฉะของพื้นที่โดยรอบ เฉินเฉียงค่อยๆค้นหาพื้นที่แห่งนี้อย่างละเอียดลออ
ไม่นาน ด้วยการตรวจสอบของพลังจิตของเขา เขาก็ได้พบซากกระดูกที่สมบูรณ์กองหนึ่ง
และนี่ทำให้เขาตื่นเต้นยินดีจนรีบวิ่งเข้าไปหา
ไม่นาน เฉินเฉียงก็ได้พบกองกระดูกอีกหกกอง จากสภาพ เจ้าของกระดูกเหล่านี้สมควรจะตกตายไม่น้อยกว่ายี่สิบกว่าปี
หรือให้พูดอีกอย่างก็คือ ท่ามกลางกระดูกเหล่านี้ต้องมีร่างของเฉินเทียนเว่ย
ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณของเฉินเฉียงในตอนนี้จะเป็นของผู้ที่ผ่านห้วงเวลามานับพันปี สายสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฉินเทียนเว่ยจึงไม่ได้จะรุนแรงมากมายแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขานั้นรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่สุดเมื่อได้ยินมาว่าเฉินเทียนเว่ยตกตายอยู่ที่นี่
ด้วยการฟื้นคืนจิตวิญญาณและถูกพามาไว้ในร่างนี้ เฉินเฉียงเองก็พอจะรู้สึกได้ว่า ความรู้สึกที่เปี่ยมล้มของเขาในตอนนี้เป็นเจตจำนงที่ค้างคาของเจ้าของร่างที่เขาสิงสู่อยู่นี้เสียมากกว่า
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยึดติดกับสายสัมพันธ์อย่างแรงกล้า
นี่ทำให้เขานั้นคิดว่าจะเป็นการดีกว่าหากว่าทำให้เจ้าของร่างเดิมได้สมหวังดั่งใจปรารถนา
แม้ว่าในตอนนี้เขาจะเป็นเจ้าของร่างก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ เขาก็จะถือว่านี่เป็นการตอบแทนเจ้าของร่างนี้ที่เป็นที่สิงสู่ของจิตวิญญาณของเขา
อย่ากระนั้นเลย ซากร่างไหนเป็นของเฉินเทียนเว่ยกันล่ะหว่า
หากเป็นคนอื่นนั้น กับเรื่องนี้ก็คงจะยากที่จะบ่งบอก
แต่กับเขานั้นสามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น
ผ่านระบบย่อยสลายซากศพของเขา
ในระหว่างการต่อสู้ไล่ล่าที่โกลาหลนี้ สมควรจะมีเฉินเทียนเว่ยที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ตกตายอยู่ที่นี่
ตราบใดที่เขาได้ใช้ระบบย่อยสลายซากศพดูดซับพลังงานที่ละร่าง ร่างไหนที่ระบบไม่ได้บอกว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ นั่นก็สมควรจะเป็นร่างของเฉินเทียนเว่ยอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงก็ได้ยื่นมือขวาของตนพลางกั้นลมหายใจ ก่อนที่จะไปแตะหัวกะโหลกตรงหน้า และระบบก็ได้ตอบรับตามสิ่งที่เขาหวัง
ติ้ง ดูดซับซากร่างนายพลทักษะพิเศษขั้นสูง เสร็จสิ้น
ไม่ต้องให้พูดมาก ร่างนี้ไม่ใช่อย่างแน่นอน
หลังจากนั้น เฉินเฉียงก็ได้ยื่นมือไปสัมผัสโครงกระดูกร่างถัดไป
ไม่
ไม่ใช่
เหลืออีกหนึ่งกอง
เฉินเฉียงได้กั้นใจลุก และยื่นมือออกไปอย่างช้าๆ
ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ
เป็นตอนนี้ที่เสียงกำลังสื่อสารของเขาได้ดังขึ้นมาอย่างฉุกละหุกท่ามกลางความมืดของหุบเหวนี้ก็ทำให้เสียงของมันดังก้องอย่างน่าประหลาด จนทำให้แม้แต่เฉินเฉียงก็เกือบจะสะดุ้งโหยงในจังหวะที่มันได้อย่างไม่รู้จะด่าใครดี
แต่ด้วยเสียงนี้เองก็ทำให้เฉินเฉียงรับรู้ได้ว่าเป็นคนในกองกำลังเทียนเว่ยของเขาที่ส่งข้อความมา
จางหยวนกับคนอื่นๆเกิดเรื่องรึไงกัน
แม้เฉินเฉียงจะคิดขึ้นมาได้แบบนั้น แต่มือของเขาก็ยังยื่นเข้าไปจับโครงกระดูกร่างที่เหลือพลางกัดฟันแน่นอย่างลุ้นระทึก
…..มนุษย์กลายพันธุ์
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากรับรู้อย่างนี้แล้ว เฉินเฉียงนั้นกลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เขายังรู้สึกราวกับมีความหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ช่างมันก่อนแล้วกัน
พื้นที่ก้นผาก็ไม่ได้ใหญ่มากมาย เอาไว้เขาค่อยหาเวลามาสืบต่อทีหลัง
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็กางปีกของตนพลางโจนทะยานออกไปจากก้นผา แล้วกลับไปยังทางเดินริมขอบผาที่อยู่บนผาคนแก่
เขาได้เปิดกำไลสื่อสารขึ้นมา และก็ได้ยินเสียงที่ร้อนรนของจางหยวน
“กัปตัน ตึกจอมพลเหมันต์จันทราออกคำสั่งรวมพลด่วนให้เข้าร่วมสู้ศึก พวกเราจะกลับไปรึเปล่า”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ได้กดปุ่มบนกำไลสื่อสารแล้วพูดกลับไป
“ข้าจะไปในอีกสามชั่วโมง”
ด้วยการที่ผาคนแก่นี้อยู่ห่างจากตึกจอมพลเหมันต์จันทราเพียงพันห้าร้อยไมล์เท่านั้น สำหรับเฉินเฉียงแล้วอย่างมากก็ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
ในตอนนี้ เฉินเฉียงได้มองทอดออกไปยังพื้นที่ผาที่ทอดตัวยาวอยู่ตรงหน้า พร้อมตั้งมั่นว่าในสักวันหนึ่ง เขาจะกลับมาที่นี่และทำเรื่องนี้ให้กระจ่างให้จงได้
สองชั่วโมงให้หลัง เฉินเฉียงได้ไปถึงตึกจอมพลเหมันต์จันทราตามที่เขาคาดการณ์
เมื่อเขาไปถึง กัวเหลียงและหนี่เฟิงได้ออกมารับเขา
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ากลับมาแล้ว พวกเราพึ่งจะได้รับภารกิจมาเลย”
“ศิษย์พี่กัว แล้วจางหยวนกับเจิ้งยี่ล่ะ”
“ก็ตอนที่เจ้ายังมาไม่ถึง สองคนนั้นเลยต้องพาคนอื่นออกไปรับหน้าเสื่อแทนเจ้าเข้าร่วมประชุมที่หอประชุมหลักของตึกจอมพลน่ะ”
“เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็เห็นจางหยวนและเจิ้งยี่รีบวิ่งเข้ามาหา”
“กัปตัน ท่านกลับมาแล้ว”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับก่อนที่จะถามออกไป “จางหยวน ภารกิจในครั้งนี้คือสิ่งใด”
“กัปตัน เราเดินไปคุยไปกันดีกว่า”
เมื่อพูดจบ จางหยวนได้เดินนำทุกคนตรงไปยังห้องประชุมของกองกำลังเพื่อร่วมกับคนที่เหลือ
เมื่อเห็นทุกคนมากันครบแล้ว จางหยวนก็ได้เริ่มพูดถึงรายละเอียด “ก่อนหน้านี้ ข้ากับเจิ้งยี่ได้ไปเข้าร่วมประชุมมาและพบว่าในตอนนี้ หลายพื้นที่ในเขตของกันหนันได้มีสัตว์หายนะได้ปรากฏตัวขึ้นมา”
“สัตว์หายนะ….เอ่ออออ รองกัปตัน เจ้าบอกว่ามันเป็นสัตว์หายนะใช่ไหม มันไม่ใช่สัตว์ประหลาดสินะ” เม่ยหลัวหลันที่ได้ยินก็สงสัยถึงกับต้องเอ่ยถามออกมาเป็นคนแรก ส่วนคนอื่นนั้นก็ได้มองจางหยวนอย่างสงสัยไม่ต่างไปจากเม่ยหลัวหลัน
นั่นก็เพราะพวกเขานั้น พึ่งเคยจะได้ยินคำคำนี้เป็นครั้งแรก
“ถูกต้อง สัตว์หายนะ”
จางหยวนพูดสำทับออกมา “เหตุผลที่มันถูกเรียกแบบนี้เพราะว่าพวกมันมีความผิดแผกแตกต่างอยู่ จากข้อมูลที่ได้รับมา ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ ในที่นี้ต่างก็ถือว่าพวกมันคือศัตรูร่วม แม้แต่สัตว์ประหลาดเองก็ยังร่วมมือกับอีกสองเผ่าพันธุ์อย่างเต็มที่ราวกับว่าพวกมันไม่ถือพวกมันเป็นพวกแต่อย่างใด”
“และในขอบเขตพื้นที่ดูแลของตึกจอมพลเหมันต์จันทราของพวกเราในตอนนี้ นับจากเริ่มเหตุการณ์จนมาถึงตอนนี้แล้วนั้น พวกเรายังไม่พบเจอร่องรอยของสัตว์หายนะเหล่านี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ที่เขตดูแลทางทิศใต้นั้นก็ได้มีการพบเจอของสัตว์เหล่านี้บ้างแล้ว และเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันข้ามเขตมา จึงมีคำสั่งให้พวกเราไปตั้งเป้าทางทิศใต้ก่อนเป็นอันดับแรก”
“และเพื่อไม่ให้สัตว์หายนะเหล่านี้เข้ามาในเขตของพวกเราได้ ทางตึกจอมพลจึงมีคำสั่งให้พวกเราเข้าไปช่วยหนุนกองกำลังจากตึกหลัวหนาน โดยผู้การหลินเฟิงได้ตัดสินใจที่จะส่งกองกำลังไปที่นั่นห้ากองกำลัง หนึ่งเพื่อประเมินสัตว์หายนะเหล่านี้ อีกหนึ่งคือให้ช่วยเหลือกองกำลังจากตึกจอมพลหลัวหนานในการจัดการพวกมัน”
“และที่ดีไปกว่านั้นคือ พวกนั้นร้องขอให้ส่งพวกเราเข้าไปอย่างเฉพาะเจาะจง”
“หากทุกคนไม่มีอะไรเพิ่มเติม ข้าคิดว่าพวกเราสมควรจะเตรียมตัวและไปที่นั่นที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”
“และด้วยการที่เจิ้งยี่นั้นก้าวเข้าไปสู่ระดับกึ่งราชาแล้ว เขาในตอนนี้ไม่อาจจะลงสนามรบได้อีกตามสนธิสัญญา เขาจะทำได้เพียงคอยเฝ้ามองเหตุการณ์เพียงเท่านั้น”
“เจิ้งยี่เอ๋ย นับแต่นี้เจ้าคงทำได้เพียงเป็นคนถือของแล้วล่ะนะ”
เมื่อเจิ้งยี่รับรู้ในเรื่องนี้ เขาได้แสดงท่าทางเซ็งออกมาอย่างจับจิต
แต่เมื่อจางหยวนพูดจบ เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นแล้วพูดออกมา “เจิ้งยี่ เจ้าไม่ต้องยึดถือในเรื่องนี้”
“เท่าที่ข้าได้ยินมานี้ สัตว์หายนะนี่เป็นศัตรูของสามเผ่าพันธุ์ ต่อให้เจ้าลงมือสู้ก็ไม่มีใครกล้าที่จะว่าเจ้า”
“อย่างไรก็ตาม ข้าเป็นกังวลเกี่ยวอาณานิคมเขาหมางนิดหน่อย ยังไงซะที่นั่นก็เป็นที่ที่ข้าเติบโตขึ้นมา ถ้าเป็นไปได้….”
ก่อนที่เฉินเฉียงจะพูดจบ เจิ้งยี่เองก็ได้ลุกขึ้นแล้วพูดออกมา “กัปตัน อย่าได้กังวลไป ตราบใดที่ข้า เจิ้งยี่ผู้นี้ยังคงอยู่ ข้าจะเป็นคนรับประกันความปลอดภัยของที่นั่นเอง”
แม้ทุกคนจะได้ยินความต้องการของเฉินเฉียงแล้วก็ตาม แต่ทุกคนในกองกำลังก็ไม่ได้มีอะไรคัดค้านแต่อย่างใด เพราะยังไงซะ พวกเขาเองก็ใช้เวลาอาศัยอยู่ที่นั่นมาเกือบปี พวกเขาเองก็มีห่วงที่นั่นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยต่างกันไป
หลังจากตกลงกันแล้ว จางหยวนก็รีบให้ทุกคนเตรียมตัวลงใต้กันในทันที
“กัปตัน ไปเลยไหมนั่น”
“ได้” เฉินเฉียงพยักหน้ารับจะออกจากตึกกองกำลังของตนไปพร้อมกับจางหยวนและคนอื่นๆ
ในครั้งนี้ ถึงแม้ตึกจอมพลเหมันต์จันทราจะส่งกองกำลังไปช่วยห้ากองกำลัง แต่ก็ไม่ได้ไปพร้อมกันในคราวเดียว
“จางหยวน การเคลื่อนพลของเราก็เอาแบบตอนที่เราเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิก็แล้วกัน ข้าออกไปสอดแนม เจ้ารออยู่ระหว่างทาง แล้วให้คนอื่นรั้งท้าย”
“รับคำสั่ง”
หลังจากตกลงกันแล้ว เฉินเฉียงก็ได้กางปีกสีเงินของตนทะยานขึ้นฟ้าและพุ่งตรงลงทิศใต้ไป
“หวา กัปตัน ปีกสีเงินของท่านนั่นดูทรงพลังจริงๆ หากข้ามีมันสักคู่ ข้าก็คงไปถึงตึกจอมพลภาคกลางในวันเดียวซะล่ะมั้งนั่น ไม่สิ ข้าจะบินไปให้ทั่วทั้งสามตึกจอมพลเลยด้วยซ้ำ”
“ชิ หลางซานเอ๋อ หากเจ้าอยากมีปีกแบบกัปตันมากนักล่ะก็ ง่ายนิดเดียว ก็แค่เข้าไปหาไอ้พวกกลายพันธุ์แล้วบอกพวกมันไปว่าขอฝังแผ่นแก่นวิญญาณหน่อย แค่นั้นเอง ง่ายๆ สบายๆ”
“ไอ้เถื่อน(เหรินหมิง) นี่เจ้าคิดจะไล่ข้าไปตายรึไงกัน หรือเจ้าคิดจะหาเรื่องกับข้าจนกว่าจะตายกันไปข้างนึงน่ะ ห้ะ”
“กัปตันเขาไม่ได้รับปีกสีเงินมาโดยแผ่นแก่นพลังงานนั่นสักหน่อยนี่หว่า”
“ก็กัปตันเขาได้รับมันมาเพราะมีอาจารย์ที่ถ่ายทอดพลังพิเศษให้กับเขาด้วยตัวเองอย่างผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋เลยนะวุ้ย”
“งั้นเจ้าก็ควรจะรู้นี่หว่าที่กัปตันได้รับมันมาเพราะว่ามีอาจารย์ที่ทรงพลังขนาดนั้น นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่ท่านจะรับมาเป็นศิษย์ ดังนั้นจะดีกว่าหากเจ้าเลิกล้มความคิดนี้ไป”
“ได้ก็ดี พวกเจ้านี่เวลาเคลื่อนพลจะอยู่กันเฉยๆไม่ได้เลยรึไงกันเนี่ย ห้ะ” จางหยวน ก่นด่าออกมา เมื่อได้ยินแบบนี้ ทั้งสองก็รีบตีห่างออกไปอย่างพร้อมเพรียง “รีบๆไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็เดี๋ยวกัปตันจะเหมาเรียบไปซะหมด ไม่ยอมเหลือให้พวกเราอีกแหงๆ”
“จริงด้วย แค่กัปตันกระพือปีกทีเดียวก็หายวับไปกับตาแล้ว ดีไม่ดีป่านนี้เขาไปถึงเขตหลัวหนานแล้วมั้งนั่น”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่าเฉินเฉียงนั้นสามารถใช้ปีกได้อย่างตามใจหลังจากเรื่องที่เขาโชวหยางแล้วนั้น ในตอนนี้ ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างก็รับรู้แล้วว่าปีกสีเงินที่น่าจะเป็นสิ่งบ่งชี้ความเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์นั้น มีมนุษย์อย่างเฉินเฉียงที่ได้รับมาจากการถ่ายทอดโดยฮูเตี๋ยนผู้เป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของฮูเตี๋ยนโดยตรง และนี่ทำให้ทุกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่คิดจะกล่าวหาเฉินเฉียงว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยเหตุนี้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงไม่ได้บินออกไปจากตึกจอมพลเหมันต์จันทราอย่างโดดเดี่ยวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ ในครั้งนี้เขายังมีพวกพ้องที่ติดตามไปด้วย
ยังไม่รวมกับความกระสันในการสู้รบที่เขารับรู้ได้ก่อนหน้านี้จากทุกคนในกองกำลัง มีหรือที่เขาในฐานะกัปตันของกองกำลังเทียนเว่ย จะออกไปกวาดเรียบด้วยตัวคนเดียว
นับจากศึกที่จิ้งชวนนั้น กองกำลังเทียนเว่ยเองก็ไม่ได้เข้าร่วมสนามรบมานานมากแล้ว
นี่จึงเป็นโอกาสอันดีให้กับสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อสู้รบอย่างพวกเขาจะได้ยืดเส้นยืดสายสักที
ในปีที่ผ่านมานั้น ระดับการบ่มเพาะของทุกคนได้เพิ่มขึ้นมากจนนายพลคนอื่นก็ยังต้องสะพรึง แม้แต่เม่ยหลัวหลันที่อ่อนด้อยที่สุดในกองกำลัง ในตอนนี้ เธอก็ยังเปิดจุดลมปราณได้ยี่สิบเจ็ดจุดเรียบร้อยแล้ว
และเหตุที่ทำให้ทุกคนตั้งใจบ่มเพาะแบบนี้นั้นเป็นเพราะพวกเขาล้วนแล้วแต่มีจิตใจแห่งการต่อสู้และฆ่าฟัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เฉินเฉียงยังไม่เคยพบเจอ ศัตรูที่ถูกเรียกว่าสัตว์หายนะเหล่านี้มาก่อน เขาก็อดที่จะห่วงเสียไม่ได้
หากว่าเขาไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนในกองกำลังล่ะก็ ป่านนี้เขาก็คงจะเข้าไปวัดฝีมือกับสัตว์ที่ถูกเรียกว่าตัวหายนะนี้ด้วยตนเองแล้วว่าพวกมันจะทรงพลังสักเท่าใดกัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เฉินเฉียงและคนอื่นๆ ก็ได้เข้าสู่พื้นที่ของเขตตึกจอมพลแดนใต้
และเป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้สังเกตว่าที่ห่างไกลจากตรงนี้ไปนั้นก็คือผาคนแก่ที่เขาได้ไปมาก่อนหน้านี้
เมื่อเฉินเฉียงและพวกไปถึงจุดนัดพบ จากข้อมูลที่ได้รับมานั้น พวกเขาน่าจะพบอาณานิคมเล็กๆที่นั่น พร้อมกับกองกำลังอื่นๆที่ตั้งมั่นอยู่
แต่พวกเขานั้นกลับไม่พบผู้ใดเลยสักคน
แถมตอนที่เขาไปถึงนั้น ประตูของอาณานิคมได้เปิดอย่างกว้างขวาง และด้านในเองก็มีซากศพของหมาป่ากระจายไปทั่ว
นอกจากนั้นพวกเขายังพบซากร่างของผู้คนอีกสิบกว่าคนที่มีร่องรอยการต่อสู้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ร่องรอยนั้นเป็นร่องรอยเดียวกับซากของหมาป่าที่นอนกองอยู่ที่นั่น หากมองดูเผินๆ มันราวกับว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และสัตว์ประหลาดที่บุกรุกเข้ามา
“กัปตัน ดูเหมือนว่าพวกสัตว์ประหลาดจะเป็นตัวต้นเหตุนะ”
ทุกคนมองไปรอบๆด้วยท่าทางที่หนักอึ้ง
“ดูจากท่าทางแล้วผู้คนที่นี่น่าจะกำลังอยู่ในระหว่างการหลบหนีนะ” หนอนหนังสือหลูจี้พูดเสริม “แต่จากบาดแผลเหล่านี้แล้วก็พอบอกได้เหมือนกันว่าไอ้ตัวต้นเหตุนี่น่าจะทรงพลังไม่น้อยเลย”
“”อย่างไรก็ตาม มันก็น่าแปลกเหมือนกันนะ ถึงแม้จะเป็นอาณานิคมเล็กๆ แต่ที่นี่ก็สมควรจะมีผู้คนอยู่นับร้อยนา”
“แต่ที่นี่มีศพเพียงสิบกว่าศพเพียงเท่านั้น”
“งั้น แสดงว่ามีคนหนีไปได้สินะ”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน เจ้าก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าบาดแผลของสิบกว่าร่างนี่เป็นยังไง การที่ได้พบเจอสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ข้าว่าไม่มีทางเลยที่มนุษย์ที่อยู่ที่นี่จะหนีไปได้”