ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 30 ใช้ภาษาสัตว์อย่างชาญฉลาด
บทที่ 30 ใช้ภาษาสัตว์อย่างชาญฉลาด
“ศิษย์พี่กัว ระดับการบ่มเพาะของไอ้คนที่ชื่อเฟิงนั่นระดับอะไรครับ”
หลังจากออกจากแผนกเล่นแร่แปรธาตุ เฉินเฉียงได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง
“ห้ะ นี่ศิษย์น้องเฉินคิดจะแก้แค้นเขาเหรอ”
“ศิษย์พี่คนนี้ขอแนะนำว่าโยนความคิดนี้ทิ้งไปดีกว่า”
“ศิษย์พี่เฟิงนั้นถึงแม้ว่าจะมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่สูงมากนัก เขาอยู่ปีสามแล้วถึงแม้การบ่มเพาะจะอยู่เพียงระดับทหารขั้นกลาง หากแต่ในเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุนั้นกลับสูงล้ำอย่างมาก ถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม้แต่อาจารย์ฉีเองก็ยังเทียบเฟิงไคเหลียงไม่ได้”
“และด้วยเหตุนี้ ทำให้ตัวเขานั้นเป็นที่นับถือของศิษย์ในสำนักอย่างมากมาย หากเจ้าต้องการจะเอาคืนเขาละก็ เกรงว่าเจ้าจะต้องมีเรื่องกับศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักแน่นอน”
“หืม นี่เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
เฉินเฉียงพยายามเก็บงำความโกรธเอาไว้ในใจ แต่เขานั้นก็ยังจดจำท่าทียโสและคำพูดถากถางไว้ได้อย่างถนัดชัด หากมีโอกาสละก็เขานั้นย่อมเอาคืน
“ศิษย์น้อง ข้าว่าเจ้าควรห่วงตัวเองก่อนดีกว่านะ ตอนนี้หลังจากเจออาจารย์แล้ว ไม่ว่ายังไงเจ้าต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ให้ได้ ข้าเดาได้ว่าเมื่อกลับไปแล้วอาจารย์ต้องแสดงอาการโกรธออกมาอย่างแน่นอน”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะศิษย์พี่”
กัวเหลียงถึงกับต้องขมวดคิ้วในทันทีกับคำถามของเฉินเฉียงก่อนจะพูดออกมา “ศิษย์น้อง เจ้าเองก็เห็นผลการทดสอบแล้ว”
พวกเราเหล่านักรบสายเลือดนั้นไม่ว่าจะเป็นระดับทหาร หรือระดับนายพลวิญญาณ ล้วนแล้วแต่ต้องการเพิ่มการบ่มเพาะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ สายเลือดจึงถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างมาก
หากจะให้ดีที่สุดนั้น สายเลือดควรจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น การมีสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวนี้ย่อมแน่นอนว่าต้องเพิ่มความแข็งแกร่งได้เร็วกว่า ลองลงมาคือคนที่มีสองสายเลือด สายเลือดประเภทนี้จะเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้ไม่มากนัก แม้จะหาไม่ง่ายแต่สักสองปีจะมีให้เห็นสักคนหนึ่ง
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขานั้นจะถูกใจเจ้าอย่างมาก แต่เมื่อต้องพบเจอกับคนที่มีสายเลือดผสมถึงหกสาย เป็นธรรมดาที่ต้องสติแตก ข้าล่ะไม่อยากจะคิดถึงอนาคตของเจ้าเลยจริงๆว่าจะพบเจอกับอะไรบ้าง ไอ๊หยา….”
เป็นเช่นนี้
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะเข้าใจสถานการณ์ของเขาจากกัวเหลียงแล้วก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นเป็นกังวลสักเท่าไหร่
ต่อให้เขานั้นจะมีสายเลือดผสมกันถึงหกสาย แต่หากเขานั้นสามารถใช้ระบบในการดูดซับพลังจากสิ่งมีชีวิตได้อยู่ ระดับของสายเลือดก็จะเพิ่มขึ้นไปอย่างแน่นอน
และด้วยการช่วยเหลือจากระบบนี้ จะทำให้เขาสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะอย่างไม่ยากเย็น
รอก่อนเถอะ สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้ตกใจจนหงายเก๋งกันไปข้าง
ห้องของฮู่ต้าไฮ่นั้นใหญ่โตมาก แต่ที่ทำให้เขานั้นต้องประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือที่นี่มีลิงกอริลลาตัวใหญ่ยักษ์อยู่สองตัวโดยพวกมันอยู่ที่สวนหลังห้อง
เมื่อพวกมันเห็นกัวเหลียงและเฉิงเฉียงแล้วนั้น พวกมันทำเพียงแค่จับจ้อง และเดินอาดๆไปมาอย่างเกียจคร้าน
ภายในห้อง มีโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าฮู่ต้าไฮ่ได้แตกละเอียดอยู่กับพื้น เมื่อเขาได้เห็นกัวเหลียงและเฉินเฉียงแล้วก็ได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ทำความเคารพท่านอาจารย์”
กลัวเหลียงและเฉินเฉียงทำการโค้งคำนับและกล่าวคำเคารพออกมาอย่างแผ่วเบา
ฮู่ต้าไฮ่ที่เห็นฉากนี้ เขานิ่งคิดพักหนึ่งก่อนที่จะใช้มือลูบหัวตัวเองและถอนหายใจอีกครั้ง “ช่างมันเถอะ ข้าคงได้แต่โทษตัวเองที่มีโชคในการได้รับลูกศิษย์ที่แสนแปลกประหลาดเช่นเจ้า”
“เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้านั้นได้กลายเป็นศิษย์ของข้าแล้ว เจ้า ต้องฝึกและบ่มเพาะอย่างหนักในอนาคต”
“หากเจ้าเป็นลูกผู้ชาย เจ้าต้องฝึกอย่างหนักกว่าปกติเป็นสิบเท่าเพื่ออาจารย์และเป็นการอุดปากเหล่าผู้คนที่ดูถูกผู้คนแบบนั้น”
“อย่าเป็นกังวลท่านอาจารย์ ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง”
เฉินเฉียงได้กล่าวคำมั่นออกมาอย่างแข็งขัน นี่ทำให้ฮู่ต้าไฮ่รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
“กัวเหลียง พาเฉินเฉียงไปที่ห้องพักของเขา และพรุ่งนี้ค่อยพาเฉินเฉียงมาหาข้า”
“ทราบแล้วครับ ท่านอาจารย์”
กัวเหลียงและเฉินเฉียงได้คำนับฮู่ต้าไฮ่อีกครั้งแล้วเดินจากไป
หลังจากเดินไปได้เกือบๆพันเมตร ทั้งสองก็ได้มาถึงหน้าสวนหย่อมแห่งหนึ่ง
“ศิษย์น้องเฉิน นี่คือที่พักของเจ้า จัดของซะและวันนี้ก็พักที่นี่ได้เลย”
เฉินเฉียงได้มองไปยังบ้านที่แลดูทรุดโทรมหลังหนึ่งที่น่าจะเป็นที่พักของเขา และเขาก็ได้ถามออกมา “ศิษย์พี่กัว พี่แน่ใจนะว่านี่คือที่พักของคนเป็นน่ะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้อง เด็กใหม่ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในสถานที่แบบนี้ทั้งนั้น หากว่าศิษย์น้องอยากมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ ศิษย์น้องจะต้องเก็บคะแนนและใช้มันแลกมา แน่นอนว่าพวกมันใช้ในการแลกเปลี่ยนวัตถุบ่มเพาะได้ด้วยเช่นเดียวกัน”
กัวเหลียงได้พยายามอธิบายออกมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ในตอนนั้นเอง เฉินเฉียงก็ได้ยื่นแขนของเขาออกมาอยู่ตรงหน้า
“เอ่ออออ ศิษย์น้อง นี่คือออออ”
“ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าพวกเรานั้นยังมีคะแนนเดิมพันที่ติดค้างกันอยู่นะ ข้าเองก็เป็นเด็กน้อย แน่นอนว่าต้องมีความยากจนข้นแค้นในคะแนนอย่างมาก แม้แต่ที่พักก็ยังไม่มี ดังนั้น ข้าว่าพี่ควรจะให้คะแนนที่พนันกันไว้มาได้แล้วล่ะ”
ใบหน้าของกัวเหลียงในตอนนี้ซีดเผือดในทันทีที่ได้ยิน
“ศิษย์น้องเฉิน ศิษย์น้องเฉินผู้ประเสริฐ ตอนนี้ศิษย์พี่ยังไม่มีให้น่ะ ขอเวลาสักสองวันได้รึเปล่า”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้เก็บมือของตนและได้ทำท่าที่จะเดินลงเขาไป “ในเมื่อศิษย์พี่คิดจะคืนคำพูด ข้าเองคิดว่าเรื่องนี้ควรจะให้ท่านอาจารย์เป็นคนตัดสินใจจะดีกว่า”
“เฮ่ยยยยย ศิษย์น้อง รอก่อนนะ เดี๋ยวศิษย์พี่จะให้มอบให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
กัวหลียงที่ในตอนนี้คว้าตัวเฉินเฉียงเอาไว้ เขานั้นได้ถ่ายโอนคะแนนแปดร้อยแต้มที่อยู่ในกำไรสื่อสารของตนให้กับกำไรสื่อสารของเฉินเฉียงในทันที
“ศิษย์น้อง อีกสองร้อยคะแนนที่ยังขาดไป ตอนนี้ศิษย์พี่ยังไม่มี ขอเวลาอีกสองวันแล้วกัน แล้วศิษย์พี่จะหาทางหาคะแนนมากให้ นี่ถือซะว่าเป็นค่าปิดปากแล้วกัน หากว่าอาจารย์รู้เรื่องนี้เข้าละก็คงถลกหนังศิษย์พี่ออกมาทั้งเป็นอย่างแน่นอน”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยศิษย์พี่ ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้น ตราบที่ศิษย์พี่ยังจำได้ว่าติดข้าอยู่ ข้าเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
หลังจากได้ยินคำตอบของเฉินเฉียงแล้วนั้น กัวเฉียงก็ได้จากไปราวกับพายุ
เฉินเฉียงได้จ้องมองไปยังซากบ้านที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าในวันพรุ่งนี้เขาคงต้องเสียค่าใช้จ่ายซื้อบ้านที่ดีกว่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก
“ฮูมมมมมมม”
ในทั้นทีที่เปิดประตู เสียงคำรามที่นิ่งลึกของสัตว์ประหลาดก็ได้ดังขึ้นมาในทันทีที่มันได้เห็นเฉินเฉียง
สิ่งที่เฉินเฉียงเห็นนั่นก็คือสิงโตตาไฟที่มีขนาดความยาวสามเมตร มันมีความสูงพอๆกับครึ่งตัวของมนุษย์ มันค่อยๆเดินกะโผลกกะเผลกมายังเขาพร้อมกับส่งเสียงคำรามต่ำๆออกมา
เดี๋ยวนะ
เฉินเฉียงพึ่งจะรู้สึกได้ว่าเขานั้นกำลังได้ยินเสียงพูดของสิงโตตาไฟ
เป็นไปได้ว่านี่คือผลของทักษะภาษาสัตว์ที่เขาได้รับมา
คำพูดที่เขาได้ยินสิงโตตาไฟพูดออกมานั้น ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดมันกำลังบ่นออกมาว่ามีคนใหม่มาอีกแล้ว ด้วยการบ่มเพาะที่ต่ำต้อยของเขานั้นทำให้ลงมือได้ไม่มาก ไม่อย่างนั้นมันจะต้องถูกเล่นงานอย่างหนัก
เฉินเฉียงที่เข้าใจภาษาพูดของสัตว์ประหลาดนั้นก็ได้ตอบออกมาในทันที “สิงโตตาไฟ ทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ในบ้านข้าเนี่ย”
เมื่อสิงโตตาไฟได้ยินดังนั้น มันได้หยุดเท้าลงและถามออกมาราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง “…..ไอ้หนู นี่แกเข้าใจที่ข้าพูดงั้นเหรอ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ
“…..เฮ้อออออ ก็นะ ความจริงแล้วข้าอยู่ที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นว่าที่นี่คือบ้านของข้าและต้องขับไล่เจ้าไป อย่างไรก็ตาม นี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งในการฝึกลูกศิษย์ของสำนักเต่าดำ หากเจ้าต้องการอยู่ที่นี่จะต้องผ่านการทดสอบให้ได้ แน่นอนว่าด้วยการที่สัตว์ประหลาดอย่างพวกเรานั้นถูกควบคุมโดยเหล่าอาจารย์ผู้บ่มเพาะจิตวิญญาณของสำนัก ทำให้พวกเรานั้นทำอะไรเจ้าได้ไม่มากนัก”
ยังไม่ทันที่เฉินเฉียงจะได้พูดอะไรต่อ ในตอนนี้ก็ได้มีงูหลามทองคำเลื้อยออกมา มันมีขนาดพอกับลำตัวมนุษย์ และในตอนนี้มันก็มาอยู่ข้างๆสิงโตตาไฟพร้อมแลบลิ้นออกมาตามนิสัยของมัน
“อย่าเป็นกังวลไป พิษของข้าถูกนำออกไปแล้ว”
ประโยคนี้ดังออกมาจากปากของงูหลามทองคำ
“นอกจากพวกเจ้าสองตัวแล้วยังมีสัตว์ประหลาดชนิดอื่นอยู่ในสวนอีกเหรอ”
สิงโตตาไฟได้ส่ายหัวในคำถามนี้ นี่ทำให้เฉินเฉียงผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง เขานั้นไม่คิดว่าสำนักเต่าดำเองจะมีสัตว์ประหลาดที่ถูกเลี้ยงดูไว้มากมายขนาดนี้ ถึงแม้นี่จะเป็นการฝึกฝน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการฝึกที่ยากเย็นไม่น้อยเลยทีเดียว
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ข้าว่าพวกเรามาผูกมิตรกันเอาไว้จะดีกว่านะ พรุ่งนี้ข้าเองก็ว่าจะเข้าสำนักไปซื้อวัสดุสำหรับบ่มเพาะดีๆพร้อมทั้งหาที่อยู่ที่ดีกว่านี้ แล้วในอนาคต พวกเราจะได้มีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ พวกเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”
คำพูดของเฉินเฉียงนั้นทำให้สัตว์ประหลาดทั้งสองแอบตื้นตันอยู่ในใจ
เมื่อตกลงกันได้แล้ว หนึ่งคน สองสัตว์ประหลาด ต่างก็นอนก่ายกันไปมาท่ามกลางสวนไปหนึ่งคืน
ตอนเช้าตรู่ กัวเหลียงทีได้เปิดประตูสวนเข้านั้น เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงและสองสัตว์ประหลาดนอนก่ายกันอยู่นั้น เขากลับจ้องมองไปราวกับคุ้นเคยในภาพเหล่านี้
“ศิษย์น้องเอ๊ย ตื่นได้แล้ว พวกเราต้องไปหาอาจารย์กัน”