ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 301 การศึกกับหมีดำหายนะ
บทที่ 301 การศึกกับหมีดำหายนะ
อย่างไรก็ตาม ค้างคาวเลือดพิษตัวที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นตัวใหญ่กว่าตัวเขาได้ดูดซับพลังงานมาเป็นศพแรกมากนะ แถมเท่าที่ดูแล้วมันก็อยู่ในระดับนายพลขั้นกลางอีกด้วย
ค้างคาวเลือดพิษที่อยู่ในระดับขุนพลขั้นกลางนั้น ไม่เพียงจะทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อแล้ว แม้แต่ปีกของมันเองก็ยังเป็นเอกลักษณ์
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามันจะมีปีก แต่ในระหว่างที่มันบินนำกลุ่มสัตว์ประหลาดของมันแล้ว มันก็ยังคอยเหลียวหลังมองอยู่ตลอดเวลา และไม่ได้คิดบินทิ้งห่างไปไกล
นอกจากลิงสี่แขนแม่ของเมิ่งน้อยที่เขาได้พบในเขตแดนจักรพรรดิแล้ว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้พบกับสัตว์ประหลาดที่แสดงท่าทางของตนออกมาอย่างห้าวหาญแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าหมีดำตัวนี้ ต่อให้สัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมาร่วมกันโจมตีก็ไม่อาจทำอะไรมันได้
“โฮกกกกกกกก”
หลังจากมันได้ก้าวเดินอีกครั้งจนผืนดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปแล้ว เจ้าหมีหายนะได้กระโดดขึ้นสูงเกินกว่าสามเมตรพุ่งตรงไปกลางวงสัตว์ประหลาดที่กำลังวิ่งหนีไปที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรได้ในทันที และนี่ทำให้มันฆ่าสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นต้นให้ตกตายไปในทันทีสี่ตัว
ไม่เพียงแค่นั้น
ในทันทีที่กระทบกับพื้นดิน มันก็ได้ใช้อุ้งมือของมันคว้าไปที่ลิงหูยาวตัวหนึ่งที่ขยับเขยื้อนไม่ได้เพราะพื้นดินสั่นสะเทือน แล้วหยิบเข้าปากกินไปอย่างง่ายดาย
เมื่อค้างคาวเลือดพิษเพียงได้เห็นฉากนี้แล้ว มันก็รีบพุ่งเข้าโจมตีหมีดำหายนะในทันที
ปีกค้างคาวพิษเพลิงตัวนี้ เมื่อยามที่มันกลางออกไปแล้วก็มีขนาดยาวกว่าหนึ่งเมตรครึ่งเห็นจะได้ ถึงแม้มันจะดูทรงพลังแต่เมื่อพบเจอกับหมีดำหายนะตัวนี้แล้วมันก็ยังดูเล็กอยู่ดี
ดูเหมือนว่ามันนั้นจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขี้ยวทั้งสี่ของมันเสียมากกว่า
ตราบใดที่มันสามารถกัดหมีดำหายนะตัวนี้ได้ พิษของมันก็จะถ่ายเทลงไปในร่างของหมีตัวนี้
การเคลื่อนไหวของมันนั้นรวดเร็วมาก ในตอนที่ลิงหูยาวกำลังจะเข้าปากหมีดำไปแล้วนั้น ก่อนที่มันจะได้ปิดปากเขี้ยว ค้างคาวพิษเพลิงตัวนี้ก็ได้จรดคมเคี้ยวทั้งสี่ที่แขนขวาของหมีดำหายนะตัวนี้เรียบร้อย
“ฮูมมมมมม”
แม้การกัดของค้างคาวพิษเพลิงนั้นแม้จะดูแผ่วเบา แต่หมีดำหายนะก็ยังรับรู้ได้เป็นอย่างดี
เมื่อสำเร็จแล้ว ค้างคาวพิษเพลิงก็ได้พาตัวเองขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง ก่อนที่จะส่งเสียงกรีดร้องที่แปลกหู เป็นตอนนี้ที่สัตว์ประหลาดทั้งหลาย สามารถทำระยะห่างได้อีกครั้ง
เมื่อได้รับการโจมตีจากค้างคาวพิษเพลิงไปแล้ว หมีดำหายนะได้สะบัดหัวไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนที่จะเริ่มวิ่งไล่ตามไปอีก
สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเฉินเฉียงไปมากนัก
เขานั้นรู้ดีว่าความรุนแรงของพิษที่ค้างคาวพิษเพลิงมีนั้นร้ายแรงขนาดไหน
แต่เขาไม่คิดว่าเจ้าสัตว์หายนะตัวนี้จะไม่เป็นอะไรเลย แถมแค่เพียงมันสะบัดหัวก็สามารถเคลื่อนไหวต่อได้อีก
ในตอนแรกนั้นด้วยประสบการณ์ของเขาแล้ว เขาบอกได้เลยว่าหากต้องเผชิญหน้ากับหมีดำหายนะตัวนี้ ต่อให้เป็นจางหยวนก็น่าจะชนะได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่หลังจากได้รับรู้ความผิดแผกแปลกประหลาดของหมีดำหายนะตัวนี้นั้น เขาบอกได้ว่า มันทรงพลังเกินกว่าหมีดำทั่วไปหลายเท่านัก แม้แต่เจิ้งยี่ที่เป็นกึ่งราชามาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่อาจจะต่อกร
นี่ทำให้เขาไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าขนาดมนุษย์กลายพันธุ์ที่ภูมิใจในความทรงพลังของตน กับค้างคาวพิษเพลิงที่ภูมิใจในพิษของตนอย่างล้นเหลือ ก็ยังไม่อาจทำอะไรได้
และในตอนนี้ หมีดำหายนะที่กำลังไล่ล่าสัตว์ประหลาดอยู่นั้น อยู่ๆ มันก็ได้เงยหน้าของมันขึ้นมามองที่เฉินเฉียง
เมื่อได้เห็นดวงตาที่ราวกับจะฉายแสงสีแดงฉานออกมาได้มองเขาเองแล้ว นี่ทำให้เฉินเฉียงถึงกับต้องตกตะลึง
นี่ทำให้เขาไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่าสัตว์หายนะ
“โฮกกกกกก”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงที่อยู่กลางอากาศ หมีดำหายนะก็ได้ทุบอกตัวเองไปสองที ก่อนที่จะงอขาของตน แล้วพุ่งเข้าหาเฉินเฉียงในทันใด
ด้วยความเร็วของเฉินเฉียงนั้น หากเขาจะหลบหมีดำหายนะตัวนี้ เขาก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยการที่เขานั้นคือผู้ซึ่งใช้แรงกายเพียงอย่างเดียวในการปีนป่ายบันไดสู่สรวงสวรรค์ เฉินเฉียงย่อมต้องการทดสอบพละกำลังของตนเองเมื่อได้พบเจอผู้ทรงพลังตรงหน้า
ผลก็คือ เฉินเฉียงหุบปีกของตน ก่อนที่จะเหยียบอากาศแล้วพุ่งเข้าใส่หมีดำหายนะอย่างสุดแรง
ตู้ม
คนและหมีได้ปะทะกันที่กลางอากาศ จนบังเกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นได้ยินไปไกล
การปะทะกันนี้ ทำให้เฉินเฉียงกระเด็นถอยออกไปกว่าสองร้อยเมตรจึงสามารถฝืนหยุดตนไว้กลางอากาศได้
ส่วนหมีดำเองนั้นถูกกระแทกจนกระเด็นลงไปนั่งพับเพียบเรียบแต้อยู่กับพื้น
ถึงแม้จะดูว่าเฉินเฉียงนั้นเสียเปรียบจากการปะทะในเรื่องแรงกาย แต่ร่างกายของเฉินเฉียงนั้นกลับไม่ได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าความทุ่มเทของเขาที่ใช้ในการปีนป่ายบันไดสู่สรวงสวรรค์นั้นจะไม่ได้ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด
แต่จากการปะทะนี้ทำให้เฉินเฉียงเข้าใจได้ถึงความทรงพลังของหมีดำหายนะตัวนี้ได้เป็นอย่างดี
ดูเหมือนว่าหากเขาไม่เอาจริงสักหน่อยคงไม่อาจจะจัดการมันได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงได้นำธนูดำของตนออกมา ก่อนที่จะส่งลูกธนูไร้สีสองดอกพุ่งเข้าใส่หมีดำหายนะ
“ฝุ่บ ฝุ่บ….”
ธนูไร้สีสันสองดอกได้พุ่งออกไปพลางกรีดอากาศจนบังเกิดเสียงแหลมเล็กและรวดเร็วประดุจสายฟ้า พุ่งตรงเข้าใส่หมีดำหายนะที่ยังตะเกียกตะกายอยู่ที่พื้นเพื่อพยายามจะลุกขึ้นมา
“โฮกกกกก”
หมีดำหายนะคำรามลั่น ก่อนที่จะจ้องมองไปยังปอยขนที่หลุดร่วงออกไปจากหน้าอก ซึ่งเป็นจุดที่เฉินเฉียงยิงธนูใหญ่ จนเผยให้เห็นผิวสีดำทมิฬที่อยู่ข้างใต้ ก่อนที่จะผุดลุกแล้วเตรียมที่จะพุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงอีกครั้ง
“ฮื้ม ช่างหนังหนานัก”
เมื่อเห็นธนูของตนไม่ระคายเคืองผิวของหมีดำหายนะแม้แต่น้อย เฉินเฉียงได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะเก็บธนูดำไป พลางหลบหมีดำที่พุ่งเข้ามาหา
ในเมื่อธนูดำทำอะไรไม่ได้เขาก็คงหวังพึ่งได้เพียงคลื่นอัดกระแทกระดับแปดของเขาได้เพียงเท่านั้น
แต่หลังจากที่ใช้คลื่นอัดกระแทกโจมตีใส่หมีดำหายนะไปแล้วนั้น เขาก็พบว่ามันไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย
หรือว่า…..
เฉินเฉียงเข้าใจได้ในทันทีว่าหมีดำหายนะตรงหน้าเขานั้นเป็นเฉกเช่นเดียวกับนักรบซากศพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันสมควรจะถูกฝังแผ่นแก่นพลังงานลงไปหลังจากตายไปแล้ว นี่จึงทำให้มันไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางจิตวิญญาณ
โดยไม่คิดมากแต่อย่างใด เฉินเฉียงได้ดึงดาบดั้นเมฆออกมา ก่อนที่จะฟาดฟันลงไปด้วยสองมือพร้อมท่าร่างที่บงบอกถึงการฟันอย่างสุดกำลัง ส่งผลให้บังเกิดท่าดาบที่รุนแรงเข้าใส่หมีดำหายนะอย่างโหดร้าย
ฉั๊วะ
ดาบดั้นเมฆทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม มันตัดเฉือนไหล่ซ้ายของหมีดำหายนะออกไปจนขาดสะพายแล่ง(ห้อยโตงเตง,เกือบจะขาดกระเด็น)
หากเป็นสัตว์ประหลาดธรรมดา ต่อให้พวกมันทรงพลังแต่หากโดนโจมตีจนเกิดบาดแผลสาหัสเช่นนี้ พวกมันย่อมแสดงออกมาซึ่งท่าทีที่โอดครวญ
แต่กับหมีดำหายนะตัวนี้ มันทำเพียงใช้มือขวาของตน กระชากแขนซ้ายที่ใช้ไม่ได้แล้วจนขาด แล้วโยนทิ้งออกไปเพียงเท่านั้น
ไร้ความรู้สึกรู้สาสินะ
แต่กระนั้น เฉินเฉียงที่หลังจากโจมตีมันไปแล้ว เขาก็ได้มองไปที่การกระทำของมันจนถึงกับกัดฟันตนเป็นว่าเล่น
กับสัตว์หายนะเช่นนี้ นอกจากการฆ่าทิ้งแล้วไม่จะเป็นต้องหาวิธีการอื่นมาจัดการกับมันอีก
หลังจากสูญเสียแขนของตนไปแล้ว หมีดำหายนะยังคงไม่มีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด และมันยังคงโจมตีเข้าใส่เฉินเฉียงทั้งอย่างนั้น
ไอ้ฉิบหาย
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเอ็งจะทนทายาดได้ยิ่งกว่าแมลงสาบน่ะ
เมื่อเห็นหมีดำหายนะพุ่งเข้าใส่ตนเอง เฉินเฉียงก็เปลี่ยนท่าทีเป็นโหดร้าย ก่อนที่จะสะบัดดาบในมือพุ่งเข้าสวนมันไป
เพียงชั่วพริบตา
ด้วยการนำพาของดาบดั้นเมฆ เฉินเฉียงได้ทะลวงทะลุผ่านหน้าอกของหมีดำหายนะในทันที
แต่กระนั้น หมีดำหายนะแม้จะถูกโจมตีที่รุนแรงขนาดนี้ ร่างของมันก็ยังยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้นราวกับไม่รู้สึกรู้สา
และนี่ยิ่งทำให้ข้อสันนิษฐานของเฉินเฉียงถูกต้อง
นี่ต้องเป็นซากร่างของสัตว์ประหลาดที่ถูกฝังแผ่นแก่นพลังงานลงไป
อย่างไรก็ตาม แม้หมีดำหายนะจะไม่ได้ตกตายไปในทันที แต่มันก็บอกได้ว่ามนุษย์ตัวเล็กๆตรงหน้ามันนั้นไม่ใช่คนที่ตนเองจะทำอะไรได้ มันจึงได้หันหน้าไปอีกทาง ก่อนที่จะวิ่งตรงไปหาจางหยวน
จางหยวนและคนอื่นๆที่อยู่ห่างไปสองกิโลเมตรนั้น เมื่อได้เห็นหมีดำหายนะวิ่งเข้ามาหาก็ยังบอกได้ว่า ต่อให้จางหยวน เจิ้งเชิง และเหล่านักรบคนอื่นจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่พลเรือนเหล่านี้ย่อมไม่มีทางรอดแน่
แต่ในขณะที่หมีดำหายนะเตรียมที่จะพุ่งตรงมานั้น พวกเขาก็ได้เห็นว่าอยู่ๆ เฉินเฉียงก็ได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหมีดำหายนะ
ทักษะหลบหนีแสงระดับ 8
ภายใต้ความประหลาดใจของหมีดำหายนะที่เห็นว่าเฉินเฉียงปรากฏอยู่ตรงหน้า เฉินเฉียงได้ขึ้นไปที่หัวของมัน ก่อนที่จะดูดแผ่นแก่นพลังงานในหัวของมันออกมา
เฉินเฉียงนั้นลงมือได้อย่างคล่องแคล่วเพราะว่าเขาได้เคยแผ่นแก่นพลังงานออกมาจากหัวของสัตว์หายนะตัวก่อนหน้านี้
หลังจากดูดแผ่นแก่นพลังงานออกมาแล้ว หมีหายนะก็ได้ล้มหงายเก็งลงไปกับพื้นพร้อมเสียงที่สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไม่ไหวติงอีก แต่กระนั้น ดวงตาของมันก็ยังคงแดงฉานและปิดไม่ลงราวกับยังมีเรื่องค้างคาใจ
ที่ห่างออกไปนั้น จางหยวนและคนอื่นๆที่รับรู้ถึงสถานการณ์ด้วยกระแสจิตของตนนั้นก็มีท่าทีผ่อนคลายลงอย่างที่สุด แม้แต่กองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์ของเจิ้งเชิงที่บินสังเกตการณ์อยู่นั้นก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
หลังจากเห็นว่าเฉินเฉียงจัดการภัยอันตรายได้แล้ว จางหยวน เจิ้งเชิงและคนอื่นๆพร้อมพลเรือนอีกกว่าสองร้อยชีวิต ต่างก็วิ่งเข้าไปเฉินเฉียงในทันที
เมื่อได้เห็นหมีดำหายนะที่ตกตายอย่างชัดถนัดตาบนพื้นดิน นี่ทำให้เจิ้งเชิงและมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นยอมรับนับถือเฉินเฉียงด้วยหัวใจในทันใด
“นายท่าน หากว่าท่านมาปรากฏตัว พวกเราคงไม่อาจจะหนีรอดไปได้เป็นแน่”
เฉินเฉียงยิ้มก่อนจะพูดออกมา “เจิ้งเชิง เจ้ากล่าวผิดแล้ว”
“หากว่าพวกเจ้าไม่ได้ปกป้องพลเรือนผู้ที่ไม่อาจสู้รบได้ ต่อให้หมีดำหายนะตัวนี้มันทรงพลังขนาดไหนก็ไม่มีทางหยุดเจ้าจากการใช้ปีกสีเงินหนีไปได้หรอกกระมัง”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เจิ้งเชิงก็ได้พูดออกมาอย่างจริงจัง “นายท่าน นี่คือสิ่งที่พวกเราควรกระทำ”
“การสู้รบระหว่างเรากับเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่พลเรือนที่ไร้ทางสู้ควรจะมาข้องเกี่ยวด้วยแต่อย่างใด”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจิ้งเชิงแล้ว จางหยวนและคนอื่นๆของกองกำลังเทียนเว่ยก็ได้เข้าใจในที่สุดว่าทำไมเฉินเฉียงถึงบอกให้พวกเขาปกป้องทุกคนทั้งพลเรือนเหล่านี้หรือแม้แต่กองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ด้วยก็ตาม
บอกตามตรงว่า หากพวกเขามาพบเจอกันในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะพุ่งตรงเข้าสังหารมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้จนหมดสิ้นโดยไม่ถามเลยสักคำ
แต่ในเมื่อตอนนี้สัตว์หายนะได้ตกตายไป บรรยากาศที่คุกรุ่นระหว่างกองกำลังของสองเผ่าพันธุ์ก็ได้เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ตั้งแต่ตอนที่ได้พบเจอกันแต่แรก เจิ้งเชิงและพวกก็ได้ลอบสังเกตจางหยวนและพวกแล้วและมั่นใจว่าพวกเขาคือกองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ตั้งแต่เริ่ม ทั้งสองฝั่งจะอยู่คนละฝักฝ่ายแต่ก็ยังนำกองกำลังของตนมาเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่
และในตอนนี้ ภัยคุกคามดังกล่าวได้ถูกกำจัด จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะไม่ต้องการความร่วมมือเช่นนี้อีก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงทำให้เจิ้งเชิงและพวกยังไม่คิดลงมือแต่อย่างใดนั้นนั่นก็เป็นเพราะว่าจางหยวนและพวก เรียกเฉินเฉียงว่ากัปตัน
สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่ามองยังไง เฉินเฉียงนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อยู่เห็นๆ
หากเทียบกับฝั่งเจิ้งเชิงที่ทำตัวประหม่าออกมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ฝั่งของจางหยวนและคนของกองกำลังเทียนเว่ยนั้นดูราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยทีเดียว
“กัปตัน ในเมื่อพวกเราไม่มีอะไรต้องทำแล้ว ทำไมพวกเราไม่ไปส่งพลเรือนพวกนี้กลับอาณานิคมของพวกเขากันล่ะครับ”
เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นห้ามก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ต้องรีบน่า เจ้ารออยู่นี่ก่อน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้หันหลังไปและเดินไปยังพื้นที่หนึ่ง เขาเดินตรงไปจนถึงกองเนินดินเล็กๆแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “เฮ้ย ออกมาได้แล้วน่า”
เมื่อได้ยินเฉินเฉียงพูดออกมาอย่างดังลั่น นี่ทำให้ทั้งกองกำลังเทียนเว่ยและกองกำลังของเจิ้งเชิงตื่นตัวจนรีบปล่อยกระแสจิตของตนออกไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบยังไงก็ตาม พวกเขาก็ไม่พบสิ่งใดอยู่ดี
ในขณะที่ทุกคนกำลังจะหันไปมองเฉินเฉียงอย่างสับสนนี้เอง เป็นตอนนี้ที่พวกเขาได้เห็นว่า เฉินเฉียงได้ยกเท้าของตนขึ้นมา แล้วกระทืบลงไปบนกองดินตรงหน้า
และนี่เองก็ทำให้ทุกคนได้เห็นร่างของค้างคาวเลือดพิษเพลิงที่มีขนาดตัวใหญ่ยักษ์ได้ยกร่างของมันขึ้นมา โดยใต้ร่างของมันนั้น มีค้างคาวตัวน้อยๆสองตัวที่มีระดับยังไม่ถึงขั้นนายพลด้วยซ้ำ
แม้เฉินเฉียงจะกระทืบออกไปอย่างรุนแรง แต่เขาก็ได้เล็งลงไปเฉพาะที่ร่างของค้างคาวพิษเพลิงที่อยู่ในระดับนายพลตนนี้เพียงตัวเดียว
แต่ในตอนที่ค้างคาวพิษเพลิงตัวใหญ่เริ่มเหยียดกายขึ้น มันก็ได้ปลดปล่อยกลินอายที่อันตรายอย่างมากออกมา
“กัปตัน ระวังตัวด้วย ค้างคาวพิษเพลิงนั่นมีพิษร้ายแรงนัก”
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงทำตัวราวกับหูหนวกต่อคำเตือนของจางหยวน เขาปล่อยให้ค้างคาวพิษเพลิงโจมตีเขาไป พลางวางมือราวกับพร้อมที่จะฉกฉวยเอาค้างคาวตัวน้อยที่ค้างคาวตัวนี้ปกป้องไว้มาได้ตลอดเวลา
“ฮี่ฮี่ฮี่ ค้างคาวพิษเพลิงเอ๋ย ข้าบอกเลยนะว่าไม่ใช่เจ้าเพียงตัวเดียวพิษ พิษในสายเลือดของข้านั้นดีไม่ดีจะแรงกว่าเจ้าอีก พิษของเจ้าน่ะทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
“และข้าบอกได้เลย”
“ว่าข้านั้นสามารถฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เช่นเจ้าได้อย่างสบายๆ”
“แต่ก็อีกล่ะนะ หากเจ้านั้นสามารถตอบคำถามของข้าได้อย่างตรงไปตรงมา ข้าก็อาจจะอารมณ์ดีปล่อยเจ้ากับลูกไปก็ได้นา”
“กวี้กกวี้ก”
ผู้นำของสัตว์ประหลาดกลุ่มนี้อย่างค้างคาวพิษเพลิงก็ตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียง
ก่อนหน้านี้มันได้ใช้ทักษะไร้ตัวตนและทักษะรับรู้ด้วยเสียงหลังจากที่หลบซ่อนตัวไป มันก็ได้รับรู้ถึงการต่อสู้ของเฉินเฉียงและหมีดำหายนะได้เป็นอย่างดี นี่จึงทำให้มันรู้ว่าไม่อาจต่อกรกับเฉินเฉียงได้ ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าเฉินเฉียงยังมีพวกพ้องอยู่มากมาย ต่อให้มันคิดหนีก็คงไม่อาจหลุดรอดจากคนพวกนี้
หลังจากได้ยินเสียงกวิ้กออกจากค้างคาวพิษเพลิง เฉินเฉียงก็พยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “เอาน่า ข้าพูดออกมาแล้วนี่ว่าแค่เจ้าตอบคำถามข้ามาตามตรงก็พอ เพียงเท่านั้นข้าจะปล่อยเจ้ากับลูกไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงนี้ จางหยวน เจิ้งเชิงและคนอื่นๆต่างก็ทำได้เพียงมองกันตาปริบๆ
ม่อโชวในตอนนี้ได้มองอย่างเฉินเฉียงอย่างยอมรับนับถือแล้วพูดออกมาเบาๆ “กัปตันของเรานี่ช่างน่ามหัศจรรย์นัก เขารู้แม้กระทั่งภาษาของสัตว์ประหลาด……..ไม่ใช่ว่าเขานั้นเป็นแหล่งรวมความสามารถของทั้งสามเผ่าพันธุ์เลยนะเนี่ย”
“นั่นสิ นี่ศิษย์น้องไปร่ำเรียนภาษาสัตว์ประหลาดมาจากไหนกันนะ” หนี่เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดต่อ
กัวเหลียงที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าผากของตนเอง “ไอ้ฉิบหาย ศิษย์น้องเล็กมันรู้ภาษาสัตว์ประหลาดมาตั้งนานแล้วนี่หว่า”
“หนี่เฟิง เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าตอนที่พวกเรายังอยู่ในสำนักเต่าดำนั้น ที่พักของพวกเราจะมีสัตว์ประหลาดอย่างน้อยสองตัวคอยเฝ้าที่พักไว้ให้ และในตอนนั้นศิษย์น้องเล็กย่อมไม่รู้เรื่องนี้”
“ตอนนี้ข้าเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าศิษย์น้องไปทำอีกท่าไหนถึงได้สนิทสนมจนไปนอนก่ายกันอยู่ในสวนของที่พักแบบนั้น”
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์น้องน่าจะได้พูดคุยกับสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้จึงได้เข้าใจกัน”
เจิ้งเชิงและคนอื่นๆในกองกำลังของเจิ้งเชิงยิ่งได้ยินก็ยิ่งสับสนหนักยิ่งกว่าเดิม
“เอิ่มมมม เอ่ออออ พี่ชายท่านนี้ ข้าขอถามสักหน่อยเถอะว่า สรุปแล้ว กัปตันของท่านนี่เป็นมนุษย์กลา…ยังใช่มนุษ…ยังเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามนี้จากเจิ้งเชิง จางหยวนและพวกได้มองตรงมาที่เขาพลางยิ้มแหยๆออกมา ก่อนที่จะหันไปมองเฉินเฉียงแล้วพูดออกมาอย่างไม่มั่นใจเลยสักนิด
“เหอเหอเหอ แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ” จางหยวนไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ พลางมองเฉินเฉียงด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าแม้แต่พวกเขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน