ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 302 จิตใจที่ต้อยต่ำ
บทที่ 302 จิตใจที่ต้อยต่ำ
ค้างคาวเลือดพิษเพลิงนั้นคิดมาตลอดว่าไม่มีใครที่จะสามารถตรวจจับมันได้ในขณะที่มันใช้ทักษะไร้ตัวตน แต่กลับถูกตรวจพบโดยเฉินเฉียงได้อย่างง่ายดาย
“กวี้กกวี้ก”
ค้างคาวเลือดพิษเพลิงร้องออกมาพลางขยับตัวกระชับลูกของตนไว้แน่นกว่าเดิม
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ได้ยกมือขึ้นห้ามปราม “ไม่ต้องมาพูดเยินยอให้ข้าหลงระเริงไปหรอกน่า”
“เอาล่ะ ข้าขอถามเจ้าหน่อยแล้วกันเกี่ยวกับไอ้หมีดำตัวนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่”
“แล้วก็พวกเจ้ามาจากไหนกัน”
หลังจากค้างคาวเลือดพิษได้ยินคำถาม มันก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างต่อเนื่องต่อหน้าเฉินเฉียงท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของผู้พบเห็น เพราะเฉินเฉียงทำท่าตอบสนองราวกับฟังรู้เรื่องอย่างชัดเจน
“อืมๆ เจ้าว่าแต่เดิมหมีดำตัวนี้เป็นผู้นำสัตว์ประหลาดภายใต้ชื่อปีกดำทมิฬสินะ”
“อ้อ สองวันก่อน หมีดำนี่เริ่มเข้ามารุกล้ำที่เขตของเจ้าที่ผาคนแก่งั้นรึ อ่าฮ้ะ แล้วเจ้าก็ถูกไล่ฆ่ามาจนถึงนี่”
เฉินเฉียงพูดออกมาเรื่อยๆราวกับจะบรรยายสิ่งที่รับรู้ให้คนอื่นได้เข้าใจ
“เดี๋ยวนะ”
เป็นเพียงตอนนี้ที่เฉินเฉียงเบิกตากว้าง ก่อนที่จะเข้าไปจับปีกที่วาดไปมาราวกับกำลังใช้ประกอบก่อนอธิบาย แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“เจ้าบอกว่ามาจากผาคนแก่งั้นรึ”
“ตอบข้ามาตามตรงซะ”
ด้วยการที่ถูกค้างคาวเลือดพิษเพลิงถูกคว้าจบโดยเฉินเฉียงอย่างรวดเร็วชนิดที่แม้แต่มันเองก็ยังตามไม่ทัน นี่ทำให้ตัวมันนั้นรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันได้สบตาเข้ากับเฉินเฉียงแล้ว แม้ว่าค้างคาวพิษเพลิงตัวนี้จะอยู่ในระดับนายพลขั้นสูง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเฉินเฉียงอย่างชัดเจน มันกลับจ้องมองด้วยตาที่ไม่กะพริบ และปากที่พร่ำร้องออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระออกมา ตอบข้ามาว่าเจ้าอยู่ที่ผาคนแก่มานานแค่ไหนแล้ว”
เฉินเฉียงไม่แยแสต่อท่าทางที่หวาดกลัวของค้างคาวพิษเพลิง เขายังคงถามออกไปด้วยสายตาที่ถลึงมองอย่างไม่กะพริบ
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้เห็นความยากลำบากที่จะตอบออกมาค้างคาวพิษเพลิงตัวนี้ในทันที
และนี่ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าค้างคาวพิษเพลิงตัวนี้ต้องอยู่ที่ผาคนแก่ตอนที่เฉินเทียนเว่ยได้ตกตายไป
“พูด เมื่อยี่สิบสามปีก่อน เจ้าได้เห็นเรื่องราวที่ยอดผาทางด้านใต้ของผาคนแก่รึเปล่า”
เมื่อเฉินเฉียงพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ทำให้ค้างคาวเลือดผิดถึงกับขนลุกขนชันอย่างเห็นได้ชัด
เป็นตอนนี้ที่กองกำลังมนุษย์กองหนึ่งได้พุ่งตรงมาที่นี่ และเพียงชั่วพริบตาก็ได้รุมล้อมเฉินเฉียงและคนอื่นๆตรงหน้าไว้จนหมดสิ้น
ส่วนเฉินเฉียงนั้นไม่ได้แยแสแม้แต่ชำเลืองมองคนพวกนี้ เขายังคงเค้นถามค้างคาวเลือดพิษเพลิงตรงหน้าเขาต่อ
หัวหน้าของกองกำลังนี้เป็นชายอายุประมาณสามสิบปีที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง
เมื่อพวกเขามาถึงก็ได้พบสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนัก
นั่นก็เพราะ ตรงหน้าเขานี้ ไม่เพียงจะมีมนุษย์ ยังมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้รบราฆ่าฟันกัน
อย่างที่รู้ดีว่าทั้งสามนั้นเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ แต่ในตอนนี้ ทั้งสามเผ่าพันธุ์กับยืนมองหน้ากันไปมาราวกับเป็นพันธมิตรที่พลัดพราก ไม่ได้มีท่าทีจะห้ำหั่นกันแต่อย่างใด
รวมทั้งสัตว์ประหลาดที่เฉินเฉียงเผชิญหน้าอยู่นี้ พวกมันมีท่าทีที่เกรงกลัวราวกับว่ากลัวเขาจะกินทั้งเป็นอีก
นี่ทำให้ผู้นำกองกำลังคนนี้ หลังจากเห็นว่าคนของตนรุมล้อมคนเหล่านี้ไว้หมดแล้ว ก็ได้ค่อยๆเดินเข้ามาหาจางหยวน
“เจ้าเป็นกองกำลังมนุษย์รึเปล่า”
จางหยวนที่เห็นก็เดินออกไปรับหน้าแล้วพูดออกมา “ถูกต้อง พวกเรามาตามคำสั่งของตึกจอมพลเหมันต์จันทรา กองกำลังเทียนเว่ย ข้า รองกัปตันจางหยวน ส่วนนั่นกัปตันของเรา เฉินเฉียง”
เมื่อได้ยินคำว่า เฉินเฉียง นี้ อย่าว่าแต่ผู้นำกองกำลังคนนี้เลย แม้แต่เจิ้งเชิงเองก็ยังนิ่งอึ้งไป
“งั้น….เขาก็คือเฉินเฉียงรึ”
“กัปตัน แล้วพวกเราเอายังไงกันดี ตอนนี้พวกเราโดนล้อมไว้แล้ว ดูท่าจะหลบหนีไปได้ยากนัก”
หนึ่งในคนของเจิ้งเชิงได้กระซิบถามที่ข้างหู
“ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่างมากก็สู้จนกว่าจะตายไปข้างนึงก็เท่านั้น” เจิ้งเชิงแม้จะรับรู้สถานการณ์แล้ว แต่เขาก็ยังมีท่าทีไม่กังวลต่อสิ่งใด
ส่วนผู้นำกองกำลังมนุษย์ห้าสิบคนนี้ เมื่อได้ยินชื่อเฉินเฉียงแล้ว ด้วยความเลื่อมใสในคำเล่าลือ เขาจึงได้เดินไปให้เฉินเฉียงพร้อมก้มหัวเล็กน้อยให้แล้วพูดออกมาอย่างเคารพ
“นายพลเว่ยหวู่ ผู้นำที่มีชื่อเสียงแห่งกองกำลังเทียนเว่ย เฉินเฉียงสินะ ข้าได้ยินชื่อมานานแล้ว”
“ข้า หวู่เจียง กัปตันของหนึ่งในสี่กองกำลังภาคพื้นทะเลแดนใต้แห่งตึกจอมพลแดนใต้”
“ว่าแต่… น้องเฉินเฉียง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“แล้วคนพวกนี้เป็นใคร”
พูดจบ หวู่เจียงก็ได้ชี้ไปที่เจิ้งเชิงและพวกหลังจากกล่าวทักทายไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นตอนที่หวู่เจียงแนะนำตัว หรือแม้แต่สอบถามเรื่องราวของเจิ้งเชิง เฉินเฉียงไม่ได้แยแสแม้แต่เหลือบมองก็ยังไม่ทำ
เมื่อเห็นท่าทางที่เสียมารยาทของเฉินเฉียงนี้ทำให้ใบหน้าของหวู่เจียงใบหน้ามืดครึ้มขึ้นมา
เมื่อเห็นแบบนี้ จางหยวนก็รีบเข้ามาแล้วพูดออกมา “กัปตันหวู่จี้ ข้าต้องขอโทษแทนกัปตันของข้าด้วย ในตอนนี้ท่านกำลังจัดการปัญหาส่วนตัวอยู่ อย่าพึ่งไปรบกวนท่านจะดีกว่า”
“เรื่องราวเป็นอย่างนี้….”
“พวกข้าได้ยินมาว่าทางตึกจอมพลแดนใต้นั้นประสบปัญหาเรื่องสัตว์หายนะ ตึกจอมพลเหมันต์จันทราของเราจึงคิดจะส่งกำลังเสริมมาช่วยพวกท่าน และในระหว่างทาง พวกเราก็ได้พบกับกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ที่กำลังช่วย…”
ก่อนที่จางหยวนจะได้พูดจบลง หวู่เจียงเมื่อได้ยินคำว่า มนุษย์กลายพันธุ์ ก็รีบชักสีหน้าแล้วกระโดดถอยหลังไปไกลแล้วตะโกนออกมาดังลั่น “พี่น้อง พวกมันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้ ฆ่ามันให้หมด”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมากจนทำให้จางหยวนที่กำลังพูดอยู่นี้ก็ยังตั้งตัวไม่ทัน
ส่วนเจิ้งเชิงและพวกเมื่อเห็นฉากนี้ คนทั้งยี่สิบของเขาก็รีบวางตำแหน่งเป็นวงกลมข้างในเตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา
พร้อมกับกลิ่นอายปืนที่เริ่มคุกรุ่นไปทั่วทั้งบริเวณ
เป็นตอนนี้ท่ามกลางพลเรือนมนุษย์กว่าสองร้อยคน ได้มีนักรบสายเลือดคนหนึ่งได้ตะโกนออกมา “นายพลหวู่เจียง โปรดยั้งมือ”
“หากมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ไม่ไม่ได้เข้ามาช่วยพวกเราไว้ พวกเราชาวอาณานิคมกว่าสองร้อยคนก็ถูกกินไปโดยสัตว์หายนะไปแล้วนะท่าน”
“เห็นแก่ที่เจิ้งเชิงและคนของเขาช่วยพวกเราไว้ นายพลหวู่โปรดรับฟังพวกข้า ช่วยปล่อยพวกเขาไปด้วยเถิด”
หวู่เจียงเมื่อได้ยินก็เลือดขึ้นหน้าในทันที
“ไอ้ระยำ พวกเจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าพวกมันนั้นคือมนุษย์กลายพันธุ์น่ะ”
“มนุษย์กลายพันธุ์นั้นไม่ว่ายังไงพวกมันก็คือมนุษย์กลายพันธุ์อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกมันคือศัตรูโดยธรรมชาติของพวกเรา”
“แล้วเพียงแค่การช่วยเหลือเล็กน้อยจากพวกมัน พวกเจ้าถึงกับประทับใจพวกมันแล้วงั้นเหรอ”
“แต่ท่านนายพลหวู่ พวกเขาไม่ได้ทำเพียงช่วยเหลือเล็กๆนะ พวกเขามีบุญคุณด้วยการช่วยเหลือพวกเราไว้”
“แม่งเอ๊ย”
หวู่เจียงในตอนนี้ได้สั่งให้กระชับวงล้อมเข้าไปแล้วด่ากราดออกมา “ไอ้พวกชนชั้นต่ำไร้หัวคิด เพียงแค่ถูกช่วยชีวิตก็ถือว่าเป็นหนี้บุญคุณแล้วงั้นรึ พวกแกคือความอับอายของเผ่าพันธุ์”
“ไอ้พวกน่าขายหน้าเช่นเจ้าสมควรให้สัตว์หายนะกินไปให้หมดยังดีซะกว่า”
เพียงหวู่เจียงได้พูดจบ อยู่ๆเบื้องหน้าของเขาก็เลือนราง พร้อมกับถูกตบใบหน้าไปอีกสิบกว่าฉาด
เมื่อหวู่เจียงได้สติ เขาก็พบว่าเฉินเฉียงนั้นในมือซ้ายคว้าจับคางของค้างคาวพิษเพลิงเอาไว้ ส่วนมือขวาในตอนนี้ได้คว้าคอของเขาเอาไว้ พร้อมดวงตาที่จ้องมองเขาอย่างคุกรุ่นราวกับแปลวไฟ
ชื่อของเฉินเฉียงนั้นพูดกันตรงๆแล้วพึ่งเป็นที่รู้จักกันประมาณสองปีเท่านั้น
ทุกคนที่พูดถึงเขาต่างก็บอกกันว่า แม้เขาจะเป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่ความทรงพลังของเขานั้น แม้แต่กึ่งราชาก็ยังไม่ยากจะยุ่งเกี่ยว
ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำกองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์ เมื่อได้ยินชื่อเสียงของเฉินเฉียงในครั้งแรก เขาก็หัวเสียกับเฉินเฉียงในทันที
ยังไงซะ นายพลวิญญาณก็คือนายพลวิญญาณ จะไปแกร่งกล้าเกินกว่าระดับกึ่งราชาได้ยังไงกัน
แต่เป็นตอนนี้ที่คนดักดานผู้นี้รับรู้แล้วว่าตำนานเรื่องเล่านั้นเป็นความจริงเสียยิ่งกว่าที่เล่าลือ
เมื่อได้เห็นดวงตาที่ราวกับพร้อมจะกินเขาเข้าไปได้ทั้งเป็น หวู่เจียงก็ได้อ้าปากที่สั่นเครืออย่างหวาดกลัวของตนถามออกมา “เฉิน…เฉินเฉียง เจ้า…เจ้าจะทำอะไร”
“อย่าบอกนะว่าเจ้า….เจ้าจะช่วยมนุษย์กลายพันธุ์พวกนี้ฆ่าข้า”
เมื่อคนในกองกำลังของหวู่เจียงเห็นฉากนี้ พวกเขาก็รีบรุมล้อมเฉินเฉียงเอาไว้
“ปล่อยกัปตันของพวกเราซะ”
คนที่หวู่เจียงนำมานี้มีมากกว่าห้าสิบคน
อย่างไรก็ตาม นอกจากเขาและรองกัปตันที่เป็นนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้วนั้น
นักรบคนอื่น กว่าครึ่งอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น และอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่พึ่งจะเข้าสู่ระดับกลางเพียงเท่านั้น
และด้วยระดับการบ่มเพาะเพียงเท่านี้ ต่อให้จางหยวนและคนอื่นๆไม่ลงมือ คนเหล่านี้ก็ไม่อาจจะทำอะไรเฉินเฉียงได้
และหากไม่ได้กองกำลังเทียนเว่ยช่วยเหลือ ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะทำอะไรกองกำลังของเจิ้งเชิงได้ ถึงแม้จะมีเพียงยี่สิบคนก็ตาม
แต่ด้วยการที่ตอนนี้เฉินเฉียงนั้นตกเป็นเป้าหมายของคนอื่น คนในกองกำลังเทียนเว่ยมีหรือที่จะยอมยืนดูอยู่เฉยๆ ในตอนนี้กองกำลังเทียนเว่ยและกองกำลังของเจิ้งเชิง ได้หันไปเผชิญหน้ากับคนของหวู่เจียง
เฉินเฉียงในตอนนี้จ้องมองหวู่เจียงอย่างเย็นชา ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะด่ายังไงดี หลังจากนั้นเขาก็ได้ทะยานขึ้นฟ้าและสยายปีกสีเงินที่ใหญ่ยักษ์และยาวกว่าเก้าเมตรของตนออกมา
ในขณะที่อยู่กลางอากาศนี้ เมื่อได้ยินเสียงกระทบกันไปมาของเฉินเฉียงที่ครั่นคร้ามไปทั่วบริเวณนี้ นี่ทำให้หวู่เจียงและค้างคาวเลือดพิษเพลงแสดงออกมาด้วยใบหน้าที่ราวกับจะสิ้นหวังในชีวิต
ต่อหน้าของทั้งสอง เฉินเฉียงในตอนนี้ราวกับเป็นเทพสงครามบ้าเลือดที่กำลังตกอยู่ในสภาพสุดท้ายก่อนจะหลุดความบ้าคลั่งออกมา
“หวู่เจียงสินะ”
“เจ้าลองพูดคำก่อนหน้านี้ออกมาใหม่สิ”
ด้วยเสียงที่เย็นยะเยียบที่ราวกับยมบาลในนรกอเวจีนี้เอง มันได้เสียดแทงเข้ากระดูกของเขาจนไม่อาจพูดออกมาโดยง่าย
“ขะ ขะขะ ข้า….”
ถึงแม้ว่าหวู่เจียงจะกลัวอย่างจับใจ แต่ในฐานะที่เขาเองก็ถือว่าตนเป็นนายพลวิญญาณเหมือนกัน เขาจึงรีบสงบใจแล้วพูดออกมา
“พี่เฉินเฉียง ข้าพูดสิ่งใดผิดไปกัน”
“ก็ไอ้พวกนี้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วทำไมข้าจะฆ่ามันไม่ได้”
“แต่เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าชาวอาณานิคมกว่าสองร้อยนี้ที่เป็นเพียงคนธรรมดานั้นตกตายถูกสัตว์หายนะกินไปซะได้ก็ดีไม่ใช่รึ”
“นี่หรือเป็นคำพูดของมนุษย์ที่เจ้าภูมิใจที่จะเป็นนักหนาน่ะ”
“การกระทำที่กล้าหาญของมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ยังดูสมกับเป็นมนุษย์มากกว่าเจ้าเลย”
“แต่เจ้ากลับกล้าพูดคำออกมาทั้งๆที่ตัวเองต่ำต้อยเนี่ยนะ”
“เจ้าควรจะแหกตาดูกว้างๆและมองดูให้มันดีๆ”
“หากไม่มีกองกำลังข้างข้าอยู่แล้วอย่างพวกเจ้าเนี่ยนะจะไปจัดการเจิ้งเชิงกับคนของเขาน่ะ”
“อยากจะฆ่าเจิ้งเชิงนักใช่ไหม”
“เยี่ยม”
“จางหยวน”
“รับคำสั่ง”
“พวกเจ้า นำกองกำลังเทียนเว่ยคุ้มครองพลเรือนชาวอาณานิคมไปส่งยังที่ปลอดภัย”
“ส่วนการต่อสู้ระหว่างเจิ้งเชิงกับคนหวู่เจียง ข้าไม่อนุญาตให้ยื่นมือเข้าช่วย”
“รับคำสั่งครับ”
จางหยวนรีบตะโกนรับจากบนพื้นดิน
เหตุที่เขาไม่ลังเลที่จะรับคำสั่งนี้นั้นเป็นเพราะคำของหวู่เจียงเองก็ทำให้เขาและคนอื่นๆในกองกำลังเดือดดาลไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อรับคำสั่งของเฉินเฉียงแล้ว คนในกองกำลังเทียนเว่ยก็รีบกระจายตัวไปคุ้มครองพลเรือนจากเผ่าพันธุ์ของตน และพากลับไปยังอาณานิคมที่พวกเขาได้พบเจอก่อนหน้านี้
เมื่อเจิ้งเชิงและพวกเห็นว่าจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังของเขาพาคนไปส่งจริงๆ นี่ทำให้พวกเขานั้นมีท่าทีผ่อนคลายลงอย่างที่สุด
เป็นไปอย่างที่เฉินเฉียงบอกเอาไว้ เมื่อไม่มีกองกำลังเทียนเว่ยที่ทรงพลังเกินกว่าใครในที่นี้ พวกเขายังไม่ยากเย็นที่จะจัดการคนของหวู่เจียง ถึงแม้จะมีจำนวนกว่าห้าสิบคนก็ตาม
หวู่เจียงที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉินเฉียงจะออกคำสั่งแบบนี้ออกมา เขาก็ได้โกรธเคืองจนใบหน้าแดงก่ำ
“เฉินเฉียง สักวันเจ้าจะนำพาหายนะมาสู่เผ่าพันธุ์ของเราไม่ช้าก็เร็ว”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ได้ปล่อยมือของตนจากคอของหวู่เจียง ทำให้เขาร่วงหล่นไปยังพื้นดิน หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมา “หวู่เจียง นับจากนี้ การต่อสู้ของเจ้ากับเจิ้งเชิงนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เฉินเฉียงผู้นี้ โปรดแสดงฝีมือของเจ้าให้ข้าได้ประจักษ์ด้วยแล้วกัน”
เมื่อหวู่เจียงได้ลงมาบนพื้นดินแล้ว เขาก็ได้เห็นถึงความต่างกำลังอย่างชัดเจนระหว่างคนของตนกับศัตรู นี่ทำให้เขาทำได้เพียงกัดฟันแน่นแล้วตะเบ็งเสียงออกมา “กลับ” “เฉินเฉียง รอก่อนเถอะ ข้าจะไปรายงานเรื่องต่อพวกระดับสูงให้รับรู้”
เมื่อหวู่เจียงและคนของเขารีบหนีไป เจิ้งเชิงและคนอื่นๆก็ไม่ได้แยแสอีก กลับกัน เมื่อเฉินเฉียงได้กลับลงมาอย่างพื้นดิน เขารีบป้องมือแล้วพูดออกมาอย่างเคารพ “นายท่าน เจิ้งเชิงและพวกจะไม่ลืมพระคุณของท่านในวันนี้”
“ในอนาคต หากชะตาของเราต้องกัน เจิ้งเชิงและพวกจะตอบแทนบุญคุณนี้ต่อนายท่านอย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นท่าทีของเจิ้งเชิงแล้ว เฉินเฉียงก็พยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “เจิ้งเชิง เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่านายท่านอะไรนั่นหรอก”
“เพียงแค่ยามที่เราได้พบกันอีกครั้ง ข้าก็หวังเพียงว่าเรายังถือมิตรภาพนี้ไว้ได้ก็เพียงพอ”
เมื่อเจิ้งเชิงและพวกได้ยินแบบนี้ พวกเขามองหน้ากันปราดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้กัน
“ดี พี่เฉินเฉียง หากท่านไม่ถือสาในฝักฝ่าย ข้า เจิ้งเชิงผู้นี้ก็หวังที่จะได้เป็นเพื่อนของท่านไปตลอดกาล”
หลังจากพูดจบ เจิ้งเชิงและพวก ได้เอ่ยลาอีกครั้งก่อนที่จะพากันจากไป
ทั้งสองแม้จะไม่ได้รู้จักกันมากมาย ไม่ได้มีวิธีการติดต่อหรือพูดคุยกัน
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังเชื่อว่า โชคชะตาจะนำพาให้พวกเขามาพบเจอกันอีก
มิตรอย่างนี้มีค่าล้ำลึก สมควรแก่การคบหา
อย่างน้อยๆนี่ก็เป็นความคิดของเฉินเฉียง
หลังจากทุกคนได้จากไป เฉินเฉียงก็ได้พูดคุยกับค้างคาวเลือดพิษได้อย่างสงบสักที
“ค้างคาวเลือดพิษ หากเจ้าคิดจะหนีก็เชิญเจ้าลองได้เลย”
“แต่ข้าบอกไว้ก่อนนะว่าข้าผู้นี้ ในตอนที่เยาว์วัยไม่ได้ความรู้สึกดีๆกับสายพันธุ์ของพวกเจ้าเลยสักนิด”
“หากข้าโกรธเคืองเจ้าจนเผลอฆ่าเด็กของเจ้าไป หลังจากนั้นข้าจะท่องไปทั่วหล้า และสังหารสายพันธุ์ของเจ้าให้หมดสิ้นเลยแล้วกัน”
“ดังนั้น จะดีกว่าหากเจ้ายอมพูดออกมาตรงๆกับข้า”
“เมื่อยี่สิบสามปีก่อน เจ้าได้พบเห็นสิ่งใดในการต่อสู้ที่ผาคนแก่กัน”
“ควี้กควี้กควี้ก”
“ท่านเทพเซียนผู้สูงส่ง โปรดให้อภัยข้ากับเด็กน้อยของข้าด้วย”
ด้วยการที่ในตอนนี้นอกจากค้างคาวเลือดพิษตัวนี้แล้ว ก็เหลือเพียงแค่ค้างคาวตัวน้อยสองตัวนี้กับเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น
นี่ทำให้มันเกรงกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ
มันได้พยักหน้า ก่อนที่จะก้มหัวลงแล้วตอบเฉินเฉียงออกไป
“ฮื้ม” เฉินเฉียงที่ได้ยินก็หันไปมองหน้าค้างคาวเลือดพิษที่กำลังบินอยู่ในทันที “เจ้าหมายความว่ายังไง เทพเซียนไหนกัน”
“ควี้กควี้ก”
“ท่านเทพเซียน ก็ไม่ใช่ว่าท่านนั้นตกตายไปเมื่อยี่สิบสามปีก่อนนั่นหรอกหรือ กับเหตุการณ์ในครานั้น ท่านไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ได้ในตอนนี้นี่นา”
เมื่อได้ยินคำพูดของค้างคาวเลือดพิษเพลิงนี้ ผมเฉินเฉียงก็เกือบจะลุกชันขึ้นมา
นั่นก็เพราะคนที่ว่าสมควรตกตายไปแล้วนั้น น่าจะหมายถึงเฉินเทียนเว่ย
เฉินเฉียง ในฐานะที่เป็นเชื้อสายของเฉินเทียนเว่ย เมื่อยี่สิบสามปีก่อนนั้น เขาเองก็เพียงพึ่งจะเกิดเพียงเท่านั้น และช่วงอายุของเขาก็พอๆกับเขาในตอนนี้ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีความคล้ายคลึงกัน
และท่าทางนี้เองเขาก็ได้เคยเห็นมาแล้วในตอนที่เว่ยหยวนตี้เห็นเขาเป็นครั้งแรก
ย้อนกลับไปที่ตึกจอมพลเขตกันหนัน เว่ยหยวนตี้ที่ตอนนั้นเป็นผู้การร่วม มันก็มีท่าทางแบบนี้เช่นกัน นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่ลืมเลือนไปได้
และจากท่าทางแล้ว แม้แต่ค้างคาวเลือดพิษเองก็คงจะคิดว่าเขาเป็นเฉินเทียนเว่ยผู้ซึ่งตกตายไป
“ค้างคาวเลือดพิษ บอกข้ามาให้ชัดๆว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น”
“ควี้กควิ้ก”
เมื่อเห็นว่าค้างคาวเลือดพิษอิดออดและมีท่าทีที่ลังเลราวกับไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง นี่ทำให้เฉินเฉียงอดที่จะเกร็งเสียไม่ได้
“มากับข้า”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้จับไปที่ค้างคาวเลือดพิษเพลิงและลูกของมัน และเพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งสี่ก็หายไปจากตรงนั้น และพุ่งตรงไปที่ผาคนแก่
เพียงแค่สิบนาที เฉินเฉียงก็ได้มาอยู่ตรงหน้าหลุมเล็กๆที่เขาได้พบเจอก่อนหน้านี้ และปล่อยตัวค้างคาวเลือดพิษจากมือของตน