ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 305 เสียสละ
บทที่ 305 เสียสละ
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ไร้เรี่ยวแรงของเฉินเทียนเว่ย เฉินเฉียงก็รู้สึกได้ราวกับถูกมีดกรีดที่กลางใจของตนซ้ำไปมา
“ไม่ ท่านพ่อ ท่านต้องไม่เป็นไร เมื่อท่านดีขึ้นแล้ว ลูกชายคนนี้จะพาท่านเข้าไปสำรวจเขตแดนจักรพรรดิด้วยกัน”
เฉินเทียนเว่ยใช้แรงที่เหลือใช้มือสัมผัสใบหน้าของเฉินเฉียงราวกับต้องการคงอยู่แบบนี้ตลอดไป ก่อนที่จะหายใจอย่างหนักแล้วพูดออกมา “เฉียงเอ๋อ… ผู้คน….ต่างก็…ต้อง….ตกตาย…..อย่า….ได้เศร้า….ไปเลย”
“พ่อผู้นี้….มีเพียงสิ่งเดียว…..ที่ยัง….ข้างคาใจ…..คือ….ไม่อาจ…..ช่วยเจ้าจาก….การเผาแก่นสายเลือด”
“ข้า….เกลียด….ตัวเอ…ง…ที่…”
เฉินเทียนเว่ยแรงเฮือกสุดท้ายเงยหน้าพยายามบอกกับท้องฟ้าอย่างเกลียดชัง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจจะพูดออกมาได้จนนอนตายตาไม่หลับ
“ท่านพ่อ”
เฉินเฉียงรับรู้ได้และพยายามเขย่าตัวเฉินเทียนเว่ยที่อยู่ในอ้อมแขน แต่กระนั้น เขาก็ไม่ไหวติงอีกต่อไป
“ท่านพ่อ”
เฉินเฉียงตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่นจนเสียงของเขาทอดยาวไปไกลทั่วระยะสิบไมล์ ทำให้แม้แต่เจิ้งยี่ หลิงเว่ย และคนอื่นๆในอาณานิคมก็ยังได้ยิน
“นายท่าน”
หยานเสวี่ยเองก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
เจิ้งยี่และพวกที่ได้ยินก็รีบวิ่งมาหาก็ได้พบฉากเหตุการณ์ที่เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยตกอยู่ในภาพโศกเศร้า นี่ทำให้เจิ้งยี่และคนอื่นๆถึงกับต้องตกใจ
ไม่มีใครคิดว่าศัตรูที่พวกเขาตั้งแง่จนต้องมาคอยยืนดูเชิงป้องกันอาณานิคมตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ จะเป็นกัปตันรุ่นแรกในตำนานของกองกำลังเทียนเว่ย เฉินเทียนเว่ยผู้นั้น
และบุคคลในตำนานผู้นั้นกลับกลายเป็นตำนานราชาที่ทรงพลังในหมู่ราชาในระดับเทียบเท่าราชาขุนพลของทั้งสามเผ่าพันธุ์ ราชาสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เจิ้งยี่ หลิงเว่ย และคนอื่นๆต่างก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะพูดอะไรได้ ถ้าจะให้พูดจริงๆคือพวกเขาเองก็ไม่รู้ควรจะทำอะไรมากกว่า
ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ จะดีกว่าหากปล่อยให้เฉินเฉียงอยู่กับความรู้สึกนี้ไว้ก่อน
นี่ทำให้หลังจากที่เจิ้งยี่ หลิงเว่ย และคนอื่นๆได้มองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะถอยร่นกลับอณานิคมไป
และนี่ทำให้ผู้ที่สุสานของซุนต้าฮู่กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
จะมีเสียงเดียวที่ได้ยินในตอนนี้ก็คือเสียงสะอื้นของหยานเสวี่ยเพียงเท่านั้น
เสียงของเธอในตอนนี้ราวกับเสียงของลมที่พัดผ่านใบไม้ที่อยู่รอบข้างของทั้งสองคน
เฉินเฉียงผู้ซึ่งประคองร่างของเฉินเทียนเว่ยที่ตกตายไปนั้น ก็ได้ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้ว
ใบหน้าของเขาในตอนนี้แสดงออกมาอย่างจมจ่อมลงไปในห้วงความคิดในขณะที่นั่งจ้องมองร่างของเฉินเทียนเว่ยที่อยู่ในอ้อมแขนของตน
เป็นตอนนี้ที่สายสัมพันธ์ระหว่างเฉินเทียนเว่ยและเฉินเฉียงนั้นส่งผ่านเข้ามาในจิตใจเขา
นับแต่เขาลงมายังโลกใบนี้ เฉินเฉียงนั้นคิดมาตลอดว่าคนเองนั้นเฉลียวฉลาดเกินกว่าใคร ทำให้เขาภูมิใจในตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
แต่กระนั้น เขาก็ไม่สามารถคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่าราชาสวรรค์คือพ่อของตน
และมาในตอนนี้ เมื่อคิดถึงว่า ราชาสวรรค์เองก็คงจะรับรู้ในเรื่องความสัมพันธ์นี้มาตั้งแต่ต้น แต่ที่ไม่บอกความจริงออกมาก็เพียงเพื่อเห็นแก่ตัวเขา
เฉินเทียนเว่ย ผู้ซึ่งเข่นฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์มาตลอดชีวิต สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์
หากเป็นคนธรรมดานั้น หากต้องพบเจอเรื่องแบบนี้แล้วจะทำอะไรได้กัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขารู้ว่าเฉินเฉียงเองได้เข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ย นี่ยิ่งทำให้เขาไม่อาจจะเผยตัวตนได้เข้าไปอีก
หากเฉินเฉียงรู้ว่าเขายังไม่ตาย และกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่ซึ่งเป็นศัตรูธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แล้วนั่นจะไม่เป็นการลิดรอนอนาคตของเขาไปได้อย่างไร
แม้แต่ก่อนจะตายไป เฉินเทียนเว่ยก็ยังคงคิดถึงแต่เรื่องเฉินเฉียง
เป็นอย่างเช่นที่หยานเสวี่ยพูดเอาไว้ หากเฉินเทียนเว่ยได้ไปยังฮุยตู๋ ด้วยระดับการบ่มเพาะที่ทรงพลังของผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนแล้ว เฉินเทียนเว่ยก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต
แต่ในเมื่อมันเป็นความเสี่ยง เขาจึงเลือกที่จะใช้ช่วงชีวิตสุดท้ายกับลูกชายของตนจะดีซะกว่า
ไหนจะการที่ถ่ายทอดเพลงดาบทำลายวิญญาณที่สมบูรณ์ให้กับเขาในช่วงชีวิตสุดท้ายนี้อีก
หากเทียบกับเฉินเทียนเว่ยแล้ว เขาล่ะเคยทำอะไรให้บ้าง
เขานั้นทำได้เพียงสงสัยในทุกการกระทำยามที่พ่อของเขาที่อยู่ในสถานะราชาสวรรค์ให้เขากระทำ
ไหนจะทำให้เขาต้องยุ่งยากจัดการแก้ไขในสิ่งที่เขาก่อไว้ให้
ถึงแม้ความลับของเขตแดนจักรพรรดิจะเย้ายวนจนทุกคนต่างก็หาวิธีจับตัวเขาเพื่อเค้นถาม แต่ราชาสวรรค์กลับไม่เคยคิดบังคับถามจากเขา แม้แต่เอ่ยถามตรงๆก็ยังไม่เคยด้วยซ้ำกระมัง
ใช่แล้ว
ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความรักที่เฉินเทียนเว่ยมีให้กับเขา
อย่างไรก็ตาม ในโลกที่แสนโกลาหลแบบนี้ ไม่ว่าผู้คนจะเห็นค่าในเผ่าพันธุ์มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว คนเหล่านั้นก็ยังทรยศเผ่าพันธุ์ของตนได้เมื่อตนเองได้รับประโยชน์มากที่สุด
เฉกเช่นเดียวกับที่เว่ยหยวนตี้บังคับขู่เข็ญเว่ยฉิงเชินสารพัดสารเพ ราวกับไม่ใช่ลูกสาวของตน
ถึงแม้ว่ายามปกติ เว่ยหยวนตี้จะดูแลเว่ยฉิงเชินเป็นอย่างดี แต่ในยามที่ตนเองเสียผลประโยชน์ เว่ยหยวนตี้นั้นยินดีที่จะเสียสละความสุขทั้งชีวิตของลูกสาว เพียงเพื่อสิ่งของที่จะทำให้ตนได้สุขสบาย
และที่น่าขำยิ่งกว่าคือเขานั้นกลับคิดมาตลอดว่าตนเองมีโชคราวกับถูกอวยพรจากนางฟ้าแห่งโชคที่บัดดาลให้เขาสำเร็จในทุกสิ่ง
ทั้งๆที่ความจริงแล้วนั้น เทพธิดาแห่งโชคของเขานั่นคือราชาสวรรค์ ที่คอยลอบปกป้องเขามาโดยตลอด
เฉินเทียนเว่ยยอมสละทุกอย่างด้วยความรักของพ่อที่หวังเพียงปกป้องลูกเพียงเท่านั้น
และในอนาคต เขาจะต้องเผชิญหน้าเรื่องราวทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวนับจากนี้
ไม่สิ
ก็ไม่แบบนั้นซะทีเดียว
แม้แต่ก่อนที่เขาจะตกตาย เฉินเทียนเว่ยก็ยังกังวลในความปลอดภัยของเขา
แม้จะรู้ว่าตนเองกำลังจะตาย ก็ยังฝากฝังหยานเสวี่ยให้ช่วยดูแลเขาไปตลอดชีวิตของเธอ
เขายังมอบธงตราแห่งกองกำลังฮุยตู๋ และขอให้เขาไปบอกเล่าเรื่องราวของสัตว์หายนะนั่น
เขารับรู้ได้ในทันทีว่าเหตุที่เฉินเทียนเว่ยบอกให้เขาทำนั้นเป็นเพราะต้องการให้เขาได้รับการปกป้องจากฮุยตู๋ และอาจจะล่วงเลยไปถึงการเข้าร่วมกับฮุยตู่ได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้แบบนี้ น้ำตาที่เหือดแห้งของเขาก็ได้ไหลรินออกมาอีก
“เฉินเฉียง ฝังพ่อบุญธรรมไว้ที่นี่กันเถอะ ท่านจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุข”
หยานเสวี่ยพูดออกด้วยเสียงเบาๆ
หยานเสวี่ยนั้น ความจริงก่อนหน้านี้ เธอก็อยากจะใช้คำนี้เรียกราชาสวรรค์มาอย่างเนิ่นนานแล้ว แต่เธอรู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียก จนกระทั่งเฉินเทียนเว่ยได้ตกตายไปแล้ว
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ได้ก้มมองไปยังเฉินเทียนเว่ยที่อยู่ในอ้อมแขนอีกครา
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะตายและมีห่วงจนทำให้แม้แต่จะตายก็ยังไม่อาจหลับตาลงไป
เฉินเฉียงได้ยกมือของตนมาค่อยๆปิดตาของเขาอย่างช้าๆ
และเป็นตอนที่ปิดตาลงนี้เอง คลื่นพลังที่ทรงพลังได้ไหลบ่าออกมาจากร่างของเฉินเฉียงจนทำให้หยานเสวี่ยต้องถอยร่นออกไปหลายสิบเมตร
หยานเสวี่ยที่ถูกผลักออกมาไกลนั้น เมื่อเธอตั้งหลักได้ก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นั่นก็เพราะ ความรู้สึกนี้มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เธอก้าวข้ามเข้าสู่ระดับราชา
แต่เฉินเฉียงนั้นเป็นเพียงนายพลวิญญาณไม่ใช่เหรอ แล้วเขาจะทรงพลังขนาดนี้ได้ยังไงกัน
ถึงแม้เธอยากจะถามออกไปมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เธอก็ยังสะกดความสงสัยนี้เอาไว้
และในตอนนี้ ดวงตาของเฉินเฉียงค่อยๆปิดลง พร้อมกับรับรู้ความรู้สึกของร่างกายของตนที่เปลี่ยนแปลงไป
เฉินเฉียงที่ยังคงตกอยู่ในสภาพที่โศกเศร้าและแค้นเคืองอยู่นั้น เขาก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าระบบย่อยสลายซากของเขาจะมาทำงานเอาตอนที่เขาปิดเปลือกตาของเฉินเทียนเว่ยนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว
ติ้ง ระบบย่อยสลายนักรบระดับราชาจอมพลระดับกลางสำเร็จ
เจ้าของระบบ: เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดระดับกึ่งราชา
การหลอมรวมทักษะ: 1
การคัดเลือกทักษะ : 12
ค่าพลังงาน: 160
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:670
ค่าความแข็งแกร่ง:628
ค่าความเร็ว:475
ค่าพลังจิต:1246
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับสูง
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: ภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร ระดับสูง
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคฝึกฝนร่างกายพื้นฐาน ระดับสูงสุด
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม ระดับต้น
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการยิงธนูของโฮ่วอี้(ผู้ดับตะวัน) ระดับสูงสุด
ทักษะ: ไร้ตัวตน
ทักษะ: การตรวจสอบด้วยเสียง
ทักษะ: เพลิงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณระดับสูงสุด
ทักษะ: ก้าวย่างสวรรค์ระดับสูง
ทักษะ: ภาษาสัตว์
ทักษะ: แกะรอยด้วยกลิ่น
ทักษะ: เคลื่อนย้ายพริบตาระดับสูงสุด
ทักษะ: สื่อสารไร้สาย
ทักษะ: สะกดจิต ระดับสูงสุด
ทักษะ: สะกดข่มวิญญาณมารสวรรค์ ระดับสูง
ทักษะ: แก่นแท้แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ระดับต้น
ทักษะ: รอบรู้สมุนไพร
ทักษะ: เพลงดาบลมเฉือน ระดับสูง
ทักษะ: อินทรีย์สยายปีก ระดับสูง
ทักษะ: ควบคุมสายน้ำ ระดับ 8 (ทักษะที่ 1)
ทักษะ: เปลี่ยนรูปลักษณ์ (ทักษะที่ 2)
ทักษะ: ปีกสีเงิน ระดับ 9 (ทักษะที่ 3)
ทักษะ: ซ่อนตัวจากแสง ระดับ 4 (ทักษะที่ 4)
ทักษะ: เกราะเหล็กไหล (ทักษะที่ 5)
ทักษะ: คลื่นเสียงทำลายวิญญาณ (ทักษะที่ 6)
ทักษะ: ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ขั้นสูง (ทักษะที่ 7)
ทักษะ: คลื่นอัดกระแทก ระดับ 8 (ทักษะที่ 8)
ทักษะ: หมอกคลอบคลุม ระดับ 2 (ทักษะที่ 9)
ทักษะ: ผ่ามิติระดับ 4 (ทักษะที่ 10)
ทักษะ: ห้านิ้วพิศวง(ห้านิ้วสะเทือนสวรรค์) ระดับ 5 (ทักษะที่ 11)
ทักษะ: เขตแดนแห่งการต่อสู้ ระดับเรียนรู้ (ทักษะที่ 12)
ทักษะ: กลืนกินเลือดปีศาจ
ทักษะ: โลกใบเล็ก ระดับ 3
……
สายเลือด: โกลาหลมัชฌิมา(โกลาหลขั้นกลาง)
ในตอนที่เฉินเฉียงได้เผลอไปดูดซับพลังงานจากร่างของเฉินเทียนเว่ย โลกใบหนึ่งก็ได้ก่อตัวขึ้นในร่างของเขา
เหตุผลหนึ่งนั้นเป็นเพราะสายเลือดของเขานั้นได้ยกระดับขึ้นเป็นขึ้นกลางไป ทำให้พลังสายเลือดในร่างของเขานั้นเข้มข้นขึ้นมาอย่างกะทันหันจนราวสายคลื่นพลังสายเลือดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกำลังไหลเวียนไปทั่วร่างเขา
เรื่องนี้เฉินเฉียงพอจะคาดการณ์มาบ้างแล้ว
ตราบใดที่เขาสามารถยกระดับสายเลือดโกลาหลของเขาได้ ผลกระทบจากการเผาผลาญแก่นสายเลือดของเขาจะหายดีในทันที
และไม่เพียงเพราะพลังที่เขาได้ดูดซับมาอย่างมหาศาลก่อนหน้านี้ ในทันทีที่สายเลือดของเขาได้ยกระดับ จุดลมปราณอีกสามจุดของเขานั้นได้เปิดขึ้นมาในทันที และทำให้เขาในตอนนี้ก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งราชา
ในตอนนี้เขารับรู้ได้ในทันทีว่าเมล็ดพันธุ์แห่งโลกที่อยู่ตรงจุดลมปราณชานจ้งของเขาได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด พร้อมกับพลังงานที่ถ่ายเทไปอย่างมหาศาลจนก่อให้เกิดโลกใบเล็กได้ในที่สุด
ยังไม่หมดแค่นั้น
นอกจากเมล็ดพันธุ์ของโลกเขาได้ก่อรูปจนกลายเป็นโลกใบเล็กในทันทีแล้วนั้น โลกใบเล็กของเขาแม้เขาพึ่งจะได้มา แต่มันก็มีขนาดพื้นที่ราวๆพันไมล์ในทันที
และยังเป็นโลกใบเล็กที่เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
มันคือโลกใบเล็กของเฉินเทียนเว่ย
ที่เขารู้เรื่องนี้เพราะเขาเคยได้เข้าไปอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง
เป็นตอนที่เกิดเรื่องหลังการศึกที่จิ้งชวน ตอนที่เฉินเทียนเว่ยไล่ล่าเว่ยหยวนตี้ เขาได้ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาหลบหนีออกจากโลกใบเล็กของเขา
แต่เขาก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าโลกใบเล็กของเฉินเทียนเว่ยที่เขาเผลอดูดซับมานี้จะหลอมรวมเข้ากับเมล็ดพันธุ์แห่งโลกของเขาได้อย่างสมบูรณ์
และการเปลี่ยนแปลงนี้เองทำให้ค่าสถานะความอดทน ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และพลังจิตของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เขาไม่แปลกใจเลยจริงว่าทำไมตอนที่เฉินเทียนเว่ยอยู่ในรูปลักษณ์ของราชาสวรรค์นั้นถึงสามารถใช้หมอกไอดำอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะเขาเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์พลังจิตเช่นเดียวกัน
ทักษะผ่ามิติที่ว่ากันว่าแม้แต่ระดับราชาจอมพลก็ยังอยากจะเรียนรู้ได้ แต่มนุษย์กลายพันธุ์ก็ได้ยัดมันลงไปไว้ในแผ่นแก่นพลังงาน และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังเหนือมนุษย์รูปแบบหนึ่ง
ไหนจะพลังห้านิ้วพิศวงนี่อีก
ก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงที่กำลังจัดการกับบอลเลือดปีศาจที่อยู่ในสายเลือดของตนนั้น เขาเองก็ได้คิดหาวิธีที่จะใช้ทักษะบางอย่างมาผนวกรวมกับบอลเลือดปีศาจอยู่เหมือนกัน เพื่อที่เขาจะได้ใช้มันเป็นอาวุธไพ่ตายของเขา
และด้วยทักษะห้านิ้วพิศวงนี้ เขาเชื่อว่ามันมากพอแล้วที่จะทำให้บอลเลือดปีศาจของเขาเป็นอาวุธได้
ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชาเพลงดาบทำลายวิญญาณสายฟ้าของเขานี่อีก
เป็นเฉินเทียนเว่ยอีกครั้งที่ทำให้เพลงดาบนี้ของเขาเข้าขั้นสมบูรณ์ได้ในที่สุด
ใครจะไปคิดว่าคนเช่นเขาจะสามารถครอบครองเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบนี้ได้
เขาไม่แปลกใจเลยจริงว่าทำไมเคล็ดวิชาดาบทำลายวิญญาณของเฉินเทียนเว่ยจะสุดยอดขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะ เขาสามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นที่เขาถึงสิ่งที่เรียกว่าเจตจำนงแห่งการต่อสู้(เจตจำนงแห่งดาบ)ไปแล้ว
และที่เฉินเทียนเว่ยต้องการให้เขายกระดับขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็เพื่อสิ่งนี้
หลังจากเฉินเฉียงได้ดูดซับพลังงานของเฉินเทียนเว่ยมา นี่จึงทำให้เขานั้นได้รับขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้ในทันที
ถึงแม้ว่าระดับขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาจะยังคงอยู่แค่ในระดับเรียนรู้ แต่เพียงเท่านี้เขาก็สามารถจัดการทุกสิ่งอย่างได้ในระยะครึ่งเมตรรอบตัวเขา
เขาสามารถนึกภาพออกเลยว่า หากขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานี้ยกระดับมากขึ้น ระยะของพลังของเขานั้นย่อมต้องขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
หลังจากที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่มากมายในร่างกายตนไปแล้ว เฉินเฉียงก็ได้โค้งตัวลงค่อยๆวางร่างของเฉินเทียนเว่ยกับพื้นดิน ก่อนที่จะหยิบดาบเหล็กที่เฉินเทียนเว่ยได้ใช้ก่อนหน้านี้มาขุดดินที่อยู่หน้าหลุมศพของซุนต้าฮู่
เป็นตอนนี้ที่หยานเสวี่ยเดินเข้ามา ก่อนที่จะคุกเข่าต่อหน้าเฉินเทียนเว่ย และช่วยเฉินเฉียงขุดหลุม
หลังจากผ่านไปสักพัก เฉินเฉียงและหยางเสวี่ยช่วยกันขุดหลุมลึกขึ้นมาหลุมหนึ่ง หลังจากนั้นเขาและหยานเสวี่ยก็ค่อยๆช่วยกันนำร่างของเฉินเทียนเว่ยไปวางไว้ในหลุม ก่อนที่จะช่วยกันฝังร่างของเขาลงไป
ในขณะที่หยานเสวี่ยกำลังคุกเข่าและหมอบกราบอยู่ที่หน้าหลุมศพที่ฝังกลบเสร็จแล้วนี้ เฉินเฉียงก็ได้นำแผ่นไม้อีกแผ่นหนึ่งที่ได้มาจากการตัดต้นไม้สูงสามเมตรที่อยู่ไม่ไกล
หลุมศพบุรุษเหล็ก นายพลเทียนเว่ยแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา
ลูกชายผู้อกตัญญู เฉินเฉียง
หลังจากแกะสลักป้ายหลุมศพแล้ว เขาก็ได้ปักมันลงไปที่หน้าหลุมศพอย่างมั่นคง ก่อนที่จะยืนขึ้นมา
พับ พับ พับ
ภายใต้การจับจ้องอย่างไม่วางตาของหยานเสวี่ย เฉินเฉียงได้นำธงกองกำลังเทียนเว่ยมาสะบัดให้ต้องลม ก่อนที่จะผูกไว้บนเสาไม้หนึ่งที่ได้เตรียมไว้และปักไว้ตรงหน้าหลุมศพของเฉินเทียนเว่ยและซุนต้าฮู่
หลังจากนั้น เฉินเฉียงได้นำดาบดั้นเมฆออกมา ก่อนที่จะคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้าของหลุมศพทั้งสองคน แล้วทำการปิดดวงตาลงโดยไม่พูดออกมาเลยสักคำ
เกือบจะหนึ่งวันผ่านไป เฉินเฉียงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย โดยมีหยานเสวี่ยคอยยืนดูอย่างไม่ห่างไกล
จางหยวนและพวกที่เฉินเฉียงให้ไปส่งชาวบ้านนั้น เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ พวกเขาก็พึ่งจะได้กลับมาและก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากคำของเจิ้งยี่
ถึงแม้จางหยวนและพวกจะไม่เคยพบเจอเฉินเทียนเว่ยมาก่อน แต่สำหรับพวกเขาแล้ว เพียงแค่เขาเป็นผู้ก่อตั้งกองกำลังเทียนเว่ย นั่นก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาแสดงความเคารพอย่างที่สุดออกมาแล้ว
และนี่จึงทำให้แค่เพียงได้เห็นป้ายหลุมศพ จางหยวนก็ได้นำคนอื่นๆในกองกำลังทั้งหมดรวมสิบสองคนเดินไปที่ด้านหลังจากเฉินเฉียง และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แสดงความเคารพต่อบุรุษผู้กล้าในตำนานของเผ่าพันธุ์มนุษย์
เช้าวันถัดมา ยามที่พระอาทิตย์เริ่มจรัสแสง เฉินเฉียงได้ลุกขึ้นยืนจากการคุกเข่า และพูดออกมาราวกับมีเพียงตนเองที่อยู่ในที่นี้ไม่มีผู้ใดอยู่รอบอย่างหนักแน่น “เพลงดาบทำลายวิญญาณ กระบวนท่าแรก กรงเล็บมังกรคราม”
ดาบในมือได้ถูกสะบัดออกไป
สายลมกรรโชกเริ่มไหลวน
“พลังฟ้าดินโหมกระหน่ำประดุจมังกรดั้นเมฆ”
“ทะลวงเมฆาและหมอกควัน เทพเซียนและศัตรูจนหมดสิ้น”
ในขณะที่ร่ายบทกลอน เขาก็ร่ายรำไปด้วย
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงเริ่มขยับท่าทางร่ายรำเพลงดาบ จางหยวนและคนอื่นๆก็ได้ยืนขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่ตกตะลึง และรับรู้ถึงบางสิ่งที่หลั่งไหลออกมาจากร่างของเฉินเฉียง
“เจิ้งยี่ ทำไมข้ารู้สึกว่าคลื่นพลังของกัปตันของพวกเรานั้นมันทรงพลังกว่าเจ้าซะอีกล่ะ”
“…..ไม่ใช่ว่ากัปตันของเราทะลวงข้ามขั้นไปแล้วหรอกนะ”
กับคำพูดที่พูดออกมาราวกับจะไม่จริงจังนี้กลับพุ่งเข้าใส่ในจิตใจของทุกคนในทันที แม้แต่เจิ้งยี่ก็ยังต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดที่ดูไม่จริงจังนี้