ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 306 ลับลวงพราง(1)
บทที่ 306 ลับลวงพราง(1)
“ข้าเองก็รู้สึกได้ว่ากัปตันของพวกเรานั้นข้ามขั้นไปแล้ว แถมดีไม่ดีจะก้าวเข้าสู่ระดับราชาไปแล้วด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจิ้งยี่ จางหยวนและคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็แสดงออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี
ก่อนหน้านี้ในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นมีเพียงเจิ้งยี่เท่านั้นที่มีระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุด โดยเขาอยู่ในระดับกึ่งราชา
นี่จึงทำให้ทุกคนนั้นต่างก็คิดว่าคนแรกที่ก้าวไปถึงระดับราชานั้นย่อมหนีไม่พ้นเจิ้งยี่เป็นแน่
ใครจะไปคิดว่ากลับกลายเป็นเฉินเฉียงที่ก้าวไปถึงจุดนั้นเป็นคนแรกในกองกำลัง
ถึงแม้ทุกคนจะยังไม่แน่ใจ แต่ด้วยคลื่นพลังที่เฉินเฉียงปลดปล่อยออกมานี้นั้นมันทรงพลังเกินกว่าเจิ้งยี่ไปไกลมาก
นี่จึงไม่แปลกหากว่าทุกคนที่เห็นเฉินเฉียงในตอนนี้จะคิดว่าเขาก้าวเข้าสู่ระดับราชาไปแล้ว
แต่ให้บอกความจริงไปตอนนี้ ทั้งจางหยวนและคนอื่นๆก็คงจะยากที่จะยอมรับได้
นั่นก็เพราะพวกเขาได้เห็นการร่ายรำที่ทรงพลังนี้และคลื่นพลังที่รุนแรงต่อหน้าต่อตาของพวกเขา
แต่กับหยานเสวี่ยนั้น เมื่อเธอได้เห็นเฉินเฉียงที่กำลังร่ายรำเพลงดาบนี้กับบังเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
เธอรู้สึกว่ามันคุ้นเคยอย่างที่สุด
มันราวกับจะเป็นเพลงดาบทำลายวิญญาณที่ราชาสวรรค์ของเธอได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้
หากไม่ใช่ว่าเธอยังเห็นรูปลักษณ์ของคนที่อยู่ตรงหน้าว่าเป็นเฉินเฉียงล่ะก็ เพียงแค่อานุภาพของเพลงดาบและคลื่นพลังที่เขาปลดปล่อยออกมานี้ หยานเสวี่ยนั้นต้องคิดว่าเฉินเฉียงเป็นราชาสวรรค์อย่างแน่นอน
สมแล้วที่เป็นลูกชายแห่งราชาสวรรค์
เพียงแค่ได้ดูและรับการชี้แนะ เขาก็สามารถร่ายรำเพลงดาบได้ไม่ต่างจากราชาสวรรค์เลยสักนิด
แต่ที่หยานเสวี่ยไม่รู้ก็คือไม่ใช่ว่าเฉินเฉียงจะเลียนแบบ แต่เขาได้ดูดซับทุกสิ่งทุกอย่างที่ราชาสวรรค์มีมาเป็นของตนไปแล้ว จึงไม่แปลกที่บรรยากาศรอบตัวของเขาในตอนนี้จะเหมือนกับราชาสวรรค์อย่างแทบจะไม่แตกต่าง
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของทุกคน เฉินเฉียงก็ยังคงร่ายรำดาบต่อไป ราวกับถอดพิมพ์มาจากตอนที่เฉินเทียนเว่ยร่ายรำไม่ผิดเพี้ยน
“ในใจมีฟ้าดิน พลังฟ้าดินอยู่ในใจ”
“ขับเคลื่อนจักรวาลโดยดาบทำลายวิญญาณ”
เมื่อมาถึงกระบวนท่าสุดท้ายนี้ ทุกคนที่กำลังจับจ้องต่างก็ถึงกับตั้งกลั้นหายใจ เพราะกลัวว่าจะไปขัดจังหวะการร่ายรำของเฉินเฉียงที่กำลังตกอยู่ในสภาพท่าร่างที่ดูน่าพิศวง
“อ๊ากกกกก”
เฉินเฉียงได้ตะโกนกู่ก้องสู่ท้องฟ้าราวกับต้องการระบายความในใจต่อฟ้าดิน
แต่สำหรับคนอื่นอย่างหยานเสวี่ยและคนในกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว เฉินเฉียงในตอนนี้กลับดูเย็นยะเยียบยิ่งกว่าตอนก่อนหน้า
“ผลั้ก…”
เฉินเฉียงได้คุกเข่าลงอีกครั้ง ก่อนที่จะหมอบกราบหัวโขกพื้นไปอีกสามทีต่อหน้าหลุมศพของเฉินเทียนเว่ยและซุนต้าฮู่
“ปู่ซุน ท่านพ่อ อย่าได้เป็นกังวล”
“ลูกชายคนนี้จะไม่หลงลืมหนี้แค้นของพวกท่านไปได้”
“เว่ย หยวน ตี้”
“ข้า เฉินเฉียงผู้นี้ ขอสาบานว่าจะนำเลือดของเจ้ามาชดใช้หนี้แค้น”
หลังจากจรดหมัดของตนลงพื้นดินไปแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ยืนขึ้นในทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ หยานเสวี่ยรีบเดินเข้ามาหาเฉินเฉียงในทันใด
“เฉินเฉียง อย่าได้ลืมไปว่าท่านพ่อบุญธรรมนั้น ก่อนตาย ท่านได้สั่งเสียไว้ว่าให้พวกเราไปรายงานเรื่องสัตว์หายนะต่อผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนที่เขาเอเวอเรสต์นะ”
เฉินเฉียงได้พูดตอบออกมาอย่างเย็นชาโดยไม่แต่หันไปมอง “สัตว์หายนะแล้วยังไง หึหึหึ สัตว์หายนะนั่นเกี่ยวอะไรกับข้า”
“ในตอนนี้ข้ารู้เพียงว่าหากไม่มีพ่อของข้า ก็คงจะไม่มีข้าเฉินเฉียงผู้นี้”
“และตอนนี้ไม่เพียงพ่อของข้าต้องตกตายอีกครั้ง แม้แต่ศัตรูของพ่อข้าก็ยังคงอยู่”
เมื่อหยานเสวี่ยได้ยินก็กัดฟันแน่นและพูดออกมา “ก็ดี หากเจ้าไปไหน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“อย่าได้ลืมไปว่าพ่อบุญธรรมได้สั่งเสียเอาไว้ก่อนตายว่าให้ข้าดูแลเจ้าไปตลอดชีวิตซะล่ะ”
“ต่อให้เจ้าไม่ชอบข้า แต่ยังซะ ข้าก็จะทำตามคำสั่งเสียของพ่อบุญธรรมอยู่ดี”
เมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่ของหยานเสวี่ย แม้แต่เฉินเฉียงในตอนนี้ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างจำยอม
“กัปตัน”
จางหยวนและพวกทั้งหมดสิบสองคนได้เดินเข้าไปหาเฉินเฉียง
“กัปตัน ท่านคงไม่หลงลืมพี่ชายของท่านเหล่านี้ไปแล้วหรอกนา”
เฉินเฉียงได้มองไปที่จางหยวนและพวกของตนด้วยใบหน้าที่แสดงออกมาว่ามีปัญหาในเรื่องนี้ “พี่ชายทั้งหลาย ตัวข้าจะไปทวงความยุติธรรมให้กับพ่อของข้าซึ่งมันเป็นความแค้นส่วนตัว หากพวกเจ้าตามไป พวกเจ้าจะติดร่างแหไปกับข้านะ ข้าว่า…”
“ไม่ กัปตัน ท่านพูดผิดแล้ว”
จางหยวนได้พูดขัดขึ้นมา “นายพลเฉินเทียนเว่ยนั้นคือผู้ก่อตั้งกองกำลังเทียนเว่ย เขาเป็นถึงผู้นำทางจิตวิญญาณของกองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรา”
“หากมีเหตุที่เกี่ยวข้องกับเขา นั่นย่อมเป็นเรื่องของทุกคนในกองกำลัง”
“ถูกต้อง กัปตัน เรื่องของนายพลเทียนเว่ยย่อมเป็นเรื่องของพวกเรา”
ถึงแม้การตัดสินใจของจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นจะทำให้เฉินเฉียงรู้สึกทราบซึ้งใจอย่างมากก็ตาม แต่ในครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากับเว่ยหยวนตี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่จบแค่ที่ตัวเขาเป็นแน่
“พี่น้อง ข้า เฉินเฉียง ต้องขอบคุณแทนพ่อของเข้าที่แม้แต่ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ พวกเจ้าก็ยังนับถือเขาขนาดนี้”
“แต่ก่อนที่พ่อของข้าจะตายลงไป เขาคือราชาสวรรค์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์”
“หากพวกเจ้าร่วมทางไปด้วยข้าเกรงว่าจะทำให้พวกเจ้าเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปในทันที”
“ที่พ่อของข้าไม่อยากจะให้ข้าแก้แค้น สาเหตุหลักแล้วก็มาจากเหตุนี้”
“และข้าเองย่อมไม่ต้องการให้พวกเจ้าเป็นศัตรูกับมนุษยชาติไปด้วยกับข้าอย่างแน่นอน”
“กัปตัน ท่านพูดจาไร้สาระอะไรออกมา นี่ท่านจำคำสาบานของพวกเราไม่ได้แล้วรึไง”
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม กองกำลังของเราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เผชิญหน้าปัญหาไปด้วยกัน”
“ส่วนเรื่องที่นายพลเทียนเว่ยก็คือราชาสวรรค์นั่นแล้วยังไงกัน”
“เขาเองก็ไม่เคยสร้างความยากลำบากให้กับพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าทำไมนายพลเทียนเว่ยของพวกเราต้องกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ก็เพราะเว่ยหยวนตี้อีก และจะให้พวกเราปล่อยเว่ยหยวนตี้ไว้เฉยๆเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ”
“ต่อให้ต้องถูกขับไล่จากเผ่าพันธุ์ พวกเราก็ไม่เสียใจ หากพวกเราจะเสียใจก็เพราะการปล่อยให้ท่านไปเผชิญหน้ากับพวกนั้นคนเดียวมากกว่า”
“ข้าด้วย”
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
…..
เมื่อได้ยินคำทัดทานอย่างพร้อมเพรียงของบรรดาพี่ชาย(สาว)ทั้งหลายของตนไปแล้ว จิตใจของเฉินเฉียงก็รู้สึกภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยมในการที่เขาได้เข้าร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ย
“ดี ข้า เฉินเฉียง ในชีวิตนี้ของข้า การที่ได้มีพี่ชายที่ดีแบบพวกเจ้าแล้ว ต่อให้ต้องตกตายก็ไม่เสียชาติเกิด”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ชี้ไปที่หน้าอกของตนและบังเกิดช่องทางเข้าสู่โลกใบเล็กที่อยู่กลางอก พร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนเป็นเฉินเทียนเว่ย
“ราชาสวรรค์”
“พ่อบุญธรรม”
ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเฉินเฉียงในตอนนี้ทำให้หยานเวี่ยและคนอื่นๆนิ่งเงียบไปอยู่พักหนึ่ง
ยังไม่รวามถึงการที่หยานเสวี่ยได้เห็นโลกใบเล็กของเฉินเฉียงที่ทำให้หยานเสวี่ยคุ้นเคยเป็นอย่างดีนี่อีก
“…..เฉินเฉียง…นี่…นี่…นี่..มันโล…..ของพ่อบุญธรรมเหรอ”
เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเฉินเทียนเว่ยในตอนนี้พยักหน้ารับ ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยเสียงที่นุ่มลึก “ไม่เลว”
“ในเมื่อข้า เฉินเฉียงผู้นี้ได้รับสืบทอดทุกอย่างมาจากพ่อของข้า ข้าย่อมสืบทอดความแค้นที่ฝังลึกนี้มาด้วย”
“ไม่อย่างนั้น ข้าผู้นี้ก็ไม่สมควรจะเป็นลูกของราชาสวรรค์ ”
“พี่ชายทั้งหลาย หากพวกเจ้าต้องการร่วมทางกับข้าไปบนเส้นทางที่ยากลำบากนี้แล้วก็จงก้าวออกมา”
เพียงสิ้นคำของเฉินเฉียง เจิ้งยี่เป็นคนแรกที่ก้าวเดินขึ้นมา
ตามด้วยหยานเสวี่ย
จางหยวน
และไม่นาน กองกำลังเทียนเว่ยทุกคนก็ได้ก้าวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
เฉินเฉียงที่ไม่อยากเสียเวลาอีก ก็ได้วาดมือของตน พร้อมกับเปิดโลกใบเล็กและนำพาทุกคนเข้าไปอยู่ในนั้น
“ผู้บัญชาการหลิงเว่ย”
เฉินเฉียงมองไปทางหลิงเว่ย ก่อนที่จะหันไปทางหลุมศพของเฉินเทียนเว่ยและซุนต้าฮู่พร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงที่นุ่มลึก “ข้าคงต้องขอรบกวนท่านหาคนมาดูแลหลุมศพให้ข้าด้วย”
“หากมีผู้ใดกล้ามาก่อปัญหาที่นี่ ขอให้ท่านรีบส่งข้อความบอกข้าในทันที”
“ไม่ต้องกังวล ขุนพลเฉินเฉียง”
“ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่อาณานิคมแห่งนี้ ข้าย่อมปกป้องหลุมศพของนายพลเทียนเว่ยเป็นอย่างดี”
เรื่องราวในวันนี้ได้ทำให้หลิงเว่ยนั้นเปิดโลกทัศน์แล้วจริงๆ
เขาไม่คิดมาก่อนว่าบุคคลในตำนานของตึกจอมพลเหมันต์จันทราอย่างเฉินเทียนเว่ยนั้น ยังคงมีชีวิตอยู่
แต่หลังจากที่รู้ความจริงได้ไม่ถึงครึ่งวัน เขาก็ได้จากไปอีกอย่างไม่หวนคืน
และที่ไม่คาดถึงยิ่งกว่าก็คือเฉินเฉียง เด็กน้อยแห่งอาณานิคมเขาหมางนั้นจะกลายเป็นผู้ที่อยู่ในระดับราชาขุนพลที่ทุกคนต่างก็ยอมรับนับถือ
ต่อให้เขาต้องตกตายในตอนนี้ นี่ก็เพียงพอจะให้เขาตายได้อย่างไม่ติดค้างในใจแล้ว
นั่นก็เพราะ คนที่เขาเคยดูแลมาได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในระดับราชาได้
หลังจากที่พูดคำขอของตนออกมาแล้ว เฉินเฉียงก็ได้มอบกำไลสื่อสารให้หลิงเว่ย ก่อนที่จะหายไปราวกับสายลม
ตึกจอมพลเหมันต์จันทรา
ในช่วงหลายวันมานี้ หลินเฟิงผู้ซึ่งเป็นผู้การแห่งตึกจอมพลนั้นยุ่งวุ่นวายอย่างที่สุด
เพราะนับแต่มีการปรากฏของสัตว์หายนะ หลินเฟิงก็ต้องคอยส่งกองกำลังในสังกัดออกไปจัดการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าหลังจากที่เขาส่งคนไปดูเหตุการณ์จะได้รับรายงานมาว่าสัตว์หายนะนั่นถูกกวาดล้างไปแล้วก็ตาม
แต่เมื่อคลื่นลูกแรกยังไม่หมดไปดี คลื่นลูกอื่นก็ได้ถาโถมมา
เพียงแค่เขาได้รับรายงานมาว่ากองกำลังเทียนเว่ยของเขานั้นจัดการสัตว์หายนะได้สำเร็จ อีกนาทีถัดมา เขาก็ได้รับจดหมายร้องเรียนการก่ออาชญากรรมของกองกำลังเทียนเว่ยจากตึกจอมพลกันหนัน
ในนั้นบอกมาว่ากัปตันของกองกำลังภายใต้สังกัดของเขตกันหนัน กองกำลังเทียนเว่ย ถูกรายงานจากกัปตันกองกำลังแดนใต้ว่า เฉินเฉียง ไม่เพียงจะไม่ให้ความร่วมมือในการจัดการกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว เขายังปล่อยให้กองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์คุกคามกองกำลังมนุษย์อีก
หากเป็นก่อนหน้านี้ หลินเฟิงก็คงจะตัดสินโทษนี้ไปโดยไม่รับฟังผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้โดยไม่ไต่ถามแม้แต่น้อย
แต่หลังจากเรื่องที่เขาโชวหยางแล้ว มีใครบ้างในโลกใบนี้ที่ยังไม่ได้รับรู้ถึงสถานะของเขาอีกกัน
แถมในจดหมายนี่ยังมีหน้าบอกเขาอีกว่าให้เขานั้นจัดการได้ตามสมควร
เหอะ ตามสมควรบ้าบออะไรกัน
มันก็แค่ผู้การสูงไม่อยากจะเสนอหน้ามายุ่งเกี่ยวจนโยนมันต้มร้อนๆมาให้เขาก็เท่านั้นล่ะวะ
บอกออกมาราวกับไม่ได้รับรู้เลยสักนิดว่าเบื้องหลังของเฉินเฉียงทรงพลังขนาดไหน
แต่เดิมนั้น แค่เรื่องที่เขาโชวหยางก็เพียงพอจะทำให้เฉินเฉียง ตัวเขา และผู้การสูงไม่มีที่จะอยู่ในเผ่าพันธุ์แล้วด้วยซ้ำ จากการที่พวกเขาได้ไปช่วยพูดให้เฉินเฉียง
แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าเรื่องนี่จะคลี่คลายได้ง่ายๆเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งวัน
และในขณะที่หลินเฟิงกำลังก่นด่าผู้การสูงของตนอย่างไม่ขาดปากนี้เอง ก็ได้มีทหารองครักษ์คนหนึ่งได้ยืนรายงานจากด้านนอกห้องโถง
“รายงานท่านผู้การ มีใครบางคนร้องขอการเข้าพบท่านครับ ตอนนี้เขารอคำตอบรับจากด้านนอกตึก”
“ฮื้มมม” หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะถามออกไปอย่างคิ้วขมวด “ใครล่ะเฮ้ย”
“คนผู้นั้นไม่ได้แจ้งอะไรไว้มากครับ เพียงแค่แจ้งไว้ว่าเป็นเพื่อนเก่าที่แวะมาเยี่ยมเยือนเท่านั้น”
“ไม่ล่ะ” หลินเฟิงรู้สึกรำคาญจนเผลอตอบออกไปอย่างไม่คิด ก่อนที่จะพูดต่อ “เพื่อนเก่าจากไหนกันฟะนั่น หรือว่าไอ้คนนี้กำลังเบื่อหน่ายเลยมาหาอะไรทำที่ตึกจอมพลของข้ากัน รีบๆไล่ไปให้พ้นๆเลยไป”
เพียงสิ้นเสียงของหลินเฟิง เสียงสบถหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา
“ฮึ่มมมม น้องหลินเฟิงนี่เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนถือตัวไปแล้วเหรอเนี่ย”
เป็นตอนนี้ที่หลินเฟิงถึงกับต้องสะดุ้งโหยงถลาลอยออกไปจากเก้าอี้พุ่งตรงไปยังประตู
ที่หน้าประตูห่างไปอีกร้อยกว่าเมตร ร่างสูงโปร่งที่สวมผ้าคลุมสีเทาได้ยืนอยู่โดยผ่านองครักษ์ที่เฝ้าประตูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพียงก้าวเดียวของเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ห่างจากเดิมได้สองร้อยเมตร
“ผ่ามิติ…เหรอ”
ดวงตาของหลินเฟิงลุกโชนในทันที
ชายคนนี้อย่างน้อยๆต้องอยู่ในระดับราชาจอมพลเป็นแน่
หลังจากที่เห็นชายคนนี้ก้าวมาอีกหนึ่งก้าว เขาก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลินเฟิง
“จะจะจะเจ้า เจ้า เจ้า…”
เมื่อเห็นใบหน้าของชายที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนี้ คลื่นพลังอันหนักแน่นของหลินเฟิงที่คอยปลดปล่อยออกมาเพื่อแสดงอำนาจบารมีก็ถึงกับสั่นไหวพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นเทิ้ม ก่อนที่จะพูดออกมาในที่สุด “พี่เทียนเว่ย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เฉินเทียนเว่ยได้หัวเราะออกมาอย่างดังลั่น “น้องหลินเฟิง คงจะไม่นึกถึงล่ะซี่ว่าจะได้พบเพื่อนเก่าคนนี้ในวันนี้น่ะ”
“ไอ๊ยะ ไม่ให้ข้าตกใจสิถึงจะแปลก”
“มามามา พี่เทียนเว่ย เชิญเข้ามาก่อน”
“เด็กๆเว้ย ไปเอาเหล้ายาปลาปิ้งมาเว้ยเฮ้ย”
เมื่อได้ยินคำพูดที่หลินเฟิงพูดออกมานี้ เหล่าองครักษ์ จึงได้ไปสั่งจัดงานเลี้ยงในทันที
แต่เพียงแค่เฉินเทียนเว่ยได้เข้าไปในหอ เขาก็ได้ยกมือขึ้นห้ามปราม “น้องหลินเฟิง ช่างเรื่องงานเลี้ยงอะไรนั่นไปเลย ส่วนไวน์นั้นข้ามีมาด้วยแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็ได้วาดมือของตนก็ปรากฏไวน์นารีแดงขึ้นบนโต๊ะกว่ายี่สิบไห
หลินเฟิงนั้นเป็นคนตรงไปตรงมาอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเทียนเว่ยเขาก็รีบไล่ทหารองครักษ์ของตนออกไป ก่อนที่จะโฉบเอาไวน์ขึ้นมาสองไห พร้อมกับส่งให้เฉินเทียนเว่ยด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งกำลังยกดื่มกินแล้วถามออกมา “พี่เทียนเว่ย ท่านหายไปไหนมากันตั้งยี่สิบสามปี”
“ในตอนนั้น ท่านเว่ยได้บอกข้าเพียงว่า พี่เทียนเว่ยได้สละชีวิตจนตกตายในน้ำมือของมนุษย์กลายพันธุ์ เพื่อให้ท่านเว่ยได้รอดกลับมา”
เฉินเทียนเว่ยได้ยักไหล่และพูดออกมา “น้องหลินเฟิง แค่ข้าหลบซ่อนตัวไปเพียงเท่านั้น”
“แต่อย่างน้อยๆที่ข้ารับรู้ก็คือดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่ต้องการให้ข้าต้องตกตายและปล่อยให้ข้ากลับมามีชีวิตอีกครา”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงแต่ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่กลับมาเลยล่ะ”
“แต่จะว่าก็ว่าน้า ท่านนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่พบหน้ากันยี่สิบสามปี มาอีกทีก็กลายเป็นราชาจอมพลไปซะแล้ว”
“ท่านเองคงยังไม่รู้ แต่หลังจากเกิดเรื่องกับท่าน ท่านเว่ยนั้นทำท่าราวกับจิตใจแตกสลาย เขายังคอยอุปถัมภ์ค้ำชูให้กองกำลังเทียนเว่ยคงอยู่มาถึงทุกวันนี้จนกลายเป็นกองกำลังที่ภาคภูมิของตึกจอมพลเรา”
“โอ้” เฉินเทียนเว่ยได้ส่งสายตาที่ราวกับฉายแสดงได้ออกมาไปปราดหนึ่ง “ฮี่ฮี่ฮี่ น้องหยวนตี้ของข้าผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก”
“เอ้อ จิงสิ น้องหลินเฟิง ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ชวนให้น้องหยวนตี้มาร่วมดื่มกันหน่อยล่ะ”
“เออแหะ จริงด้วย” สายตาของหลินเฟิงลุกโชนขึ้นมาในทันใดพลางหัวเราะดังลั่น “อย่ากระนั้นเลย เดี๋ยวข้าชวนสาวน้อยฉิงเชินมาด้วยเลยแล้วกัน”
“พี่เทียนเว่ย ท่านเองอาจจะไม่รู้เรื่องราวที่ผ่านมา หากท่านปรากฏตัวเร็วกว่านี้อีกหน่อย ท่านอาจจะได้ดื่มเหล้ามงคลระหว่างฉิงเชินกับเฉินเฉียงของท่านไปแล้ว”
“พี่ชาย เดี๋ยวท่านรอสักครู่แล้วกัน ข้าจะส่งข้อความไปหาท่านเว่ยก่อน เดี๋ยวจะเล่าเรื่องเฉินเฉียงให้ท่านฟังทีหลัง”
เฉินเทียนเว่ยได้ยกมือขึ้นห้ามปรามแล้วพูดออกมา “เอาน่า ใจเย็นๆก่อน แล้วก็นะ น้องหลินเฟิง เจ้าอย่าได้ไปบอกให้น้อยหยวนตี้รู้ว่าข้ากลับมาแล้วซะล่ะ หากเจ้าบอกไปด้วยจะไม่ประหลาดใจกันพอดี”
“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้องนัก ข้ารู้แล้วว่าข้าจะส่งไปบอกว่ายังไงดี”
……
ตึกจอมพลภาคกลาง ที่พักผู้การร่วม
หลังจากเรื่องราวที่เขาโชวหยางได้ผ่านไป แม้เว่ยหยวนตี้จะไม่มีผู้ทรงพลังอย่างฮั่นจุยหนุนหลังอยู่แล้วก็ตาม แต่ด้วยการที่ลูกสาวเขานั้นเป็นถึงศิษย์ของหลิวฉิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์ เป็นธรรมดาที่ทุกคนนั้นจะต้องไว้หน้าให้กับเขา ไม่สิ เขามีหน้ามีตายิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าด้วยเม็ดยาที่เฉินเฉียงนำมาให้เขานั้น ทำให้โลกใบเล็กของเขาได้ฟื้นคืน นี่ย่อมทำให้เขานั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างที่สุด
และทุกอย่างที่เป็นแบบนี้ได้เพราะว่าเขาได้มีลูกสาวดีๆขึ้นมา
ในตอนนี้ ในตึกจอมพลภาคกลางนั้น ไม่ว่าใครจะไปจะมาล้วนแล้วแต่ต้องเข้ามาแวะหาทักทายเขา
แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเหล่านี้ไปได้ข่าวมาจากไหนว่าเว่ยฉิงเชินนั้นได้กลับมาแล้ว นี่ทำให้ผู้คนมากมายต่างก็เข้ามาเยี่ยมเยือนเธอ แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเว่ยหยวนตี้
ถึงแม้ว่าเว่ยฉิงเชินจะเข้าสังคมไม่เก่งนัก แต่กับเรื่องพ่อของเธอแล้ว เธอก็ยังพยายามทำอย่างสุดความสามารถในการพูดคุยและต้อนรับผู้คนเหล่านี้เพื่อเห็นแก่หน้าพ่อของตน
“ไอ๊ยะ คุณหนูฉิงเชิน ท่านอายุเพียงยี่สิบต้นๆแต่ไม่นึกเลยว่าจะก้าวเข้าสู่ระดับราชาขุนพลไปเสียแล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเผ่าพันธุ์เราจริงๆที่ได้มีอัจฉริยะที่หาใครเปรียบเช่นท่าน”
“ไม่เพียงเท่านั้นนา นอกจากระดับการบ่มเพาะที่สูงล้ำแล้ว คุณหนูฉิงเชินนั้นยังมีความงามระดับล่มเมืองได้จริงๆ ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าจะมีอัจฉริยะหนุ่มที่ไหนที่จะคู่ควรกับคุณหนูฉิงเชินกันน้อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้คนเหล่านี้ เว่ยหยวนตี้ก็หัวเราะร่วนไม่หยุดหย่อน “เหอเหอเหอ นายท่านซู่ นายท่านเชินก็พูดเกินไป”
“เด็กน้อยของข้านั้นจะมีดีก็เพียงร่างกายที่พิเศษกว่าใครเท่านั้น แล้วจะดีเด่นเฉกเช่นท่านพูดไปได้สักเท่าไหร่”
“ท่านเว่ย ท่านเองก็ถ่อมตัวเกินไปนา”
“ตอนนี้คุณหนูฉิงเชินเองก็เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิงนา เธอนั้นย่อมโดดเด่นเหนือใครอยู่แล้ว”
“น่าเสียดายนักที่ตาแก่คนนี้ไม่มีลูกหลาน ไม่เช่นนั้นล่ะก็คงจะส่งคนมาลองสู่ขอเผื่อว่าจะได้สะใภ้ดีๆเข้าตระกูลไปแล้ว”
เพียงได้ยืนผู้คนพูดถึงการแต่งงาน ฉิงเชินก็มีใบหน้าที่มืดครึ้มและก้มหน้าก้มตาลงไปในทันที
“ท่านเว่ย ดูเหมือนว่าคุณหนูฉิงเชินจะไม่ค่อยสบายนะนั่น” เมื่อเห็นท่าทางไม่สู้ดีของเว่ยฉิงเชินแล้ว ผู้คนต่างก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าได้พูดในสิ่งที่ทำให้เว่ยฉิงเชินอึดอัดขึ้นมา จึงรีบเร่งเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที