ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 310 คนละโลก
บทที่ 310 คนละโลก
ในขณะที่ฮูเตี๋ยนพูดออกมานี้ เฉินเฉียงและคนอื่นๆต่างก็รับฟังอย่างนิ่งเงียบ
หากพูดกันตามสามัญสำนึกแล้ว ฮูเตี๋ยนนั้นควรจะพูดถึงเรื่องราวการตายของเฉินเทียนเว่ย
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ตอนนี้เฉินเทียนเว่ยก็ถือว่าเป็นคนของฮุยตู๋
แต่ด้วยความทรงพลังของฮุยตู๋แล้ว ใครกันที่กล้าโจมตีเฉินเทียนเว่ย
และฮุยตู๋นั้นก็ควรที่จะไม่ปล่อยให้เฉินเทียนเว่ยต้องตกตายโดยไม่รู้ว่าใครที่ไหนไม่รู้เป็นผู้ลงมือ…ใช่รึเปล่า
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงประหลาดใจในทันทีเมื่อพบว่า ท้ายที่สุดแล้ว ฮูเตี๋ยนไม่ได้เอ่ยถึงการตายของเฉินเทียนเว่ยแต่อย่างใด
ท่ามกลางท่าทางที่แสดงออกอย่างเสียใจของฮูเตี๋ยนนี้ เขาได้ส่งธงตราแห่งฮุยตู๋คืนให้แก่เฉินเฉียงแล้วพูดออกมา
“เฉินเฉียง ข้าเชื่อว่าเจ้าสมควรจะรู้ว่าคำสั่งเสียของพ่อของเจ้านั้นมีเบื้องหลังอยู่ ใช่รึเปล่า”
“เหตุผลที่เขาขอให้เจ้านำธงตรานี้มามอบคืนเป็นเพราะต้องการให้เจ้าได้มีโอกาสเข้าร่วมกับพวกเรา ฮุยตู๋”
“แต่เดิม ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้านั้น ต่อให้เจ้าทะลวงเข้าสู่ระดับราชาขุนพลไปแล้วก็ตาม เจ้าก็ไม่อาจจะเข้าร่วมกับฮุยตู๋ได้”
“แต่เห็นแก่สิ่งที่ราชาสวรรค์ได้สร้างเอาไว้ ข้าจะยกเว้นเจ้าเป็นกรณีพิเศษ”
“เจ้าเองก็สืบต่อธงตราของราชาสวรรค์ไปก็แล้วกัน”
ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมและความทรงพลังของฮุยตู๋ที่อยู่เหนือสามเผ่าพันธุ์ ฮูเตี๋ยนเชื่อว่าเฉินเฉียงนั้นต้องยอมรับเกียรติยศนี้เอาไว้อย่างแน่นอน
แม้แต่หยานเสวี่ย จางหยวน และคนอื่นๆในกองกำลัง ต่างก็มองเฉินเฉียงด้วยท่าทางราวกับปลากระดี่ที่ได้น้ำ
ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นของฮุยตู๋นั้น แม้จะได้ยินแบบนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะขัดข้องแต่อย่างใด
เพราะพวกเขารับรู้เป็นอย่างดีว่าหากเฉินเฉียงเข้าร่วมกับพวกเขา พวกเขาจะได้รับสิ่งใดตอบแทน
นั่นก็เพราะว่าที่ฮุยตู๋ตัวน้อยผู้นี้คือผู้ถือครองความลับแห่งเขตแดนจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคิดว่าเฉินเฉียงจะปฏิเสธข้อเสนอที่น่าเย้ายวนนี้อย่างไม่ไยดี
“ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ข้าต้องขอโทษด้วยที่คงต้องทำให้ท่านผิดหวัง”
เฉินเฉียงได้ใช้มือดันธงตราแห่งฮุยตู๋กลับไปให้ฮูเตี๋ยน ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่นิ่งลึก “การที่ผู้น้อยมาที่นี่ไม่ใช่การเข้าร่วมกับฮุยตู๋แต่อย่างใด”
“ที่ข้ามานั้นเพียงเพราะต้องการทำตามคำสั่งเสียของพ่อข้าและส่งมอบข้อความตามคำสั่งเสียไว้เพียงเท่านั้น”
ตั้งแต่เริ่ม เมื่อเห็นว่าฮูเตี๋ยนไม่คิดจะถามเรื่องราวความตายของเฉินเทียนเว่ย จึงเป็นธรรมดาที่เฉินเฉียงจะไม่แยแสต่อฮุยตู๋
“ที่พ่อของฆ่าได้ตกตายไปนั้นเป็นเพราะได้ทำการสืบสวนเรื่องราวภัยพิบัติที่ปรากฏในตอนนี้ นั้นก็คือสัตว์หายนะที่โลกภายนอก”
“ก่อนที่พ่อของข้าจะจากไป เขาให้ผู้น้อยมาส่งข้อความแก่ผู้อาวุโสสูงสุดว่า สัตว์หายนะที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้นั้นเป็นผลพวงจากแผ่นแก่นพลังงานที่ถูกผลิตขึ้นมาจากเขาห่านป่าของพวกมนุษย์กลายพันธุ์”
“และด้วยการที่พ่อของข้าสืบเรื่องนี้จนตกตายไป ข้าเพียงหวังว่าผู้อาวุโสสูงจะนำคนไปสืบหาผู้ที่เป็นต้นเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากันในทันที
“ดังนั้น ราชาสวรรค์ตกตายโดยใครบางคนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ที่ฐานการผลิตนั่นรึ”
“ต่อให้เป็นแบบนั้นจริง ถึงแม้ราชาสวรรค์จะเป็นเพียงราชาเหนือมนุษย์ขั้นกลาง แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้น แม้แต่ราชาเหนือมนุษย์ขั้นปลายก็ยังไม่อาจสู้ได้เลยนา แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับราชาทักษะพิเศษขั้นต้นก็ยังยากจะต่อกรด้วยซ้ำ”
“อืมมมม เป็นไปได้ว่าพวกไอ้แก่แห่งสมาคมนั่นอาจจะออกโรงเอง และผู้ที่ลงมืออย่างน้อยๆสมควรจะอยู่ในระดับราชานายพลทักษะพิเศษขั้นกลาง”
“ไอ้พวกนั้นมันคิดทำอะไรกันแน่ หรือพวกมันคิดจะกวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์ประหลาดจนหมดสิ้นกัน ช่างโง่เขลานัก”
หยางตู๋ได้พูดออกมาตรงๆ “พี่ใหญ่ ที่สำคัญที่สุดคือมีคนในสมาคมที่รับรู้แล้วว่าราชาสวรรค์เป็นคนของเรา”
“เมื่อพวกมันรู้แล้วแต่ยังกล้าลงมือ นี่แสดงออกมาว่าไม่เห็นฮุยตู๋อยู่ในสายตาพวกมัน”
“ดังนั้น พวกเราควรจะแสดงอำนาจให้พวกมันเห็นสักหน่อยว่าพวกเราไม่ใช่ผู้ที่พวกมันควรจะหาเรื่องด้วย”
“ข้าเห็นด้วย ผู้อาวุโสสูงสุด ผู้อาวุโสลำดับที่สองนั้นพูดถูกต้อง ในเมื่อพวกผู้อาวุโสแห่งสมาคมมนุษย์กลายพันธุ์ไม่เห็นพวกเราในสายตา พวกเราก็ไม่อาจปล่อยพวกมันไว้แบบนี้ได้”
เมื่อได้เห็นความโกรธเกรี้ยวของผู้คนในหอแล้ว เฉินเฉียงก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของฮูเตี๋ยนแล้ว เฉินเฉียงก็ต้องใจแป้วไปอีกรอบ
“เงียบ”
ฮูเตี๋ยนคำรามลั่น และนี่ทำให้หอประชุมเงียบลงอีกครั้ง
“อย่าได้หลงลืมไปว่า ฮุยตู๋ของพวกเรานั้นมีกฎอยู่ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งบนโลกใบนี้”
ฮูเตี๋ยนได้จ้องเขม็งไปที่ทุกคนโดยรอบก่อนจะพูดออกมา “ก่อนหน้านี้ ตาแก่ผู้นี้ก็ได้พูดเรื่องนี้กับราชาสวรรค์แล้วว่าไม่ให้เขาไปข้องเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่เขาก็ไม่รับฟัง”
“แล้วในเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้วจะโทษใครได้กัน”
“ต่อให้มนุษย์กลายพันธุ์จะตั้งตนเป็นใหญ่ในโลกใบนี้ มันก็เป็นเรื่องของคนในโลกใบนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแต่อย่างใด”
“พวกเจ้าจงจดจำไว้ให้ดี”
“ภารกิจของพวกเราคือการปกป้องโลกใบนี้จากกองกำลังนอกโลกเพียงเท่านั้น”
“นอกจากสิ่งนี้แล้ว เรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแต่อย่างใด”
“รับคำสั่ง พวกเราจะฟังคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุด”
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ฮูเตี๋ยนพูดออกมา ทุกคนก็ได้โค้งตัวน้อมรับฟังคำสั่งแต่โดยดีและไม่คิดที่จะนำเรื่องสืบหาคนลงมือเพื่อแก้แค้นแต่อย่างใด
นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าใครกันคือผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งฮุยตู๋ หรือก็คือเป็นผู้อาวุโสสูงฮูเตี๋ยนผู้นี้
เพียงคำพูดเดียวก็สามารถเปลี่ยนท่าทีของคนทั้งฮุยตู๋ นี่แสดงให้เห็นว่าคำพูดของเขานั้นเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ แม้แต่ชี้ชะตาความเป็นตายของทั้งสามเผ่าพันธุ์
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่การตัดสินของผู้อาวุโสสูงผู้นี้นั้น เฉินเฉียงไม่อาจยอมรับได้
ด้วยสิ่งที่ถูกเรียกว่าความอยุติธรรมได้ปรากฏ เมื่อใดก็ตามที่คนผู้หนึ่งได้รับสิ่งนี้ไป มันจะฝังใจจนยากที่จะกำจัดมันได้
เช่นเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเขตของตึกจอมพลแดนใต้นั่น เฉินเฉียงในฐานะผู้นำของกองกำลังเทียนเว่ยได้ตัดสินใจปล่อยกองกำลังของเจิ้งเชิงไป ส่งผลให้เกิดรายงานในสิ่งที่เขากระทำต่อตึกจอมพลเขตกันหนัน
หากให้ยึดตามที่หลินเฟิงและผู้การสูงแห่งกันหนันยึดถือไว้ล่ะก็ ทั้งมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ก็คงไม่แคล้วที่จะต้องฆ่ากันไปจนสาบสูญกันไปข้างหนึ่ง ไม่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ผู้นั้นจะมีจิตใจที่ดีงามแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์คือศัตรูคู่อาฆาตของเผ่าพันธุ์มนุษย์
และฮูเตี๋ยนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ก็ยึดถือในสิ่งนั้น
เขาประกาศกร้าวออกมาว่าการคงอยู่ของฮุยตู๋นั้นมีเพื่อปกป้องการรุกรานจากโลกภายนอก ส่วนเรื่องอื่นไม่ขอยุ่งเกี่ยว
ต่อให้มนุษย์หรือสัตว์ประหลาดต้องสาบสูญ ฮุยตู๋ก็ไม่คิดจะเคลื่อนไหว
นี่คือสิ่งที่เฉินเฉียงไม่อาจยอมรับได้
มันก็จริงที่หากมองตามจุดประสงค์ขององค์กร การตัดสินใจของฮูเตี๋ยนนั้นถือได้ว่าถูกต้องแล้วในตอนนี้
แต่หากเวลาผ่านไปล่ะ
ทุกสิ่งก็ควรจะเปลี่ยนไปไม่ใช่รึไงกัน
หากว่าพวกเขาปล่อยให้มนุษย์กลายพันธ์ุทั้งตามสิ่งที่พวกนั้นต้องการ และสามารถกวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์ประหลาดได้จริง เหลือไว้แต่เพียงพวกมันเพียงเท่านั้น แล้วโลกนี้จะพัฒนาขึ้นในทิศทางใด
ทำไมฮูเตี๋ยนถึงได้ขาดวิสัยทัศน์เช่นนี้ได้กัน
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ การกระทำของพวกเขากลับไม่ต่างไปจากการตบแมลงที่มาก่อกวนแต่ไม่กำจัดแหล่งที่มาของแมลง
หลังจากเห็นว่าผู้อาวุโสคนอื่นยอมรับในการตัดสินของตนแล้ว ใบหน้าของฮูเตี๋ยนก็ได้กลับมานิ่งสงบ และมองไปที่เฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง ถึงแม้ว่าราชาสวรรค์จะไม่ได้บอกกล่าวเจ้าตรงๆว่าจะแนะนำเจ้าให้เข้าฮุยตู๋ แต่ความจริงของการที่ส่งมอบธงตราให้เจ้านำมาที่นี่ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง”
“และราชาสวรรค์เองนั้นแต่เดิมก็ทำในสิ่งที่ต้องตาพวกเรามาโดยตลอด แต่มาในตอนนี้ เขากลับพบเจอโชคร้าย ชายแก่คนนี้แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ก็ทำได้เพียงรับเจ้าเข้าร่วมกับเราเพียงเท่านั้น”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หากนี่เป็นความคิดของพี่ใหญ่ ข้า เฒ่าหยางย่อมเห็นด้วยกับท่านนั่นเรื่องนี้อย่างเต็มที่”
“ถูกต้อง เฉินเฉียงเองเป็นลูกชายของราชาสวรรค์ เขาเองก็ควรจะเข้าร่วมกับเราด้วย”
“ข้าเห็นด้วย”
“ข้าก็เห็นด้วย”
เมื่อได้ยินการยอมรับจากผู้อาวุโสทุกคนในห้องแล้ว ดวงตาของหยานเสวี่ย จางหยวน และคนอื่นๆในกองกำลังก็ลุกโชนในทันที
“เฉินเฉียง พ่อบุญธรรมรู้สึกภูมิใจมาโดยตลอดที่ได้เข้าร่วมกับฮุยตู๋ ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”
“กัปตัน ขนาดผู้อาวุโสจากสภาสูงภาคกลางก็ยังต้องเกรงกลัวฮุยตู๋ หากท่านได้เข้าร่วม พวกเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครหน้าไหนแล้ว”
“ถูกต้อง ศิษย์น้อง ฮุยตู๋นั้นทรงพลังสมคำร่ำลือจริงๆ ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องจะโชคดีขนาดนี้ หากมีเขามาเสนอกับข้าแบบนี้ข้านี่จะไม่คิดปฏิเสธแต่อย่างใดเลยจริงๆ”
“กัปตัน โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆนา”
เมื่อเห็นว่าคนในกองกำลังเทียนเว่ยพยายามผลักดันเฉินเฉียงอย่างสุดชีวิต ฮูเตี๋ยนก็ได้หัวเราะออกมาแล้วพูดต่อ “เฉินเฉียง หากตาแก่คนนี้พูดออกมาว่าจะรับพวกเจ้าและหยานเสวี่ยเข้าร่วมกับพวกเราล่ะ เจ้าคิดว่าไง”
“ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดที่ปรารถนาดีกับพวกเรา”
ในขณะที่ทุกคนเมื่อได้ยินแล้วรีบโค้งคำนับอย่างตื่นเต้นยินดีนั้น ทุกคนก็ได้หันไปมองเฉินเฉียงอีกครั้ง
“กัปตัน ท่านคิดว่ายังไง”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็หันไปมองหยานเสวี่ยและคนอื่นๆในกองกำลังของตนแล้ว เมื่อเขาได้มองเข้าไปในดวงตาก็เข้าใจได้ว่า หากพวกเขาได้เข้าร่วมกับฮุยตู๋จะมีความสุขมากมายเพียงใด
แต่นี่ก็กลับแสดงให้เห็นเหมือนกันว่ากองกำลังของเขานั้นไม่ได้ยึดติดในสิ่งที่เขาได้ยึดมั่น แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะด้วยการที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าภัยอันตรายอย่างการพบเจอมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดมาโดยตลอด จะดีกว่าหากพวกเขาจะได้ที่พักพิงอย่างสถานที่ที่ต่อให้ไม่ต้องหลบซ่อน ก็ไม่มีใครกล้าที่จะยุ่งเกี่ยว
และฮุยตู๋เองก็สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ความจริงแล้ว เฉินเฉียงเองก็คิดเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน หากว่าเขาต้องพาพวกพ้องของตนไปด้วยตลอดเวลา ย่อมมีสักวันที่ต้องโชคร้าย จะดีกว่าหากพวกเขาได้พบที่พักพิงได้สักที
และด้วยคำพูดของฮูเตี๋ยนนี้เองทำให้เฉินเฉียงเลิกเป็นกังวลได้ในที่สุด
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดที่เอ็นดูเหล่าผู้น้อยและคิดชุบเลี้ยง ข้า เฉินเฉียงจะไม่มีทางหลงลืมบุญคุณในครั้งนี้”
เฉินเฉียงก้มตัวลงต่ำแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโส พี่ชายของข้าเหล่านี้ติดตามข้ามาโดยตลอด พวกเขาผ่านความยากลำบากมานานัปการ เมื่อได้ผู้อาวุโสคอยอุปถัมภ์ค้ำชูพวกเขา ผู้น้อยย่อมยินดียิ่ง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียง ไม่ต้องเกรงใจไป นับจากนี้เจ้าเองก็เป็นคนของพวกเราแล้ว คนของเจ้าก็ย่อมเป็นคนของพวกเรา”
ฮูเตี๋ยนเองที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมา เขาได้เดินไปและทำท่าจะตบบ่าของเฉินเฉียงและเตรียมที่จะกล่าวต่อ
แต่เฉินเฉียงนั้นกลับเบี่ยงตัวหลบได้อย่างทันควัน และก้าวออกข้างในทันที นี่ทำให้ฮูเตี๋ยนต้องนิ่งอึ้งไป ก่อนที่จะได้ยินคำพูดของเฉินเฉียง
“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ผู้น้อยไม่มีความคิดจะเข้าร่วมฮุยตู๋แต่อย่างใด”
“ห้ะ” จางหยวนและคนอื่นประหลาดใจจนอุทานออกมาแทบจะพร้อมกัน “กัปตัน ในเมื่อท่านไม่เข้าร่วมแล้วพวกเราจะเข้าไปทำซากอะไรกัน”
“กองกำลังของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วเจ้าคิดจะแยกเพื่อ…?”
“ใช่แล้วกัปตัน ข้า หลิวไฮ่แม้จะเปรียบได้ดั่งเฒ่าทารกที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราว แต่ข้าก็ยังเข้าใจคำว่าจิตวิญญาณแห่งความภักดีอยู่นะ”
“หากท่านไม่เข้าร่วม ข้า หลิวไฮ่ผู้นี้ก็จะติดตามท่านไปทั่วหล้า”
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่เองก็มีความคิดเช่นนั้น ถึงแม้ว่าข้าจะอยากเข้าร่วมกับฮุยตู๋มากมายขนาดไหน แต่หากต้องปล่อยให้เจ้าไปเล่นสนุกข้างนอกเพียงคนเดียวนั้น ข้าย่อมไม่ยินดีแกร่วอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน”
“เฉินเฉียง พ่อบุญธรรมสั่งเสียข้าไว้ หากเจ้าอยู่ข้าก็อยู่ หากเจ้าไปข้าก็ไป ไม่มีสิ่งอื่นใด” หยานเสวี่ยพูดออกมาอย่างหนักแน่น
“พวกเจ้ากล้าดียังไงกัน พวกเจ้าคิดว่าที่นี่คือสถานที่ใดถึงได้คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปแบบนี้น่ะ ห้ะ” หยางตู๋ตะคอกออกมาอย่างโกรธเคืองพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น
หนองหนังสือหลู่จี๋ได้ก้าวเดินออกมาแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจต่อรอบค้าง “กองทัพเปลี่ยนผู้นำได้ แต่พี่น้องหาได้เปลี่ยนแปรไม่ กัปตันไปไหนพวกเราก็จะไปที่นั่น”
หลางซานเอ๋อได้นำกระบี่ยาวมาถือไว้ในมือก่อนที่จะเดินออกมาอย่างไม่แยแสต่อผู้ทรงพลัง “ฮี่ฮี่ฮี่ ตาแก่ ท่านคิดจะบังคับพวกเรางั้นรึ”
“ต่อให้พวกเราต้องหาไม่ก็ไม่ยินยอมหากพวกเราไม่ต้องการ”
“อย่างมากก็แค่ตกตาย แต่ตายด้วยกันย่อมดีกว่าตายอย่างโดดเดี่ยว”
เมื่อสิ้นคำพูดของหลางซานเอ๋อแล้ว เฉินเฉียงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจึงรีบนำร่างมาบังหลางซานเอ๋อไว้
เป็นตอนนี้ที่หยางตู๋ได้ลงมือ
แต่หากให้พูดตรงๆแล้ว หยางตู๋ไม่ได้มีท่าทีลงมือแต่อย่างใด
ด้วยการที่เขาเองเป็นถึงผู้ที่อยู่ระดับเทียบเท่าราชาขุนพล แค่การจับจ้องของผู้อาวุโสลำดับสองผู้นี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นายพลวิญญาณจะต้านทานได้
ย้อนกลับไปที่เขาโชวหยาง ฮั่นจุยที่เป็นระดับราชาขุนพลเองก็ใช้วิธีการนี้ในการสะกดข่มเฉินเฉียงเอาไว้
และผู้อาวุโสลำดับที่สองผู้นี้แข็งแกร่งกว่าฮั่นจุยมากนัก
เมื่อเห็นว่าหยานตู๋คิดที่จะลงมือกับหลางซานเอ๋อ เฉินเฉียงจึงได้เข้ามาปกป้องหลางซานเอ๋อเอาไว้ และนี่ทำให้เขาได้รับรู้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงที่พุ่งตรงมาที่เขา
ยังดีที่เฉินเฉียงดูดซับพลังและทักษะต่างๆของเฉินเทียนเว่ยมาแล้ว และนอกจากเขาตอนนี้จะมีขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แล้ว เขายังมีขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้อีก แน่นอนว่ากับสถานการณ์แบบนี้ พวกมันย่อมถูกกระตุ้นได้โดยไม่ต้องให้เขาต้องลงมือเอง
นี่แสดงให้เห็นว่าหยานตู๋ผู้นี้สมแล้วที่ทรงพลังรองลงมาจากฮูเตี๋ยนและสมกับเป็นผู้ที่อยู่ในระดับเทียบเท่าราชาขุนพลขั้นปลาย
ในตอนนี้ เฉินเฉียงแม้จะอยู่เพียงระดับกึ่งราชา แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาปลดปล่อยพลังออกมา ตราบใดที่เขามีค่าพลังงานพอ เขาก็สามารถเขาสู่ระดับราชาขุนพลได้ทุกเมื่อ
และด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ด้วยระดับความห่างการบ่มเพาะที่เรียกได้ว่าสองช่วงชั้นใหญ่ นี่ส่งผลให้ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียงนั้นไร้ผล ราวกับลูกบอลลูนที่ถูกเข็มหมดทิ่ม
ยังดีที่เขายังมีขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้อยู่ จึงทำให้เขานั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ราชาสวรรค์นั้นมีระดับเจตจำนงแห่งการต่อสู้แค่ในระดับเรียนรู้เพียงเท่านั้น ทำให้เขาสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่าได้เพียงในระยะครึ่งเมตรโดยรอบ
ด้วยแรงกดดันที่มหาศาลจนเรียกได้ว่ามหัศจรรย์พันลึกของผู้อาวุโสสองนี่เองจึงทำให้ความเร็วของขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียงไม่อาจที่จะตามทัน ไม่นาน พลังฟ้าดินของหยานตู๋ก็เกือบจะถึงร่างของเฉินเฉียงแล้ว
“เจ้าสอง หยุดเลยนะ”
ยังดีที่ก่อนที่จะถึงเวลาวิกฤต ฮูเตี๋ยนได้ตัดสินใจเคลื่อนไหว
ด้วยฝ่ามือที่เปล่งประกายของเขาในตอนนี้ พร้อมกับคลื่นพลังที่หนักหน่วงอย่างที่สุด เฉินเฉียงที่เผชิญหน้าก็ได้พ่นเลือดออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะฝืนกลืนมันกลับเข้าไป
“เด็กดี เจ้าเป็นเพียงกึ่งราชาแต่กลับต้านทานพลังอันหนักหน่วงของตาแก่ได้ถึงสองช่วงลมหายใจ”
“ว่าแต่ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่าเฉินเฉียงนั้นไม่อาจก้าวข้ามขั้นได้อีกเพราะเผาผลาญแก่นสายเลือดไปแล้วไม่ใช่รึไง”
หยางตู๋นั้นมึนงงจนต้องถามออกมา แม้แต่ฮูเตี๋ยนเองที่ได้ยินก็ยังอดสงสัยไม่ได้
และด้วยเหตุที่ระดับการบ่มเพาะของเฉินเฉียงถูกเปิดเผยนี้เองว่าตัวเขานั้นเกือบจะอยู่ในระดับราชาได้แล้ว นี่ทำให้ฮูเตี๋ยนตระหนกอย่างที่สุด หากเขาปล่อยเรื่องนี้ไว้อีกเพียงแค่ลมหายใจ มันจะกลายเป็นว่าพวกเขาได้ตัดอนาคตของเฉินเฉียงอีกครั้งด้วยมือตนเอง
“เฉินเฉียง….นี่เจ้าข้ามขั้นแล้วจริงๆรึ หรือว่าเจ้านั้นได้ร่วมหอกับลูกสาวของเว่ยหยวนตี้แล้วกัน”
ที่ฮูเตี๋ยนพูดออกมาแบบนี้เป็นเพราะว่าเขานั้นเชื่อว่าหากเฉินเฉียงจะข้ามขั้นการบ่มเพาะได้อีก ก็คงมีเพียงการได้ร่วมเรียงเคียงหมอน กับเว่ยฉิงเชินที่มีกายากระจ่างจิตเพียงเท่านั้น ถึงจะแก้ไขปัญหาแก่นสายเลือดถูกเผาผลาญไปได้
เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของผู้อาวุโสทั้งหลาย เฉินเฉียงจึงได้หันไปหาฮูเตี๋ยนแล้วถามออกมาโดยไม่ตอบสิ่งใด “ผู้อาวุโส หากข้าพูดออกไปแล้วท่านรับพี่ชายทั้งหลายของข้าให้เข้าร่วมกับฮุยตู๋ ข้าก็จะบอก”