ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 311 ข้อแลกเปลี่ยน
บทที่ 311 ข้อแลกเปลี่ยน
“จัดไป” ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ ฮูเตี๋ยน ได้ตอบรับคำนี้อย่างไม่ลังเล “ข้าพูดสิ่งใดไปแล้วย่อมไม่คืนคำ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจ”
“แต่ว่า…เฉินเฉียงเอ้ย ทำไมเจ้าถึงไม่คิดจะเข้าร่วมกับพวกเราล่ะ” ฮูเตี๋ยนถามออกมาด้วยความสงสัยอย่างที่สุด
“เฉินเฉียง เจ้าก็น่าจะรู้ว่าในโลกใบนี้ ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเรา ฮุยตู๋”
“แม้แต่หลิวฉิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์ของเจ้าก็ยังไว้หน้าพวกเราเลยนา”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าควรจะรู้ดีว่าไม่ว่าใครก็ตามในเผ่าพันธุ์ของเจ้าไม่มีใครไม่รู้ว่าเจ้าคือศิษย์ของข้า”
“เพื่อแค่สถานะนี้ แม้แต่คนของสภาสูงก็ยังไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเจ้า”
“แล้วเจ้าไม่สนใจลูกสาวของเว่ยหยวนตี้นั่นงั้นรึ”
“ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมกับเราอย่างเต็มตัว ข้าเชื่อว่ายัยเด็กนั่นต้องยอมแต่งกับเจ้าอย่างแน่นอน”
“เหอะ เหอะ เหอะ”
เฉินเฉียงหัวเราะออกมาอย่างปวดร้าว
สิ่งที่ฮูเตี๋ยนพูดออกมามันก็มีส่วนถูก
หากไม่ใช่เพราะว่าเขานั้นมีสถานะศิษย์ของฮูเตี๋ยนค้ำชู เขาคงไม่ได้ออกจากเขาโชวหยางอย่างปลอดภัย หรือแม้แต่เรื่องที่เขตแดนใต้เองนั่นที่ร้ายแรงอย่างที่สุดในหมู่กองทัพมนุษย์ แต่ก็ยังจบลงที่การตักเตือนเพียงเท่านั้น
ส่วนเรื่องระหว่างเขากับเว่ยฉิงเชินนั้น เขารู้ดีว่าต่อให้ฮูเตี๋ยนนั้นจะมั่นใจอย่างที่สุด ต่อให้เขาไปเอ่ยปากเอง เว่ยฉิงเชินก็คงจะไม่ไยดีอย่างแน่นอน
ในตึกจอมพลเหมันต์จันทรา เขาได้ทำลายการบ่มเพาะของเว่ยหยวนตี้ต่อหน้าเธอ ไหนจะท่าทางเย็นชานั่นก่อนที่เธอจะจากไปอีก เพียงแค่นั้นก็พอจะเป็นสิ่งยืนยันได้แล้ว
“ขอบคุณผู้อาวุโสในความหวังดีของท่าน”
เฉินเฉียงขอบคุณออกมาอย่างจริงใจก่อนจะพูดต่อ “ผู้อาวุโส กับเรื่องนี้ขอให้ท่านวางใจ ข้าเองจะไม่อ้างชื่อของท่านในการพบเจอผู้คนอีกอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องของข้ากับฉิงเชินนั้น ผู้อาวุโสเองก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้นอีกต่อไป”
ผู้อาวุโสฮูเตี๋ยนที่อยู่มานานเกือบสองร้อยปีแล้วจะไม่รู้ได้ยังไงว่าคำพูดของเฉินเฉียงนั้นมีความนัยอยู่
“เจ้าบอกเหตุผลกับข้าได้หรือไม่” ฮูเตี๋ยนถามออกมาเพื่อยืนยันในสิ่งที่คิดด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง “แต่หากเจ้าไม่อยาก ตาแก่คนนี้ก็จะไม่บังคับเจ้า”
“ส่วนเรื่องที่เจ้าไม่คิดเข้าร่วมกับฮูยตู๋นั้น ข้าเองก็เคารพการตัดสินใจของเจ้าเช่นเดียวกัน”
“เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจเท่านั้น”
“ทั้งๆที่ฮุยตู๋ของข้านั้นทรงพลัง แม้แต่สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ก็ต้องการที่จะเข้าร่วมทั้งนั้น”
“หึหึหึ” เฉินเฉียงหัวเราะปะนึ่งจะเยาะเย้ย “ผู้น้อยเองเข้าใจความทรงพลังของฮุยตู๋เป็นอย่างดี และไม่ได้มีข้ากังขาในความทรงพลังของพวกท่านแต่อย่างใด”
“เพียงแต่แนวคิดของพวกท่านกับตัวข้านั้นแตกต่างออกไป ทำให้ผู้น้อยไม่อาจจะทนอยู่ได้เพียงเท่านั้น”
“พ่อของข้า เฉินเทียนเว่ยเองก็เป็นคนของฮุยตู๋ และก็ได้ตกตายในการสืบค้นเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์หายนะ”
“แต่ฮุยตู๋นั้นกลับทำเพียงสืบทอดกฎที่ล้าหลังบรรพกาล ไม่แม้แต่หาความจริงในการตายของพ่อข้า”
“แล้วจะมีความทรงพลังไปทำซากอะไรกัน”
“ทั้งๆที่รู้ว่าศัตรูอยู่ที่ได้ แต่ไม่คิดแก้แค้น ไม่คิดทวงคืนแทนพวกพ้องของตน ทั้งๆที่พ่อของข้ายังไม่ได้ทำอะไรผิดจากแนวคิดของฮุยตู๋อะไรเลยเนี่ยนะ”
“นี่จึงทำให้ผู้น้อยคนนี้นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆว่ากองกำลังนี้คงอยู่ไว้เพื่อสิ่งใด ไหนจะเรื่องศัตรูภายนอกนั่นอีก”
“หากทุกชีวิตบนโลกนี้สาบสูญจนหมดสิ้น แล้วไอ้การปกป้องโลกใบนี้ไว้จะทำต่อไปเพื่อสิ่งใด”
น้ำเสียงของเฉินเฉียงนั้นหนักอึ้งและประชดประชันอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม หยางตู๋และผู้อาวุโสคนอื่นๆนั้นไม่มีใครคิดตอบหรือพูดตอบโต้คำพูดของเฉินเฉียงเลยสักคน พวกเขาเพียงหันไปมองฮูเตี๋ยนเป็นตาเดียวกัน
เมื่อเฉินเฉียงพูดจบ จางหยวนและคนอื่นๆได้ยืนขึ้นพร้อมกันแล้วพูดออกมา
“กัปตัน หากท่านไม่เข้าร่วมก็โปรดนำพาพวกข้าไปด้วย”
“ไม่”
เฉินเฉียงส่ายหน้าในทันที “จางหยวน หลังจากออกจากที่นี่ไปแล้ว พวกเราต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายนานัปการ และข้าเชื่อว่านับจากนี้ พวกสภาสูงคงไม่คิดปล่อยให้เราทำอะไรได้อย่างง่ายดายอีกเป็นแน่”
“เหตุที่ข้าไม่เข้าร่วมฮุยตู๋นั้น โดยหลักแล้วข้าต้องการสืบหาความจริงในการตายของพ่อของข้าและหาฆาตกรที่ลงมือสังหาร”
“หากพวกเจ้าปลอดภัย ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องกังวล”
จางหยวนแม้จะต้องการพูดต่อ แต่ก็ถูกเฉินเฉียงห้ามปราม
“ไม่ต้องพูดแล้ว นี่คือคำสั่ง หยานเสวี่ย ไปกันเถอะ”
เฉินเฉียงรับรู้ได้ในทันทีว่าหยานเสวี่ยเองก็ไม่อยากที่จะอยู่ที่ฮุยตู๋เช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาต้องไปที่เขาห่านป่าเพื่อสืบสวน เขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากหยานเสวี่ยด้วยอีกแรง
“ช้าก่อน”
เพียงเฉินเฉียงก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว เขาก็ถูกหยุดไว้โดยฮูเตี๋ยน
ฮูเตี๋ยนถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเฉินเฉียงแล้วพูดออกมา
“เฉินเฉียง เจ้าควรจะรู้ว่าเหตุผลที่ตาแก่คนนี้ชวนเจ้าเข้าฮุยตู๋อยู่มากมายหลายครั้งนั้น หลักๆก็คือเรื่องราวของเขตแดนลับที่อยู่ปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์”
“ความจริงแล้ว องค์กรฮูยตู๋นั้นก่อตั้งขึ้นมาโดยราชาจักรพรรดิทั้งสามเมื่อห้าร้อยปีก่อน”
และเป้าหมายหลักของฮุยตู๋นั้นก็เพื่อปกป้องภัยอันตรายจากเผ่าพันธุ์อื่นที่มาจากนอกโลก
ด้วยการที่ภารกิจนี้รับส่งมอบมาจากราชาจักรพรรดิทั้งสามโดยตรง พวกข้าจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
แต่ในช่วงสี่ร้อยกว่าปีมานี้ นอกจากเจ้าแล้ว ไม่มีใครอื่นอีกที่สามารถเข้าไปยังเขตแดนลับนั่นและค้นพบความจริงแห่งเขตแดนจักรพรรดิได้เลย
“เจ้า เฉินเฉียง เจ้าเป็นคนแรกที่ได้รับรู้ในเรื่องนั้น”
“หากเจ้านั้นทำให้ตาแก่คนนี้สมหวัง ข้าเองก็จะช่วยเหลือเจ้าตามที่เจ้าร้องขอ”
ฮูเตี๋ยนยอมแพ้แล้วงั้นรึ
นี่คือสิ่งที่หยางตู๋และผู้อาวุโสคนอื่นๆนั้นไม่เคยคิดมาก่อน
ในฮุยตู๋นั้น ฮูเตี๋ยนเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอมา และฮุยตู๋เองก็เป็นอันใดหนึ่งของโลกเมื่อเทียบกับสามเผ่าพันธุ์
สำหรับพวกเขาแล้ว ฮุยเตี๋ยนนั้นไม่ใช่คนที่ต้องอ่อนข้อให้กับผู้ใด
แต่เพื่อรักษาเฉินเฉียง ผู้ซึ่งล่วงรู้ความลับของเขตแดนจักรพรรดิ เพื่อปกป้องโลกใบนี้ ฮูเตี๋ยนถึงกับต้องยอมอ่อนข้อให้
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่าเฉินเฉียงนั้นเห็นถึงความยึดติดและความตรงไปตรงมายอมหักไม่ยอมงอของฮูเตี๋ยนจึงได้พูดจาตัดขาดออกไปอย่างไม่ไยดี เขาเองก็ไม่คิดว่าเพื่อทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ฮูเตี๋ยนกลับยอมงอเสียอย่างนั้น
แล้วเขาจะทำยังไงต่อดีล่ะนั่น
แค่ดูก็รู้ว่าฮูเตี๋ยนนั้นไม่ว่าจะยังไงก็พยายามจะฉุดรั้งเขาไว้ให้ได้
แต่ไอ้เรื่องความลับของเขตแดนจักรพรรดินี่มัน….
เขาไม่รู้จริงๆ
“ผู้อาวุโส ข้าเองไม่ขอปิดบังท่าน ด้วยความรู้ของผู้น้อยนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แม้จะได้เห็นมา แต่ผู้น้อยก็ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นสิ่งใดเป็นความลับ สิ่งใดนั้นสำคัญ และจากมุมมองของข้า มันไม่ได้มีความลับใดๆที่นั่น”
เมื่อมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงทำได้เพียงพูดความจริงออกมา
ในเขตแดนลับนั่น ก่อนที่เขาจะได้รับอะไรมา เขาก็ถูกดีดออกมาจากหนึ่งในจักรพรรดิก่อนด้วยซ้ำ
นอกจากเรื่องนี้ที่จำฝังใจแล้ว เขาก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดที่เป็นความลับเลยสักนิด
“ไม่ เจ้ารู้เรื่องนี้”
ฮูเตี๋ยนพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“เฉินเฉียง เจ้ายังจำไอ้ตัวยึกยือที่เจ้าพบในก้นสมุทรที่อยู่ในคาบสมุทรมังกรซ่อนนั่นได้หรือไม่”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ
ต่อให้เขาไม่ถามว่าฮูเตี๋ยนรู้ได้ยังไง เฉินเฉียงก็รู้ดีว่าเฉินเทียนเว่ยต้องบอกเรื่องนี้กับฮูเตี๋ยนบ้างแล้ว
แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับเขตแดนจักรพรรดิ
หากจะมีความเกี่ยวข้องกันนั้น นั่นก็คงจะเกี่ยวกับกระดูกสีดำที่เขาเก็บได้มาจากเขตแดนลับในเขตแดนจักรพรรดินั่นที่มันมีคุณลักษณะเหมือนกับไอ้ตัวหนวดที่อยู่ก้นสมุทร พวกมันทั้งสองต่างก็มีบอลเลือดปีศาจ
“เฉินเฉียง ก่อนหน้านี้ราชาสวรรค์ได้รายงานเรื่องที่เจ้าได้พบเจอสิ่งมีชีวิตประหลาดที่อยู่ใต้ก้นสมุทรแห่งนั้น หรือก็คือไอ้ตัวยึกยือที่ว่า”
“หลังจากเข้าใจคุณลักษณะของไอ้ตัวนี้แล้ว ตาแก่คนนี้ได้ส่งคนมากมายไปกวาดล้างไอ้ตัวนี้ที่ก้นมหาสมุทรนั่นจนเรียบวุธไปแล้ว”
“ข้าขอบอกตามตรงเลยว่าไอ้การคงอยู่ของไอ้ตัวประหลาดนี่ แม้แต่พวกเราฮูยตู๋ก็ยังไม่เคยรับรู้มาก่อน”
“หากไม่ใช่เพราะราชาสวรรค์ได้รายงานในตอนนั้น พวกเราเองก็คงไม่แคล้วต้องพบเจอปัญหาใหญ่ในอนาคตอันใกล้”
“และด้วยการพบเจอไอ้สิ่งมีชีวิตแปลกๆนั่นทำให้พวกเราต้องมานั่งคิดทบทวนกันใหม่”
“และเหตุผลที่เจ้านั้นสามารถจัดการไอ้ตัวยึกยือนั่นได้อย่างง่ายดายทั้งๆที่เป็นนายพลวิญญาณนั้นเป็นเพราะสิ่งที่เจ้าพบเจอในเขตแดนลับนั่นไม่ใช่หรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฉียงก็ได้นำกระดูกสีดำออกมาจากแหวนเก็บของแล้วส่งให้กับฮูเตี๋ยนแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโส นี่คือสิ่งที่ข้านำออกมาจากเขตแดน ส่วนที่ว่าทำไมข้าจัดการกับเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดนั่นได้ง่ายนักเป็นเพียงเพราะพวกมันมีคุณลักษณะที่เรียกว่าบอลปีศาจเหมือนกันเพียงเท่านั้น”
ฮู๋เตี๋ยนไม่ได้หยิบกระดูกสีดำนี้มาแต่อย่างใด เขาทำเพียงก้มลงไปเพ่งมองเพียงเท่านั้น
และนี่ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นเองต่างก็มามุงดูกระดูกสีดำที่อยู่ในมือนี้เช่นกัน
“เฉินเฉียง เจ้าเก็บไว้เถอะ”
ฮูเตี๋ยนพูดออกมาด้วยท่าทางเสียดาย “เฉินเฉียง ข้าเชื่อว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่อยู่บนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่อยู่ในระดับกึ่งราชาขึ้นไปแล้วจะไม่อาจเข้าสู่เขตแดนจักรพรรดิได้อีก”
“และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขตแดนตรากฎเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกอบโกยผลประโยชน์ขึ้นมา”
“หลังจากที่ทั้งสามกองกำลังออกจากเอเวอเรสต์ไปในวันนั้น เจ้าสองและเจ้าสามเห็นกับตาว่าเจ้านั้นได้ออกจากเขตแดนได้ด้วยตัวเจ้าเอง”
“ถึงแม้ว่าตาแก่คนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าออกมาได้ด้วยตัวได้ยังไง แต่ข้ามั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า กฎของเขตแดนนั้นไม่มีผลกับเจ้าแต่อย่างใด”
ในตอนที่เฉินเฉียงออกจากเขตแดนจักรพรรดินั้นเขารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนคอยจับตาอยู่จริงๆ และดูเหมือนว่าจะเป็นผู้อาวุโสลำดับที่สองและสามที่ว่านี่เอง
“เฉินเฉียง พวกเรานั้นต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ แล้วเจ้านั้นคิดจะปล่อยให้ไอ้ตัวพันธุ์นี้มาทำลายบ้านของเจ้างั้นรึ”
“เหตุผลที่ข้าชวนเจ้าอย่างไม่ขาดปากเพื่อให้เจ้าเข้าร่วมกับฮุยตู๋นั้น ส่วนหนึ่งเองก็เป็นเพราะเหตุนี้ และหมายมั่นปั้นมืออยากจะให้เจ้าปกป้องโลกใบนี้ด้วยกันไปกับพวกเรา”
คำพูดของฮูเตี๋ยนนี้เต็มไปด้วยความองอาจและห้าวหาญจนทำให้จางหยวนและคนอื่นๆเองต้องมองไปยังเฉินเฉียงอีกครั้ง
แต่เฉินเฉียงกลับหัวเราะออกมาเบาๆแล้วพูดออกมา “ต่อให้มีภัยอันตรายจากไอ้ตัวพันธุ์นี้จริง แล้วจะให้ข้าทำอะไรกับมันกันล่ะ”
“ทั้งๆที่ตอนนี้สัตว์หายนะได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่ว ต่อให้ไอ้ตัวพันธุ์นี้ไม่ออกมา ข้าก็เชื่อว่าอีกไม่นานมนุษย์และสัตว์ประหลาดต้องสาบสูญสิ้นอยู่แล้ว”
“หากข้าเฉินเฉียงผู้นี้ไม่ได้ล้างแค้นให้พ่อของข้า ข้าเองก็คงจะไม่ได้มีอารมณ์ไปใส่ใจกับความทุกข์ร้อนของคนอื่นแต่อย่างใด”
ความคิดของเฉินเฉียงนั้นง่ายดายอย่างที่สุด ระหว่างความแค้นของผู้เป็นพ่อ กับการปกป้องเผ่าพันธุ์ เขาย่อมเลือกอย่างแรก
ก็ไม่ได้น่าแปลกใจแต่อย่างใด
เพราะความรู้สึกของเขาที่มีต่อเฉินเทียนเว่ยนั้นมันฝังลึกจนยากที่จะลบเลือน
และหากไม่ใช่เพราะเฉินเทียนเว่ย เขาเองก็คงตกตายไปนานแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเฉินเทียนเว่ย เขาก็คงไม่รู้จักขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และนั่นก็คงไม่อาจจะสู้กับพวกมนุษย์กลายพันธุ์พลังจิตของหลินไฮ่หวังได้
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเฉินเทียนเว่ยตกตายไป เขาได้ดูดซับพลังงานของเฉินเทียนเว่ยมาจนทำให้ในตอนนี้สายเลือดของเขายกระดับและยังทำให้เขาทะลวงขั้นได้อีก
และเพื่อตอบแทนพระคุณที่ได้รับมาซ้ำๆอย่างไม่อาจตอบแทนได้ทัน เป็นธรรมดาที่เขาต้องการแก้แค้นให้สำเร็จให้จงได้
มันก็เพียงเท่านี้
ส่วนไอ้เรื่องปกป้องโลกใบนี้หรือเผ่าพันธุ์อะไรนั่น ก็ให้พวกที่ยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้นจัดการไปก็แล้วกัน
เมื่อเห็นเฉินเฉียงยังคงคิดจะจากไปอย่างไม่ไยดี ฮูเตี๋ยนก็รีบพูดออกมา “เฉินเฉียง หยุดก่อน ตาแก่คนนี้มีข้อเสนอ”
“ฮื้ม”
เฉินเฉียงหยุดเท้าลงในทันที ก่อนที่จะหันไปมองฮูเตี๋ยนโดยไม่พูดอะไรออกมา
เมื่อเห็นใบหน้าที่ราวกับยิ้มกริ่มอย่างเก็บซ่อนนี้ ฮูเตี๋ยนถึงกับต้องเหลือกตามองเฉินเฉียงในทันทีแล้วพูดออกมา “ไอ้เด็กนี่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมองออกสินะว่าตาแก่คนนี้ยอมอ่อนข้อให้น่ะ ห้ะ”
“เออๆ ใครดันใช้ให้คนอย่างเจ้านั้นเป็นคนเดียวที่ได้เข้าไปเหยียบเขตแดนลับนั่นกันล่ะฟะ”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็หลุดรอยยิ้มออกมาในทันที เขานั้นไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงรอคำพูดต่อไปของฮุยเตี๋ยนอย่างเงียบๆ
“ฮึ่มมมม ตามความเห็นของข้า หากไอ้สัตว์หายนะนี่มันไม่ได้มาจากเขาห่านป่านั่น เจ้าก็คงไม่เสียเวลาถ่อมาถึงนี่สินะ ถ้าให้ถ่อมาถึงที่นี่ เจ้าคงจะตรงไปหาศัตรูเลยถึงจะถูก”
“ก็ได้”
“เจ้าเองก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเขาห่านป่านั้นคือสถานที่เช่นใด”
“หากใครก็ตามรู้ถึงการคงอยู่ของเจ้า อย่าว่าแต่แก้แค้นเลย เจ้าเองก็คงไม่อาจรอดไปได้”
“ทั่วทั้งโลกนี้ นอกจากไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว ก็มีเพียงฮุยตู๋ของข้าเท่านั้นที่ไปที่นั่นได้”
“เอาอย่างนี้ หากว่าเจ้ารับปากว่าจะเข้าร่วมกับฮุยตู๋ และช่วยปกป้องโลกใบนี้ร่วมกันกับพวกข้า พร้อมทั้งไม่ปิดบังเรื่องราวที่เจ้าได้รับรู้ในเขตแดนจักรพรรดิ ข้าเองก็จะช่วยเจ้าสืบหาว่าใครเป็นคนสังหารราชาสวรรค์ให้”
คนแก่ยังไงก็ยังคือคนแก่
เฉินเฉียงเองก็เหมือนจะเข้าใจถึงความนัยที่แท้จริงของข้อเสนอของฮูเตี๋ยนนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เหตุผลที่ฮูเตี๋ยนนั้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้เฉินเฉียงเข้าร่วมกับฮุยตู๋ให้ได้นั้นเป็นเพราะเฉินเฉียงคือคนที่เข้าถึงเขตแดนจักรพรรดิได้เหนือใคร
และการมาของเฉินเฉียงนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องการใช้พลังของฮุยตู๋ในการสืบสวนการตายของเฉินเทียนเว่ย
ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ต่อให้มีหยานเสวี่ยช่วยเหลือก็ยังยากที่จะพบความจริงได้
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่า หากเฉินเฉียงไปเองนี้จะยิ่งทำให้เขาไม่ได้อะไรกลับมาอีก
และด้วยการหยิบยื่นของฮูเตี๋ยนนี้เองจะเรียกได้ว่าเฉินเฉียงได้ประโยชน์มากกว่าใคร
ไม่เพียงจะสามารถยืมพลังของฮุยตู๋ได้ เขายังทำให้กองกำลังเทียนเว่ยได้เข้าร่วมกับฮุยตู๋อีก
นี่จะทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยของจางหยวนและพวกอีกต่อไป
ฮูเตี๋ยนเองนั้นแม้จะรู้สึกมันเขี้ยวเฉินเฉียงจนอยากจะฉีกทึ้งเป็นกระดาษชำระขนาดไหนก็ตาม แม้เขาจะไม่เห็นเฉินเฉียงเปลี่ยนแปลงท่าที แต่เพียงเท่านี้เขาก็สุขใจแล้วเพราะสำเร็จตามเป้าที่หวัง
“ผู้อาวุโส ความแค้นของพ่อข้านั้น ข้าผู้นี้จะเป็นคนลงมือเอง ท่านเพียงสืบหาตัวตนของคนลงมือก็พอ”
“ตกลง”
ฮูเตี๋ยนในที่สุดก็โล่งใจได้สักที เขาใช้มือดันหลังเฉินเฉียงให้เข้าไปประหนึ่งดังกลัวเฉินเฉียงคืนคำ “ในเมื่อพวกเจ้าได้เข้าร่วมฮุยตู๋แล้วก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนการแต่งตัวกันหน่อย ตามข้ามา”
ตรงที่นั่งสำหรับผู้อาวุโสสูงสุด ฮูเตี๋ยนได้กดมือลงบนที่นั่งของตน และนั่นทำให้ประตูลับหนึ่งได้เปิดออก เปิดเผยให้เห็นพื้นที่กว้างอยู่ภายใน
สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีพื้นที่ประมาณสิบตารางกิโลเมตร ภายในเต็มไปได้ที่โล่งกว้าง มีผู้ทรงพลังนับพันที่นั่งบ่มเพาะกระจายกันไปทั่ว สูงบ้าง สูงล้ำบ้าง คละกันไป
เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก ทุกคนได้หันมามองเป็นตาเดียวกัน
“พวกเราขอแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสสูงสุด”
ผู้คนนับพันต่างโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียง
“วันนี้ฮุยตู๋ของเราได้รับคนเข้าร่วมมาใหม่ พวกเจ้าเองก็มาทำความรู้จักกันไว้ล่ะ”
เมื่อสิ้นคำพูด ผู้คนนับพันต่างก็มองไปที่เฉินเฉียงและคนอื่นๆอีกสิบสามคน(รวมหยานเสวี่ย)
ฮุยตู๋นั้นมีเกณฑ์การรับศิษย์อย่างเข้มงวดอย่างที่สุด
นี่จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะได้พบเห็นกับการที่ฮุยตู๋รับคนเข้ามานับสิบคนแบบนี้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่แล้วเคยพบเจอเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยมาก่อนที่เขาโชวหยางและจดจำกันได้เป็นอย่างดี นี่จึงทำให้คนเหล่านี้เข้าใจว่าทำผู้อาวุโสสูงสุดจึงตัดสินใจเช่นนี้
ผู้คนนับพันเหล่านี้คือผู้บ่มเพาะโดยพวกเขาถูกแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่ม ส่วนเฉินเฉียงและคนอื่นๆนั้นเดินตามฮูเตี๋ยนไปยังตรงกลางของจัตุรัสแห่งนี้
“ฮื้ม”
เพียงพวกเขาเดินเข้าสู่กลางเขตจัตุรัส กระแสจิตของเฉินเฉียงก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง และนี่ทำให้เขาต้องตกตะลึง