ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 312 ชีวิตและความตาย
บทที่ 312 ชีวิตและความตาย
ที่กลางจัตุรัสที่มีขนาดพอๆกับสนามบาสเกตบอลนั้น ผู้ทรงพลังสามคนที่มีความสูงเกือบสองเมตรได้ยืนตระหง่านเชิดหน้ามองไปคนละทิศคนละทางพร้อมกับเสื้อผ้าที่ปลิวไสวไปตามสายลม
ผู้ที่อยู่ตรงกลางนั้น ใบหน้าของเขาดูสง่างามพร้อมเครายาวห้านิ้ว
คนด้านซ้ายตามการมองของเฉินเฉียงนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยขนรุงรังและตัวที่ใหญ่โต
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นดูไปแล้วอายุดูราวๆสักสามสิบไม่ก็สี่สิบปี ผมของเขาขาวโพลน และทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยปรอทที่สว่างไสวประดุจเกราะสีเงิน เห็นได้ชัดว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์
นี่มันเหล่าราชาจักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่เขาเคยได้พบเจอไม่ใช่เหรอ
ในครานั้นนอกจากเขาจะได้พบทั้งสามคนนี้แล้ว เฉินเฉียงได้เห็นเสียงของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้กัน
ถึงแม้ว่าหลังจากพบเจอในครานั้น ตัวเขาก็มีความคิดอยู่ว่าทั้งสามอาจจะไม่ใช่ซากร่างแต่อย่างใด แต่เขาก็ยังคิดอยู่ว่าทั้งสามต้องติดอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิไม่ได้ไปไหน
แต่เขากลับได้พบเจอทั้งสามอยู่ที่นี่
และเมื่อยิ่งเห็นท่าทางที่ดูมีชีวิตชีวาของทั้งสาม เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
เป็นไปได้ว่าตรงหน้าเขาในตอนนี้คือร่างที่แท้จริงของราชาจักรพรรดิทั้งสามนั่นรึเปล่านะ
“กัปตัน”
“เฉินเฉียง…”
จางหยวนและพวกรวมถึงหยานเสวี่ยต่างก็สงสัยและมึนงงในทันทีที่เห็นเฉินเฉียงนึ่งอึ้งไป พวกเขารีบเรียกเฉินเฉียงโดยจับไหล่เขย่าในทันทีด้วยความเป็นห่วง
ในขณะเดียวกัน เมื่อฮูเตี๋ยนได้เห็นท่าทางแปลกประหลาดของเฉินเฉียงนี้ เขาก็ได้มองไปที่กลางจัตุรัสเช่นกันและกระซิบถามออกมา “เฉินเฉียง มีปัญหาอะไรงั้นรึ”
“ผู้อาวุโส ทั้งสามคนนั้นคือราชาจักรพรรดิของสามเผ่าพันธุ์ใช่รึเปล่า”
ถึงแม้ว่าคำถามของเฉินเฉียงจะไม่ผิดปกติแต่อย่างใด แต่จุดที่เขาอยู่นี้ห่างจากจุดศูนย์กลางของจัตุรัสแห่งนี้ถึงสองไมล์ นี่ทำให้นอกจากหยางเสวี่ย จางหยวน และคนอื่นๆต้องตกตะลึง ส่วนคนอื่นอีกนับพันนี้ ในตอนแรกจะไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
แต่เพียงเฉินเฉียงพูดออกมา พวกเขาจึงได้รีบหันไปมองยังกลางจัตุรัสในทันที
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮูเตี๋ยนก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาดึงแขนของเฉินเฉียงแล้วรีบถามออกมา “เฉินเฉียง เจ้าเคยพบผู้อาวุโสทั้งสามมาก่อนงั้นรึ ใช่ในเขตแดนจักรพรรดินั่นรึเปล่า”
ยิ่งได้ยินคำถามหยั่งเชิงของฮูเตี๋ยนนี้ยิ่งทำให้เฉินเฉียงมึนงงเข้าไปใหญ่
“ผู้อาวุโสสูงสุด ตรงกลางจัตุรัสนั่นไม่ใช่ว่าเป็นร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามนั่นหรอกรึ”
“ไอ๊หยา….”
ฮูเตี๋ยนได้ถอดถอนลมหายใจออกมา “นั่นเป็นเพียงรูปปั้นของผู้อาวุโสทั้งสามเพียงเท่านั้น”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงไม่เชื่อแต่อย่างใด
เขาไม่มีทางเชื่อได้ลงเลยว่าคนทั้งสามที่ยืนอยู่อย่างมีชีวิตชีวานี้จะเป็นเพียงรูปปั้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงก็ได้ก้าวขึ้นหน้าไปและไปปรากฏตัวที่กลางจัตุรัสในพริบตา เป็นตอนนี้ที่เขายอมรับได้ว่าทั้งสามคนที่เขาเห็นนี้เป็นเพียงแค่รูปปั้น
แต่รูปปั้นทั้งสามนั้นกลับดูน่าเกรงขามเสียยิ่งกว่าฮูเตี๋ยนซะอีก
นั่นเป็นเพราะผ้าคลุมที่อยู่บนรูปปั้นทั้งสามนั้นทำจากวัตถุดิบบ่มเพาะที่ทรงพลัง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำเฉินเฉียงที่ได้เห็นรูปปั้นทั้งสามในคราแรกนั้นถึงคิดว่าเป็นร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสาม
แต่เมื่อเขาได้ก้มลงมองที่ฐานรูปปั้น ดวงตาของเขาก็ได้เบิกกว้าง
ช่องสามแง่ง
ช่องสามแง่งที่ว่านี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ มันอยู่ตรงจุดที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามหันหลังตรงกัน
เมื่อเฉินเฉียงเห็นช่องนี้แล้ว เขานั้นรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างบอกไม่ถูก นี่จึงทำให้เขาเดินไปตรงจุดนี้ พร้อมกับมีความรู้สึกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นในแหวนของตน
“เฉินเฉียง เจ้าจะทำอะไรน่ะ มานี่เดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นฉากนี้ ฮูเตี๋ยนที่ตามหลังมาพร้อมกับคนอื่นๆรีบตะโกนร้องห้ามในทันใด
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉียงได้หยุดการกระทำของตน ก่อนจะหันไปจ้องมองฮูเตี๋ยนด้วยสายตาที่เลื่อนลอย
“เจ้าเนี่ยน้า….เฉินเฉียง อะไรอยู่ในมือของเจ้ากัน เจ้ากำลัง….”
ในทันทีที่ฮูเตี๋ยนเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเฉินเฉียงก็ถลึงตากว้างในทันที มันเป็นสิ่งสีเงินเทาที่เป็นรูปทรงตัว Y เขาชี้ไปที่มันด้วยมือที่สั่นเทิ้มอย่างพูดไม่ออก
ท่าทางของฮูเตี๋ยนนี้แน่นอนว่าย่อมเตะตาผู้อาวุโสคนอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
เช่นเดียวกัน เมื่อทุกคนได้เห็นของที่อยู่ในมือของเฉินเฉียง พวกเขาก็นิ่งอึ้งไป
“พี่ใหญ่ สิ่งที่เฉินเฉียงถืออยู่นั่น….มัน….ไม่ใช่….”
ฮูเตี๋ยนไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เขาเดินไปหาเฉินเฉียงราวกับสูญเสียจิตใต้สำนึกไปแล้ว และสายตาของเขาไม่ได้ละสายตาจากแผ่นสีเงินนี้แม้แต่น้อย
“นี่ คือป้ายคำสั่งฮุยตู๋ไม่ผิดแน่”
สุดท้ายแล้ว หลังจากได้เห็นแผ่นป้ายนี้ใกล้ๆ ฮูเตี๋ยนก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น พลางคุกเข่าลงหนึ่งข้าง “ผู้ใต้บังคับบัญชาฮูเตี๋ยน ทำความเคารพผู้การสูง”
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เฉินเฉียงอ้ำอึ้งไปในทันที ก่อนที่จะรีบเข้าไปพยุงฮูเตี๋ยน แต่นั่นก็กลับทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นอย่างหยางตู๋และคนอื่นๆคุกเข่าลงข้างหนึ่งเช่นกัน
“ทำความเคารพผู้การสูง”
“ทำความเคารพผู้การสูง”
….
ในทันทีนั้น คนกว่าพันที่อยู่กลางจัตุรัสแห่งนี้ต่างก็คุกเข่าลง
“กัปตัน….เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
จางหยวนกับคนอื่นๆนิ่งอึ้งไปตามๆกัน
เฉินเฉียงนั้นยังคงรีบดึงฮูเตี๋ยนให้พูดขึ้นมา
“ท่านผู้อาวุโส ท่านทำอะไรกัน”
ฮูเตี๋ยนได้พูดออกมาด้วยเสียงที่ตื่นเต้นยินดี “ผู้การสูง ท่านอาจไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของท่านนั้นคือสิ่งใด มันคือป้ายคำสั่งที่หายสาบสูญไปจากฮุยตู๋มาแล้วสี่ร้อยกว่าปี”
“ฮุยตู๋….ป้ายคำสั่ง…แห่งฮุยตู๋เหรอ”
เฉินเฉียงได้มองไปที่ป้ายสามแง่งในมือแล้วพูดออกมาเบาๆ “ข้าเพียงแค่หยิบมาโดยบังเอิญจากในเขตแดนลับนั่นเพียงเท่านั้นนะ”
“สิ่งนี่คือป้ายคำสั่งของฮุยตู๋งั้นรึ”
“ถูกต้อง ผู้การสูง นี่คือป้ายคำสั่งแห่งฮุยตู๋อย่างจริงแท้”
“มันมีเพียงหนึ่งไม่มีสองทั่วทั้งโลกหล้า”
“เมื่อสี่ร้อยปีก่อน อยู่ๆมันก็ได้หายไปพร้อมกับนายท่านจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม ด้วยป้ายคำสั่งนี้ เพียงมีป้ายคำสั่งนี้อยู่ มันก็ทำให้พวกเราแสดงอำนาจของฮุยตู๋ออกมาได้แล้ว แต่ถึงกระนั้น มันก็ได้หายไป”
“ใครจะไปคิดว่าหลังจากหายไปสี่ร้อยปี นายเหนือหัวจะนำมันออกมาจากเขตแดนลับนั่นได้”
“ใครก็ตามที่มีป้ายคำสั่งนี้อยู่ในมือ คนผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์อำนาจเหนือฮุยตู๋”
“นายเหนือหัว โปรดวางป้ายคำสั่งนี้ลงในช่องตรงหน้า แล้วนั่นท่านจะได้เห็นบางสิ่ง”
ถึงแม้เฉินเฉียงจะไม่ชอบกับการที่ถูกผู้อาวุโสทั้งหลายเรียกเขาว่าผู้การสูงแม้แต่น้อย แต่เขาย่อมรู้ดีว่าการที่สามารถออกคำสั่งกับฮุยตู๋ได้นั้นหมายความว่ายังไง
และเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ท่ามกลางการจ้องมองของผู้คน เฉินเฉียงจึงได้เดินไปที่ตรงกลางของรูปปั้นทั้งสาม ก่อนที่จะวางมันลงในช่องที่มีลักษณะเดียวกับป้ายคำสั่งในมือ
“กรึ๊บ…”
ในทันทีที่ป้ายคำสั่งของฮุยตู๋ได้วางลงไป วงล้อมแสงก็ได้เริ่มสว่างขึ้นมา และแสงนั่นได้พุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างของเฉินเฉียงไว้
ในขณะเดียวกัน เส้นแสงนับไม่ถ้วนได้ถูกส่งจากป้ายคำสั่งเข้าสู่จิตสำนึกของเฉินเฉียงในขณะที่ยังถือป้ายคำสั่งนี้อยู่ในมือ
มันคือฉากเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างเนิ่นนาน
ฉากที่ปรากฏ เฉินเฉียงได้เห็นราชาจักรพรรดิทั้งสาม มันเป็นเรื่องหลังจากตอนที่พลังฟ้าดินได้ฟื้นคืน ทั้งสามถูกชี้แนะจากใครบางคนที่ทรงพลังจนทำให้ทั้งสามค่อยเพิ่มระดับการบ่มเพาะมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นราชาจักรพรรดิ
แต่เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นคนที่ชี้แนะราชาจักรพรรดิทั้งสามนั่น เขาตกตะลึงอย่างที่สุด
นั่นก็เพราะคนที่ชี้แนะนั้นมีหน้าตาเหมือนเขาอย่างที่สุด
เป็นไปได้ยังไงกัน
ทำไมข้าถึงได้กลายเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิทั้งสามไปได้ล่ะ
เฉินเฉียงรีบบอกปัดความคิดนี้ไปในทันที
เป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้เพียงหน้าตาละม้ายคล้ายกับข้าเพียงเท่านั้น
และฉากเหตุการณ์นี้เองก็สมควรจะเป็นฉากเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทั้งมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ได้ฆ่ากันเป็นตายเฉกเช่นในตอนนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าทั้งสามเองจะเป็นผู้ที่บ่มเพาะฝึกตนมาด้วยกัน เพราะการแลกเปลี่ยนความเห็นการบ่มเพาะของแต่ละคนกันด้วย
ถึงแม้จะมีฉากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อทั้งสามเข้าสู่ในระดับราชา จำนวนฉากที่มีการต่อสู้กันจนตกตายก็ลดลงไป
เมื่อจักรพรรดิทั้งสามก้าวเข้าสู่ระดับราชาขุนพลขั้น ทั้งสามก็ได้เป็นเพื่อนอันดีต่อกัน
และเมื่อห้าร้อยปีก่อน ทั้งสามในระดับราชาขุนพลขั้นสูงช่วงปลายที่จวนเจียนจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ
และยามที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ พวกเขาก็ได้แสดงอะไรบางอย่างออกมาที่เฉินเฉียงคุ้นเคยอย่างมาก
มันคือ…การควบคุม
พลังที่สามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งในพื้นที่ของตนด้วยพลังฟ้าดิน
เมื่อทั้งสามก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ พวกเขาสามารถควบคุมสิ่งรอบตัวได้ประหนึ่งดั่งการควบคุมโลกใบเล็กของตน
และเหตุผลที่เฉินเฉียงมีความคุ้นเคยกับสิ่งที่เห็น นั่นก็เป็นเพราะว่าหลังจากดูดซับพลังของเฉินเทียนเว่ยมา เฉินเฉียงเองก็ได้รับขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้มาด้วย
แต่ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเฉินเทียนเว่ยนั้นอยู่เพียงแค่ระดับเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ หากว่าเฉินเทียนเว่ยไม่ได้ตกตายไป ตัวเขานั้นก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นจักรพรรดิคนที่สี่แห่งประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของโลกใบนี้
นอกจากทักษะในการควบคุมแล้ว เฉินเฉียงยังพบว่าจักรพรรดิทั้งสามยังมีพลังจิตที่แข็งกล้าอย่างน่าสะพรึงกลัว
แม้แต่พลังฟ้าดินก็ยังหลั่งไหลออกมา
ฉากที่เห็น เฉินเฉียงก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
จากภาพเสมือนนี้ นี่ทำให้เขาเข้าใจได้ว่าทำไมบนร่างของผู้อาวุโสทั้งสามนั้นถึงได้มีร่องรอยแห่งพลังฟ้าดินอยู่บนร่าง
ไม่เพียงผู้อาวุโสทั้งสามจะทิ้งพลังฟ้าดินไว้บนร่างเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถหลงเหลือจิตวิญญาณเอาไว้ได้ เพื่อคอยควบคุมโลกใบเล็กของตน
เรียกได้ว่าเป็นความสามารถในการควบคุมที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ฉากในภาพเสมือนที่ฉายออกมานี้แสดงให้เห็นว่า หลังจากที่ทั้งสามก้าวเข้าสู่ระดับราชาจักรพรรดิไปแล้ว พวกเขาได้ตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมาโดยเรียกมันว่าฮุยตู๋ โดยมุ่งหวังว่าเพื่อรักษาดุลอำนาจของโลกใบนี้ ก่อนที่จะเข้าไปยังเขตแดนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
และเรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้นหลังจากนี้
ภายในเขตแดนที่แตกต่างนี้ ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกเขานั้นได้กวาดล้างกองกำลังฝ่ายตรงข้ามจนหมดสิ้นด้วยเวลาอันสั้น
และเมื่อตอนที่ทั้งสามคิดว่าได้จัดการกับปัญหาจนหมดสิ้น ตัวหายนะก็ได้ปรากฏ
ผู้ที่ดูราวกับเป็นผู้นำของกองกำลังที่ปรากฏในเขตแดนนั้นได้ทำการต้อนรับจักรพรรดิทั้งสามอย่างสมเกียรติ พวกเขาเชิญทั้งสามไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง และที่นั่นได้ปรากฏสิ่งมีชีวิตที่ดูพิลึกกึกกือจำนวนมาก
สัตว์ประหลาดเหล่านี้ดูราวกับตั๊กแตน และพวกมันได้ถาโถมเข้าใส่สามราชาจักรพรรดิ
ราชาจักรพรรดิเมื่อเห็นฉากนี้ก็ได้ปลดปล่อยคลื่นพลังของตนออกมา และนี่ทำให้เพียงชั่วพริบตา พวกมันกว่าครึ่งก็ได้ตกตาย
แต่เป็นตอนที่ทั้งสามได้ก้าวผ่านซากศพเหล่านี้ไปที่ได้เกิดเรื่องที่น่าสะพรึงขึ้นมา
ในภาพเสมือนได้แสดงให้เห็นใบหน้าที่ร้อนรนของทั้งสาม คนที่ตัวสูงและร่างกายใหญ่โตที่สุดได้ตัดขาของตัวเองออก จากบาดแผลนี้ เฉินเฉียงได้เห็นบอลเลือดปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไหลรินออกมาจากร่างของจักรพรรดิสัตว์ร้าย พวกมันแทนที่เลือดของเขาแทบจะในทันที
ส่วนราชาจักรพรรดิอีกสองคนก็ทำเฉกเช่นเดียวกัน
แต่เดิม พวกเขาก็คิดว่าเพียงแค่ตัดขาออกไปนั้นก็พอที่จะหยุดการกลืนกินของบอลเลือดปีศาจได้แล้ว แต่พวกเขาไม่คิดว่า บอลเลือดปีศาจเหล่านี้จะกลืนกินสายเลือดของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วเหนือการคาดการณ์
และเพียงแค่สิบกว่านาที จักรพรรดิทั้งสามที่เคยทรงพลังเหนือใคร ก็แทบไม่เหลือพลังสายเลือดภายในร่างอีก เรียกได้ว่าบอลเลือดปีศาจกลืนกินพวกมันไปจนหมดก็ว่าได้
และในฉากนี้ เหล่าผู้คนที่ต้อนรับพวกเขาก่อนหน้าก็ได้ร้องเล่แห่ยินดี และมีใครบางคนได้เดินเข้ามาภายในห้องนี้ พร้อมร่างที่มีสีเขียวสดสะท้อนแสงมันเลื่อม
เป็นตอนนี้ที่ร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามได้เปล่งแสงออกมา แสงที่เปล่งออกมานี้ได้สาดซัดเข้าใส่ร่างกายทุกตัวตนที่อยู่ในห้อง ทำให้พวกมันต้องเร่งหนีไปโดยไว
เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เร่งรี่หนีไปแล้ว จักรพรรดิทั้งสามเองก็เร่งรีบหนีเช่นเดียวกัน
ที่ทางเข้าเขตแดนที่ทั้งสามเข้ามานั้น แม้จะได้พบเจอกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดนี้อยู่อีก มีบางตัวที่อยู่ในรูปร่างคล้ายมนุษย์เสียด้วยซ้ำ
แต่ด้วยสภาพของราชาจักรพรรดิทั้งสามในตอนนี้ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าไม่อาจสู้ได้อีก พวกเขาจึงได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งผ่านสิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนี้มา แหวกมิติเขตแดน จนกลับมาที่โลกได้ในที่สุด
ฉากทั้งหลายจบลงที่ตรงนี้
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นฉากนี้แล้ว กำแพงแสงที่มาห่อหุ้มเขาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้จางหายไป แต่เฉินเฉียงกลับทรุดลงไปนั่งลงในทันที และทำการคิดคำนวณในสิ่งที่เห็นพร้อมดวงตาที่ตื่นตะลึง
ในตอนที่ออกมาจากเขตแดนลับนั่น เฉินเฉียงเองยังคงมีความคิดอยู่ว่า ราชาจักรพรรดิทั้งสามนั้นยังคงมีชีวิตอยู่
แต่เมื่อได้เห็นฉากในภาพนี้ เฉินเฉียงนั้นกลับมั่นใจว่าราชาจักรพรรดิทั้งสามได้ร่วงหล่น(ไร้พลัง)ไปแล้ว
แถมยังเป็นการร่วงหล่นเพราะภัยอันตรายภายนอก
เป็นอย่างที่ฮูเตี๋ยนพูดเอาไว้ก่อนหน้า สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดนั่นเป็นภัยอันตรายของโลกใบนี้จริงๆ
หลังจากเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เฉินเฉียงได้ดึงป้ายคำสั่งของฮุยตู๋ออกมา กำแพงแสงรอบตัวก็ได้หายไปในที่สุด
“นายเหนือหัว”
ฮูเตี๋ยนเอ่ยปากออกมาพร้อมมองไปที่เฉินเฉียงอย่างคาดหวัง
เฉกเช่นเดียวกับผู้คนที่ยืนอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้
เฉินเฉียงได้ยืนสะบัดป้ายคำสั่งนี้ไปมาและพูดออกไป “ผู้อาวุโส ข้าไม่ใช่นายเหนือหัวอย่างที่ท่านว่ามาหรอก”
“ไม่”
ฮูเตี๋ยนรีบโค้งคำนับและเร่งพูดออกมา “นายเหนือหัวโปรดฟังที่ตาแก่ผู้นี้พูดก่อนเถิด”
“นับแต่ที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามได้หายไป ป้ายคำสั่งที่เปรียบได้ดั่งความทรงพลังของฮุยตู๋นี้ก็ได้หายไป”
“ถึงแม้ว่านายเหนือหัวจะได้รับมันมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่นี่ก็เรียกได้ว่านายเหนือหัวและฮุยตู๋นั้นมีชะตาที่ต้องกัน”
“ตาแก่ผู้นี้หวังว่านายเหนือหัวจะไม่คิดปฏิเสธในเรื่องนี้”
ในทันทีที่ฮูเตี๋ยนได้พูดจบ ผู้อาวุโสคนอื่นเองต่างก็ก้มหัวทำความเคารพแล้วพูดออกมา “นายเหนือหัว โปรดอย่าได้ปฏิเสธ”
เมื่อเห็นใบหน้าท่าทางที่มั่นหน้าของฮูเตี๋ยนนี้ มุมปากของเฉินเฉียงก็ยกตัวขึ้นมาเล็กน้อย
เขานั้นเข้าใจน้ำหนักของตำแหน่งที่อีกฝ่ายกำลังยัดเยียดให้เขาได้เป็นอย่างดี
นายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋นั้น ต่อให้ชื่อมันดูสูงส่ง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเพื่อเสวยสุขแต่อย่างใด
หากเขารับตำแหน่งนี้ มันก็เปรียบได้ดั่งการที่ต้องแบกรับโลกใบนี้เอาไว้
แต่เฉินเฉียงเองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
หากเขารับตำแหน่งนายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋ ไม่เพียงเขาจะใช้พลังอำนาจแห่งฮุยตู๋ในการสืบหาความจริงในการตายของเฉินเทียนเว่ยเท่านั้น เขายังสามารถใช้พลังแห่งฮุยตู๋เผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรคอื่นที่เขาต้องพบเจอ
ซากร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสาม
เพียงแค่เขาได้ดูดซับพลังของซากร่างหนึ่งในนั้น เขาก็สามารถไปถึงระดับราชาจักรพรรดิได้อย่างไม่ยากเย็น
นั่นก็เพราะนับแต่พลังฟ้าดินได้ฟื้นคืน นอกจากราชาจักรพรรดิทั้งสามแล้ว ไม่เคยมีใครได้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับราชาจักรพรรดิได้อีก
หากเขาทำสำเร็จในการดูดซับพลังงานจากซากร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสาม เขาย่อมสามารถกลายเป็นราชาจักรพรรดิคนที่สี่ได้ในที่สุด
และในฐานะของนายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋ สิ่งที่เขาเหลืออยู่นั้นก็จะมีเพียงแค่การนำพาคนชราเหล่านี้ในการต่อต้านผู้รุกรานเหล่านั้น
ด้วยการที่คนของฮุยตู๋นั้นส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับราชาขุนพล เขาเชื่อว่าต่อให้ภัยอันตรายพวกนั้นกล้ำกราย คนของฮุยตู๋จะสามารถต่อกรกับพวกมันได้
ถึงแม้จะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่พูดก็ตาม
นั่นก็เพราะถึงแม้ว่าจะผ่านมาแล้วสี่ร้อยปี เขาก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าราชาจักรพรรดิทั้งสามยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า
ต่อให้ตายไปแล้ว เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะยังเข้าถึงร่างของทั้งสามได้ยังไง
ดูเหมือนว่าเขาเองก็คงต้องกลับไปที่เขตแดนจักรพรรดิอีกครั้งเสียกระมัง