ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 315 ใจมนุษย์
บทที่ 315 ใจมนุษย์
ส่วนผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างหลิวฉิงนั้น
เมื่อเขาได้เห็นการกระทำของหลูเป็งและหลินจิ้นไปแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยทันใคร แต่เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงเอาไว้ในฉากที่เห็นตรงหน้าของเขา
ฮูเตี๋ยน หยางตู๋ หลินจิ้น และหลูเป็ง พวกเขานั้นต่างก็เป็นราชาที่อยู่ในระดับเทียบเท่าจอมพลขั้นปลาย
การที่พวกเขามาที่เขาโชวหยางนี้มีหรือที่จะไม่นำกำลังคนมาด้วย
แถมดีไม่ดีคนที่พานี้จะอยู่ในระดับเทียบเท่าราชาจอมพลทั้งหมดที่มีเลยด้วยซ้ำ และน่าจะอยู่ในโลกใบเล็กของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว และในตอนนี้ พวกเขาเพียงแค่รอคำสั่งของเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น พวกเขาก็พร้อมที่จะกวาดล้างเขาโชวหยางให้ราบเรียบเป็นหน้ากอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เหงื่อเม็ดใหญ่ในที่สุดก็ได้ผุดไหลย้อยลงมาจากหน้าผากของหลิวฉิง
และที่ทำให้หลิวฉิงรู้สึกโกรธเคืองและสาปแช่งหลูเป็งยิ่งกว่าใครนั้นเป็นว่าในทันทีที่หลูเป็งมาถึง เขาก็ได้ถามประโยคหนึ่งออกมาในทันที “น้องชายนายเหนือหัว แล้วกับไอ้คนที่พูดจาไม่ดีกับน้องชายที่ทำท่าวางทางอวดดีไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตานั่นน่ะ น้องชายนายเหนือหัวคิดอ่านเป็นเช่นใด บอกข้าได้เลยนะ ข้าจะช่วยน้องชายสั่งสอนเด็กน้อยระบายแค้นได้ในทันที”
นี่ทำให้หลิวฉิงถึงกับจ้องมองหลูเป็งอย่างเขม็งราวกับอยากจะอ้าปากไปกัดหัวเสียตรงนี้ ก่อนที่จะหันหน้าไปหาเฉินเฉียง
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่รู้ว่าเฉินเฉียงไปกลายเป็นนายเหนือหัวของฮุยตู๋ได้ยังไงและตอนไหนก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่เวลามาหาคำตอบในเรื่องนั้น
นั่นก็เพราะตัวเขาได้มีสิทธิว่าจะเลือกใครมาเป็นนายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋ได้อยู่แล้ว
“เฉินเฉียง…ไม่ นายเหนือหัว….ท่านนายเหนือหัว…”
หลิวฉิงในตอนนี้ปากสั่นระรัวอย่างละอายใจก่อนที่จะตัดใจป้องมือและโค้งคำนับให้แล้วพูดออกมา “ท่านนายเหนือหัว ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ไม่รู้สถานะของท่าน ขอให้นายเหนือหัวโปรดให้อภัยกับการเสียมารยาทของข้าด้วยเถิด”
“ต่อให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดจะรู้หรือไม่ นายเหนือหัวผู้นี้ก็ไม่คิดใส่ใจ” เฉินเฉียงพูดออกมาพร้อมยกมือห้ามปราม “ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ท่านควรจะกลับไปนั่งที่ได้แล้ว”
เมื่อเห็นฉากนี้ หลิวฉิงรีบสะบัดมือไปมาก่อนที่จะพูดออกไป “อ้า….ท่านนายเหนือหัว โปรดอย่าฆ่าชายชราผู้นี้ทางอ้อมเลย”
“เชิญนายเหนือหัวนั่งที่ตรงนั้นเถิด”
ในตอนนี้ หลิวฉิงนั้นเข้าใจได้ว่าการที่เขากลับไปนั่งที่ของตนนั้นเทียบได้กับการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
เฉินเฉียงเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจแนวความคิดนี้ เมื่อเห็นว่าหลิวฉิงไม่ได้คิดด่าเขาที่ไปแย่งที่นั่งแถมยังเชื้อเชิญให้ไปนั่งอีก มีหรือที่เขาต้องคิดปฏิเสธอีกกัน และนี่ทำให้เขาไปนั่งที่นั่งของประธานผู้ทรงเกียรติอย่างไม่ลังเลแต่อย่างใด
และนี่ทำให้ทุกคนได้นั่งลงอีกครั้ง เฉินเฉียงได้จับจ้องไปรอบๆก่อนที่จะพูดออกมา “ในตอนนี้ผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์ ต่างก็มารวมกันอยู่ที่นี่แล้ว นายเหนือหัวผู้นี้ก็มีเรื่องประกาศให้ทุกคนได้รับรู้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนต่างก็เงี่ยหูฟังพร้อมกับปิดปากของตนให้เงียบกริบ
“ทุกคนในที่นี้ ข้าเชื่อว่าพวกท่านได้รับรู้เรื่องราวของสัตว์หายนะที่ออกอาละวาดไปทั่วทั้งโลกแล้วใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำว่าสัตว์หายนะ หลูเป็งที่นั่งอยู่ข้างๆหลินจิ้นก็ได้จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปยังเฉินเฉียงต่อ
ดูเหมือนว่าหยางตู๋จะได้บังคับให้หลินจิ้นสารภาพเรื่องราวของสัตว์หายนะให้หลูเป็งรับฟังเรียบร้อยแล้วเขาจึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทำเพียงกลับไปตั้งใจฟังเฉินเฉียงต่อเพียงเท่านั้น
เฉินเฉียงเองก็ได้พูดต่อ “ข้าจะไม่ปิดบังเรื่องนี้ต่อทุกคน ข้านั้นได้ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องสัตว์หายนะที่ปรากฏตัวทั่วทั้งโลกนี้แล้ว”
“แต่เดิม ทุกคนก็ควรจะรู้อยู่แล้วว่าฮุยตู๋ของข้านั้นไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสามเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด”
“แต่นั่นก็เพียงตอนที่โลกนี้เป็นไปตามแบบของมันเพียงเท่านั้น”
“กับหายนะที่เกี่ยวพันกับทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ฮุยตู๋ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นก่อนที่จะมองไปที่ทุกคนด้วยท่าทางอย่างเย็นชาและชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วพูดต่อ “เกี่ยวกับเรื่องที่สัตว์หายนะออกมาอาละวาดทั่วทั้งโลกนี้ มันเป็นฝีมือของมันผู้หนึ่ง”
“และมันผู้นี้คือคนที่ไม่ว่าใครในที่นี้ก็รู้จัก มันคือฮั่นจุยแห่งสภาสูงภาคกลาง”
“ฮั่นจุย…งั้นรึ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลิวฉิงตกใจจนต้องพูดทวนออกมา พร้อมกับความคิดมากมายที่แล่นในหัว ในที่สุดเขาก็ได้ยืนขึ้นแล้วถามออกมา “ท่านนายเหนือหัว เรื่องนี้เป็นความจริงงั้นรึ”
“น้องหลิวฉิง เรื่องนี้พวกเราได้สืบมาหมดแล้วด้วยตัวเอง ด้วยการตรวจสอบของนายเหนือหัวและพวกข้านั้นเจ้าคิดว่ามันน่าสงสัยงั้นรึ”
“เอ่ออออ เหอเหอเหอ พี่ฮู ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หลิวฉิงรีบโบกมือไปมาในทันทีแล้วพูดต่อ “ที่ข้าหมายถึงคือไอ้ขยะนี่มันประกาศออกมาว่าจะออกจากเผ่าพันธุ์ของข้าไปแล้วต่างหาก”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในวันที่ฮั่นจุยประกาศกร้าวว่าจะทรยศต่อเผ่าพันธุ์นี้ นายเหนือหัวและพี่ฮูเองก็อยู่ด้วย กับเรื่องนี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้”
“สิ่งที่ข้าจะบอกนั้นคือเรื่องราวที่ฮั่นจุยได้ก่อเอาไว้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกข้าแต่อย่างใด”
เฉินเฉียงได้ยื่นมือหนึ่งออกมาตบกลางอากาศเป็นสัญญาณว่าให้นั่งลงก่อนแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง โปรดใจเย็นลงก่อน”
“หลังจากฮั่นจุยได้ประกาศออกมาว่าทรยศต่อเผ่าพันธุ์ มันก็ได้ไปเข้าร่วมกับสมาคมมนุษย์กลายพันธุ์แทน”
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลินจิ้นสามารถยืนยันได้เรื่องนี้”
“อย่างไรก็ตาม ฮั่นจุยนั้น เมื่อได้ไปเข้าร่วมกับมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว มันผู้นั้นได้รับหน้าที่ในการพัฒนาแก่นแผ่นพลังงาน และด้วยเหตุนั้นทำให้บังเกิดสัตว์หายนะขึ้นได้ในวันนี้”
“เป็นเช่นนั้น” หลิวฉิงเมื่อได้ยินก็ถอดถอนลมหายใจของตนออกมา
ตราบใดที่เรื่องราวของฮั่นจุยที่ก่อไว้นั้น พวกเขาไม่ต้องเป็นไม้กันหมาให้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายยังไงก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
เมื่อได้เห็นท่าทางของหลิวฉิงเอง เฉินเฉียงก็ได้ทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างหน่ายจิต
หากพูดกันตามตรงแล้ว หากฮั่นจุยยังคงอยู่กับมนุษย์ เมื่อรับรู้ว่าฮั่นจุยได้ทำเรื่องแบบนี้ ฮั่นจุยสมควรจะถูกประหารในทันทีที่พบเจอเรื่องราว
อย่างไรก็ตาม ด้วยท่าทางของหลิวฉิงในตอนนี้ บ่งบอกออกมาว่าตัวเองจะไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาอย่างหน่ายจิตก่อนที่จะพูดต่อ “ฮั่นจุยนั้นยามที่ได้ทำงานอยู่ที่เขาห่านป่า มันได้ลอบทำการบางอย่างโดยที่พ่อของข้าเฉินเทียนเว่ย ได้สืบหาความจริงในเรื่องนี้”
“น่าเสียดายที่ฮั่นจุยมันรู้ตัวซะก่อน นี่จึงทำให้มันลอบทำร้ายพ่อของข้าอย่างหนักหน่วงเพื่อหวังว่าจะฆ่าเขาอย่างลับๆ”
“เป็นก่อนที่พ่อของข้าจะตกตาย เขาได้ให้ข้าแจ้งถึงสิ่งที่มันกระทำต่อฮุยตู๋”
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง พ่อของข้าเองก็เคยเป็นคนของกันหนัน อย่างน้อยๆชื่อของเขาก็ยังคงอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์”
“ในตอนนี้ ฮั่นจุยได้แหกทุกกฎเกณฑ์ ไม่เพียงทรยศต่อเผ่าพันธุ์ มันยังฆ่าพ่อของข้า แล้วยังสร้างสัตว์หายนะมาทำร้ายนักรบของทั้งสามเผ่าพันธุ์อีก”
“ดังนั้นแล้ว หลิวฉิง ในนามนายเหนือแห่งฮุยตู๋ ข้าขอให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ส่งผู้อาวุโสของตนไปสืบหาว่าฮั่นจุยมันอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้”
“แน่นอน เพียงแค่ท่านพูดออกมา สภาสูงของข้ายินดีที่จะส่งราชาจอมพลออกไปสืบหาตัวฮั่นจุย ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ตาม แล้วจะได้ฆ่ามันล้างแค้นแทนนายเหนือหัว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวฉิงนี้ เฉินเฉียงได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่ค่อยจะปลื้มสักเท่าไหร่ “ผ้าอาวุโสหลิวฉิง ท่านน่าจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ”
“นายเหนือหัวผู้นี้ไม่ต้องการให้ใครมาล้างแค้นแทนในการตายของพ่อของข้าแต่อย่างใด”
“สิ่งที่ข้าต้องการคือการให้ท่านนั้นสืบหาตัวฮั่นจุยเพียงเท่านั้น”
“ตราบใดที่พบร่องรอยของมัน พวกท่านเพียงติดต่อผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนผ่านกำไลสื่อสารเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องต่อจากนั้น นายเหนือหัวผู้นี้จะจัดการกำจัดสิ่งโสโครกของโลกใบนี้ไปเอง”
“ใช่ใช่ใช่ ชายแก่คนนี้เลอะเลือนยิ่งนัก นายเหนือหัวทำไปเพราะกังวลแต่สรรพสิ่งบนโลกนี้เท่านั้น ชายชราผู้นี้ย่อมยินดีให้ความร่วมมือท่านอย่างสุดความสามารถ”
เมื่อพูดจบ หลิวฉิงได้ส่งสัญญาณให้คนของตนทำการออกค้นหาฮั่นจุยในทันที
ถึงแม้ในฉากหน้าหลิวฉิงจะเห็นด้วยกับเงื่อนไขและทำตาม แต่เฉินเฉียงเข้าใจคนเช่นนี้ได้เป็นอย่างดีว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม หลิวฉิงจะไม่ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องและแตะต้องฮั่นจุยอย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง
อย่าว่าแต่หลิวฉิงเลย แม้แต่หลินจิ้นและหลูเป็งเองก็ควรจะมีความคิดเฉกเช่นเดียวกัน
และหากเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงไม่อาจจะได้พบเจอร่องรอยของฮั่นจุยเป็นแน่ และนี่จะยิ่งทำให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์สูญเสียในการต่อสู้กับสัตว์หายนะมากยิ่งขึ้น
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงได้นั่งลงอีกครั้ง ก่อนที่จะมองไปที่หลิวฉิงและคนอื่นๆแล้วพูดออกมา “ทุกท่าน นายเหนือหัวผู้นี้เชื่อว่าทุกท่านคงจะรับรู้อยู่แล้วว่านายเหนือหัวผู้นี้ได้เข้าไปในเขตแดนลับที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิมาแล้ว”
“และด้วยเรื่องนี้ จึงทำให้พวกท่านทั้งสามเผ่าพันธุ์คิดหาวิธีต่างๆนานาเพื่อให้ได้ความลับที่อยู่ในร่างของนายเหนือหัวผู้นี้ไป ใช่รึเปล่า”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลิวฉิง หลินจิ้นและหลูเป็งต่างใบหน้าแดงซ่านแสดงออกมาอย่างอับอายที่ถูกเจ้าตัวประเด็นออกมาพูดด้วยตนเอง
เฉินเฉียงนั้นไม่ได้แยแสกับเรื่องนี้และพูดต่อ “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นายเหนือหัวคนนี้จะบอกเล่าความลับที่แท้จริงของเขตแดนจักรพรรดิให้พวกเจ้าได้รับฟัง”
“นายเหนือหัว ที่ท่านพูดมาเป็นความจริงรึ”
ดวงตาของหลิวฉิงและผู้อาวุโสสูงสุดได้เบิกตาโพลงในทันทีเมื่อได้ยินและทำให้พวกเขาหันไปมองเฉินเฉียงในทันที
ฮูเตี๋ยนและหยางตู๋นั้นรีบเร่งมาอยู่ตรงหน้าเฉินเฉียงในทันที “นายเหนือหัว โปรดพิจารณาในเรื่องนี้อีกครั้ง”
เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามปราม “ผู้อาวุโสสูงสุด นายเหนือหัวผู้นี้ได้ตัดสินใจแล้วในเรื่องนี้ พวกท่านไม่ต้องพูดอะไรอีก”
“อีกอย่าง เขตแดนจักรพรรดินั่นว่ากันตามตรงแล้วไม่ใช่เรื่องลี้ลับแต่อย่างใด ต่อให้เรื่องในนั้นถูกเปิดเผยออกไปแล้วก็ทำอะไรกันไม่ได้อยู่ดี”
“ในอีกทางหนึ่ง หากทั้งสามเผ่าพันธุ์ล้มเลิกเรื่องนี้ไปโดยไม่ยอมบอกอะไรไปเลยแบบนี้ มันก็สู้ที่จะให้ข้าบอกเล่าออกไปตรงๆให้ได้รับรู้กันทั่ว จะได้ไม่ต้องมาทำเป็นวางท่าวางทางแล้วสูญเสียโอกาสในการกำจัดสิ่งโสโครกไปแบบนี้”
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ในความคิดเห็นของท่านนั้น เขตแดนจักรพรรดินั้นก่อตัวขึ้นมาได้ยังไง”
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงโยนคำถามนี้ให้เขาเป็นคนแรก หลิวฉิงก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมาอย่างที่สุด
เฉินเฉียงนั้นยังไงซะก็ยังเป็นมนุษย์ เขาก็ต้องย่อมให้เกียรติเขาอยู่ดี
“อ่ะแฮ่ม ชายชราคนนี้ได้ยินมาว่าเขตแดนจักรพรรดินั้นได้ก่อตัวขึ้นมาเมื่อสี่ร้อยปีก่อน ข้าได้ยินมาอีกว่าเป็นเขตแดนที่จักรพรรดิทั้งสามหลงเหลือเอาไว้หลังจากต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกัน”
“และหลังจากตกตายไปแล้ว จักรพรรดิทั้งสามก็ได้ส่งมอบเขตแดนที่ก่อตัวนี้ให้กับฮูเตี๋ยนเป็นผู้จัดการ”
“ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าฮุยตู๋นั้นเป็นองค์กรที่ทรงพลังเหนือทั้งสามเผ่าพันธุ์ จะดีกว่าหากให้พวกเขานั้นเป็นผู้จัดการในการเข้าไปสำรวจและเก็บเกี่ยวทรัพยากรแต่ละครั้ง และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงได้เข้าไปในนั้นได้ในทุกห้าปี”
“นอกจากนี้ ชายชราผู้นี้ยังได้ยินมาว่ายังมีความลับสุดยอดเกี่ยวกับการเป็นจักรพรรดิเหลือทิ้งไว้ที่นั่น”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลิวฉิงแล้ว เขาก็ได้จ้องมองไปที่เฉินเฉียงด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หลินจินและหลูเป็งต่างก็มองเฉินเฉียงด้วยสายตาแบบเดียวกัน
นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องการจากเขานั้นคือสิ่งใด
เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมผู้อาวุโสของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นไม่ลังเลที่จะใช้ทุกสิ่งในการจับตัวเขาให้ได้ นั่นก็เพื่อการได้รับมาซึ่งพลังของราชาจักรพรรดิ
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสสูงสุดหลินจิ้นและผู้อาวุโสสูงสุดหลูเป็งนั้นจะเข้าใจแบบเดียวกันเสียกระมัง”
เฉินเฉียงได้หันไปหาผู้อาวุโสสูงสุดของอีกสองเผ่าพันธุ์แล้วถามออกมา นี่ทำให้ทั้งสองต่างก็พยักหน้ารับในทันที
“เหอะ…เหอะ…เหอะ….” เฉินเฉียงหัวเราะออกมาอย่างหน่อยจิตก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเกรงว่าคงต้องทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามต้องผิดหวังแล้ว”
“นายเหนือหัวผู้นี้แม้จะได้เข้าไปในเขตแดนลับที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิมาก็จริง แต่สิ่งที่นายเหนือหัวผู้นี้ได้พบเจอนั้นไม่ใช่ไอ้ความลับสู่การเป็นจักรพรรดิอะไรนั่นอย่างที่พวกท่านได้หวังไว้”
“แล้วก็นะ ไอ้ข้อมูลเกี่ยวกับการคงอยู่ของเขตแดนจักรพรรดิที่ผู้อาวุโสหลิวฉิงพูดออกมานั้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่”
“ห้ะ จะเป็นไปได้ยังไงกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฉินเฉียง หลิวฉิงและผู้อาวุโสสูงสุดของอีกสองเผ่าพันธุ์ต่างก็ตกตะลึงในทันที และนี่ทำให้ทั้งสามต่างมองหน้ากันก่อนจะถามออกมา “หากสิ่งที่นายเหนือหัวพูดมานั้นเป็นความจริง แล้ว…การสู้รบของพวกเราสามเผ่าพันธุ์ที่เนิ่นนานมาหลายปีนี่มัน…เพื่อ….อะไรล่ะ”
“นายเหนือหัว ท่านจะบอกว่าเหล่าผู้อาวุโสที่ล่วงลับของพวกเรานั้น…. ต่างก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนนี้มาอย่างนั้นรึ….แถมยังเหมือนกันทั้งสามเผ่าพันธุ์อีก”
ก็ไม่แปลกที่ทั้งสามจะมีท่าทางโต้แย้งอย่างที่สุดแบบนี้
ยังไงซะ การต่อสู้ของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นเนิ่นนานมานับร้อยปี การที่อยู่ๆเฉินเฉียงได้พูดในสิ่งที่ขัดกับคำพูดที่สืบทอดต่อกันมาแบบนี้ ทำไมไม่บอกว่าความจริงแล้วทั้งสามไม่ได้เกลียดชังกันและกันแถมยังเป็นเพื่อนอันดีต่อกันไปเลยล่ะ
“ไอ๊หยา…….”
เฉินเฉียงถอดถอนลมหายใจออกมา “สิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน จากภาพเสมือนที่จักรพรรดิทั้งสามได้เหลือทิ้งไว้ให้นั้น ยามที่ทั้งสามบ่มเพาะไปจนถึงระดับราชาจอมพลขั้นสูงช่วงปลาย พวกเขาได้ทำลายเขตแดนหนึ่ง เพื่อจะไปยังเขตแดนอื่นหมายจะบรรลุขั้นการบ่มเพาะของตนเอง”
“เป็นตอนนี้ที่ผู้อาวุโสทั้งสามถูกคุกคามโดยสิ่งมีชีวิตจากเขตแดนอื่น และก่อนที่ท่านจะตกตาย ผู้อาวุโสทั้งสามได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายส่งโลกใบเล็กของตนกลับมา แล้วทำการหลอมรวมพวกมันให้เป็นเขตแดนจักรพรรดิตามที่พวกเราได้เห็นกันอย่างทุกวันนี้ และเหตุผลของการคงอยู่ของมันนั้นก็คือการปิดผนึกเขตแดนไม่ให้สัตว์ประหลาดภายนอกเข้ามารุกรานโลกของเรา”
เมื่อเฉินเฉียงได้หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุด เขาก็ได้เห็นหลิวฉิง หลินจิ้น และหลูเป็งจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง
อะไรที่เฉินเฉียงพูดออกมาแล้วต้องตกตะลึงอย่างนั้นเหรอ
เขตแดนอื่นงั้นรึ
สัตว์ต่างเขตแดนงั้นรึ
เรื่องบ้าบอห่าเหวอะไรกัน
ในตอนนี้ทั้งสามเชื่อว่าสิ่งที่เฉินเฉียงพูดออกมานั้นเพียงเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเผ่าพันธุ์ทั้งสามนั้นแต่เดิมไม่ได้ตั้งแง่ต่อกันเฉกเช่นในทุกวันนี้เพียงเท่านั้น
และหากว่าเจ้าสัตว์ประหลาดต่างเขตแดนอะไรนั่นมีอยู่จริงล่ะก็ ด้วยระดับการบ่มเพาะของราชาจักรพรรดิทั้งสามแล้วจะทำให้พวกเขาไม่อาจกลับที่โลกใบนี้ได้เลยรึไงกัน
เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสามผู้อาวุโสสูงสุด เป็นอีกครั้งที่เฉินเฉียงต้องส่ายหน้าไปมาอย่างหน่ายอุรา
แน่นอนว่ากับเรื่องที่เหนือล้ำแบบนี้ เพียงแค่ปากเปล่าคงจะยากที่จะเชื่อตาม
หากว่าเขาไม่แสดงหลักฐานออกมา ตาเฒ่าผู้ยึดติดขนบทั้งสามนี้คงไม่อาจเชื่อเขาได้เพียงด้วยการพูดจาปากคำออกมา