ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 316 ตัวอย่าง
บทที่ 316 ตัวอย่าง
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงจึงได้นำกระดูกสีดำออกมาจากแหวนเก็บของของตน ก่อนที่จะส่งต่อให้หลิวฉิง
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ลองนำสิ่งนี้ไปพิจารณาดูว่ามันคืออะไร”
หลิวฉิงรับกระดูกสีดำมาจากเฉินเฉียงและสองมันดูไปมา ก่อนจะส่ายหัวแล้วส่งให้กับหลูเป็ง
นั่นก็เพราะเท่าที่เขาดูมันเหมือนจะเป็นกระดูกของสัตว์มากกว่ามนุษย์
หลูเป็งเมื่อรับมาจ้องมองสักพักก็ได้ส่ายหัวไปมา “นายเหนือหัว สิ่งนี้แน่นอนว่ามันไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่มันก็ไม่ใช่กระดูกมนุษย์เช่นเดียวกัน เจ้าสิ่งนี้…..นายเหนือหัว ไปได้สิ่งนี้มาจากไหน”
เมื่อสิ้นคำถามของหลูเป็ง หลินจิ้นและหลิวฉิงเองต่างก็มองไปที่เฉินเฉียง
“นายเหนือหัวผู้นี้นำมันออกมาจากเขตแดนลับที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิ”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือข้ามั่นใจว่าเจ้าของกระดูกนี้สมควรจะเป็นต้นเหตุทำให้ราชาจักรพรรดิทั้งสามต้องบาดเจ็บสาหัส”
“เป็นไปได้ยังไงกัน” หลินจิ้นได้คว้ากระดูกสีดำท่อนนี้มาส่องดูสักพักก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่แยแส “กระดูกนี้มันก็ดูมีอายุสี่ร้อยไม่ก็ห้าร้อยปีก็จริง แต่เพียงกระดูก นายเหนือหัวก็มั่นใจว่ามันเป็นของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนได้แล้วหรือ นี่มันจะไม่กล่าวเลื่อนลอยไปหน่อยเหรอ”
หลิวฉิงก็ได้กล่าวเสริม “ต่อให้นายเหนือหัวกล่าวถูกต้องว่ามันคือสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดน แต่ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะทรงพลังได้สักเท่าไหร่”
“ก็อีกล่ะนะ แม้ว่าท่านจะบอกว่าไอ้เจ้าของกระดูกดำนี่มันจะยากที่จะต่อกร แต่กับพวกเราผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ในระดับราชาจอมพล ผลลัพธ์ก็คงจะต่างกันอยู่กระมัง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฮูเตี๋ยนก็รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นแทนเฉินเฉียงทันที “หลิวฉิง นี่เจ้าสงสัยในคำกล่าวของนายเหนือหัวของข้างั้นรึ”
“พี่ฮู ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเพียงแค่รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าทำไมนายเหนือหัวถึงคิดว่าด้วยระดับของพวกเราแล้วยังยากที่จะต่อกรกับเจ้าของกระดูกสีดำนี่ต่างหาก นี่จึงทำให้พวกเราอยากให้นายเหนือหัวอธิบายเพิ่มเติม”
“ไม่เอาน่า” เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามปรามฮูเตี๋ยน “ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ความหมายของท่านก็คืออยากเห็นว่าเจ้าของกระดูกสีดำชิ้นนี้จะทรงพลังขนาดไหนสินะ”
“ไม่มีปัญหา นายเหนือหัวผู้นี้สามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในข้อนี้”
“แต่ก่อนอื่น นายเหนือหัวผู้นี้คงต้องขอให้ท่านส่งใครสักคนไปจับสัตว์เล็กๆมาให้สักตัวล่ะนะ จะได้แสดงให้ท่านได้ประจักษ์ได้”
หลิวฉิงเมื่อได้ยินก็รีบออกคำสั่งในทันที “ฉิงเชิน เจ้าไปในสวนแล้วจับกระต่ายมาสักตัวซิ”
ในตอนนี้นอกจากเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงเว่ยฉิงเชินและเว่ยหยวนตี้เพียงเท่านั้น นี่จึงทำให้หลิวฉิงออกคำสั่งให้กับฉิงเชินไป
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉิงเชินก็ได้เดินออกไปนอกหอประชุม
ในขณะเดียวกัน เฉินเฉียงก็ลอบนำแก่นวิญญาณออกมาจากแหวนและเปลี่ยนพวกมันเป็นค่าพลังงานก่อนส่งค่าพลังงานเหล่านั้นไปยกระดับทักษะห้านิ้วพิศวง
แต่เดิม เชินเทียนเว่ยนั้นได้ฝึกทักษะนี้จนอยู่ในระดับห้า แต่ในตอนนี้ เฉินเฉียงได้ใช้ค่าพลังงานยกระดับมันให้อยู่ในระดับแปดไปเรียบร้อยแล้ว
และนี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกได้ว่าทักษะห้านิ้วพิศวงในตอนนี้เข้าสู่ระดับสูงสุด
หากเทียบเคียงตามระดับทักษะของมนุษย์แล้ว ในตอนนี้ทักษะห้านิ้วพิศวงของเขาก็สมควรจะอยู่ในระดับสมบูรณ์ได้แล้วกระมัง
ในตอนแรกที่เขาได้รับพลังนี้หลังจากดูดซับมาจากซากร่างของเฉินเทียนเว่ยนั้น เขารู้สึกมาต้องแต่ต้นว่าเขาสามารถใช้ทักษะนี้ในการขับบอลเลือดปีศาจของเขาออกไปจากร่างได้ทั้งหมด
และเมื่อยกระดับมันเป็นระดับแปด เขาก็ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม
ไม่นาน ฉิงเชินก็ได้อุ้มกระต่ายน้อยมาในอ้อมแขนและวางมันลงกับพื้น
เฉินเฉียงได้ชี้นิ้วไปที่กระต่ายน้อยตัวนี้แล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง จงดูให้ดี”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ขับเคลื่อนพลังภายในร่าง ผลักดันให้บอลเลือดปีศาจในร่างทะลุผ่านออกมาที่ปลายนิ้ว
“ย่ะ”
เมื่อเฉินเฉียงส่งเสียงร้องออกมา บอลเลือดปีศาจสายหนึ่งได้ถูกยิงออกไปจากนิ้วมือขวาของเขาพุ่งตรงไปยังเจ้ากระต่ายตัวน้อย และซึมลึกเข้าไปในร่าง
เจ้ากระต่ายน้อยตัวนี้แม้จะยังมีชีวิตแต่มันกลับดิ้นทุรนทุราย ไม่นาน เลือดของมันก็ถูกสูบไปจนหมดสิ้น และเพียงชั่วพริบตา มันก็กลายเป็นซากศพที่แห้งกรังไป
“นายเหนือหัว นี่มันทักษะอะไรกัน ทำไมมันดูคล้ายกับทักษะของราชาสวรรค์นัก……..ห้านิ้วพิศวงงั้นรึ”
“อย่างไรก็ตาม ทำไมมันถึงได้ดูทรงพลังมากกว่าของราชาสวรรค์มากมายนัก”
หลินจิ้นได้ถามออกมาในทันทีก่อนที่จะไปอยู่ข้างๆกระต่ายน้อยตัวนี้หมายจะหยิบมาตรวจสอบ
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลินจิ้น อย่าเข้าไปใกล้มัน”
เฉินเฉียงรีบปรากฏตัวขวางหน้าหลินจิ้นไว้ในทันที ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างหนักแน่น “เจ้ากระต่ายตัวนี้ถูกฆ่าตายโดยพลังของเจ้ากระดูกสีดำนั่น และร่างที่ตายเพราะมันจะกลายเป็นแหล่งของพิษร้าย ใครก็ตามที่แตะมันจะต้องตกเป็นเหยื่อรายต่อไป”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลิวฉิงก็อดที่จะทดสอบไม่ได้ “ฉิงเชิน ไปนำมาอีกตัว”
ไม่นาน เว่ยฉิงเชินก็ได้นำกระต่ายมาอีกตัวในอ้อมแขน
หลิวฉิงจึงรีบใช้พลังจิตของตนผลักเจ้ากระต่ายตัวนี้ให้ไปแตะต้องศพของพวกเดียวกับมัน
ในทันทีที่เห็นสภาพของกระต่ายตัวที่สองนี้ หลิวฉิง หลินจิ้น และหลูเป็งถึงกับหน้าซีดเผือดและลนลาน
เป็นอย่างที่เฉินเฉียงว่าไว้ กระต่ายตัวที่สองเพียงแค่แตะซากร่างของกระต่ายตัวแรกไปแล้วก็ได้เปลี่ยนเป็นมัมมี่ตามกันไปเพียงชั่วพริบตา มันราวกับการติดต่อกันของโรคระบาดเลยก็ว่าได้
“อะ อะ อะ อะไรวะนั่น มันคือห่าเหวนรกแตกอะไรกัน”
เมื่อเห็นกระต่ายตัวที่สองอยู่ๆก็ตายเพียงแค่แตะร่างกระต่ายตัวแรก หลินจิ้นถึงกับขนลุกขนพองในทันใด
หากเฉินเฉียงไม่ได้ยับยั้งเขาเอาไว้ เขาเองก็คงจะต้องตกอยู่ในสภาพของกระต่ายตัวที่สองนี่ไปแล้ว
บนโลกนี้มีวิชายุทธมากมายของทั้งสามเผ่าพันธุ์ แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นวิชาแบบนี้มาก่อน
ห้านิ้วพิศวงที่เฉินเฉียงใช้ก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงการบังคับให้เลือดสีดำที่พวกเขาเห็นออกมาจากร่างแล้วลอยไปหากระต่ายเพียงเท่านั้น นี่หมายความว่าร่างเขาเองก็ควรจะมีเจ้าเลือดสีดำนี่อยู่อีกไม่ใช่เหรอ
และด้วยการใช้วิธีการที่ผนวกรวมกันนี้ก่อให้เกิดการโจมตีที่ทรงพลังอย่างไม่อาจหาใครเปรียบได้
เฉินเฉียงตั้งมั่นไว้ว่ายามที่เขาได้เจอฮั่นจุย ในครั้งนี้เขาจะใช้วิธีการนี้ในการโจมตีมันให้รับรู้ถึงความเจ็บปวด
เฉินเฉียงเดินไปที่ซากร่างของกระต่ายทั้งสอง ก่อนที่จะโค้งตัวลงไปแล้วใช้ดาบดั้นเมฆตัดซากร่างของกระต่ายทั้งสองให้ตกตายไปอย่างไม่ทรมานอีก
และการกระทำของเฉินเฉียงนี้ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง นั่นก็เพราะ หลังจากเขาฆ่ากระต่ายสองตัวนี้ให้ตกตาย เขาก็ได้หิ้วพวกมันมาวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าทุกคน
ไม่ใช่เขาบอกออกมาเองว่าหากแตะร่างของมันจะติดเชื้อและตกตายตามไปไม่ใช่เหรอ
เมื่อเห็นการกระทำของเฉินเฉียงที่ไม่แยแสแล้ว ฉิงเชินที่อยู่หน้าทางเข้าเองก็มีท่าทีที่ตื่นตระหนกในทันที “พี่ใหญ่เฉินเฉีย…ระวังด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินเฉียงก็มองไปที่ฉิงเชินด้วยสายตาที่ปิติยินดีก่อนที่จะพูดออกมา “อย่าได้กังวลไป ตัวข้าต่อต้านบอลเลือดปีศาจพวกนี้”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้หิ้วซากร่างของกระต่ายทั้งสองแสดงต่อหน้าทุกคนให้เห็นใกล้ๆ
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง จงดู”
ท่ามกลางการชี้นำของมือของเฉินเฉียงในตอนนี้ บอลเลือดปีศาจได้เคลื่อนที่อยู่ในเลือดและเนื้อของซากกระต่ายในรอยแผล ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตนับล้านๆอยู่ข้างใน
และภายใต้การเคลื่อนไหวอันยุบยับของบอลเลือดปีศาจนี้ เลือดและเนื้อของกระต่ายสีขาวทั้งสองค่อยๆหดหายไป ส่วนสีดำที่เป็นเลือดปีศาจนั้นก็ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันดูทั้งน่าขยะแขยงและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน
หลังจากให้ทุกคนได้เห็นประจักษ์ในสายตาแล้ว เฉินเฉียงก็ได้เปิดโลกใบเล็กของตนแล้วให้หยานเสวี่ยออกมา
“หยานเสวี่ย เมิ่งน้อยอยู่ไหนล่ะ ให้เมิ่งน้อยออกมาหน่อยสิ”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับก่อนที่จะเปิดโลกใบเล็กของตนออกมา
แม้จะผ่านไปสามปีแล้ว ร่างกายของเมิ่งน้อยนั้นแม้จะเติบโตเพียงน้อยนิด แต่ทักษะของมันนั้นกลับมากล้น
เฉินเฉียงยิ้มร่าในทันทีเมื่อมีเมิ่งน้อยมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา “เมิ่งน้อยเด็กดี เจ้าเห็นซากร่างของกระต่ายที่พื้นนั่นรึเปล่า”
เมื่อได้ยินแล้วนั้น เมิ่งน้อยก็รีบกระโดดลงไปที่พื้นแล้ววิ่งไปหาร่างกระต่ายทั้งสองในทันที เฉินเฉียงตกใจจนต้องรีบตะโกนออกมาอย่างเสียอาการ “เมิ่งน้อย อย่าแตะมันนะ อย่าแตะมัน”
เมื่อเมิ่งน้อยได้ยินและเห็นท่าทางและคำพูดของเฉินเฉียงแล้ว มันก็หยุดที่จะเข้าไปหาซากกระต่ายแล้วจ้องมองเฉินเฉียงอย่างสงสัย
เฉินเฉียงได้เดินไปคว้าร่างของเมิ่งน้อยมาไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดออกมา “เมิ่งน้อย เจ้ากระต่ายสองตัวนั่นถูกฆ่าตายโดยสิ่งที่เรียกว่าบอลเลือดปีศาจ หากเจ้าไปจับมัน เจ้าก็จะซี้แหงแก๋แห้งเหี่ยวตายไปเฉกเช่นเจ้าสองตัวนั้นแล”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เมิ่งน้อยที่ในตอนแรกแสดงสีหน้าที่ออกจะทะเล้นก็ซีดเผือดในทันใด ก่อนที่จะโวยวายและตีแขนของเฉินเฉียงราวกับไม่รู้เหนื่อย
“ฮี่ฮี่ฮี่ โอ๋ๆน่า ไม่ต้องกลัวไปหรอก เมิ่งน้อย เมื่อเจ้าไม่ได้แตะมันไปก็จะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
“เอาล่ะเมิ่งน้อย เจ้าพ่นไฟได้ใช่ไหมล่ะ”
“ช่วยพ่นไฟของเจ้าไปเผาซากพวกมันหน่อยสิ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว เมิ่งน้อยได้บุ้ยปากของตนก่อนที่จะเป่าไปที่ซากร่างของกระต่ายทั้งสองในทันที
หลังจากถูกไฟพ่นไปอยู่ไม่นานนัก ซากร่างของกระต่ายทั้งสองก็กลายเป็นกองขี้เถ้าไป
หลังจากนั้น เมิ่งน้อยก็ได้ไต่ไปยังหัวของเฉินเฉียงก่อนที่จะกระโดดโลดเต้นไปมา
หยานเสวี่ยที่เห็นก็รีบนำแก่นวิญญาณออกมาในทันใด
เมื่อเมิ่งน้อยได้เห็นแบบนี้ มันก็รีบกระโจนไปอยู่บนหน้าอกของหยานเสวี่ย ก่อนที่จะฉวยแก่นวิญญาณในมือของเธอมา ท่ามกลางการจ้องมองของทุกคนนี้ เมิ่งน้อยได้เคี้ยวกินแก่นวิญญาณเข้าไปจนดังกรุบกรอบอย่างไม่แยแส
หลังจากที่ให้หยานเสวี่ยและเมิ่งน้อยกลับเข้าไปในโลกใบเล็กของตนแล้ว เฉินเฉียงก็กลับไปนั่งที่นั่งของตน
ในระหว่างการแสดงพลังของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนนี้ ฮูเตี๋ยน หลิวฉิง หลินจิ้น และหลูเป็งต่างก็เงียบงัน
แม้จะเสร็จสิ้นไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่ตื่นจากภวังค์การตกตะลึง
หลังจากผ่านไปอีกพักใหญ่ หลิวฉิงก็ได้เปิดปากพูดออกมาเป็นคนแรก “นายเหนือหัว เจ้าสิ่งที่ถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนนี้มันยังคงอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิรีเปล่า”
เหตุผลที่ถามนี้เป็นเพราะกระดูกสีดำที่เฉินเฉียงหยิบออกมาก่อนหน้านี้
แล้วถ้าหากว่าบอลเลือดปีศาจนี่เป็นของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนจริง แล้วเฉินเฉียงทำไมถึงมีมันล่ะ
เป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนที่ว่าได้เข้ามายังโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว
หากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ หลังจากได้เห็นการยกตัวอย่างของเฉินเฉียงนี้ พวกเขาแม้จะเป็นเหล่าผู้อาวุโสสูงก็ยังไม่มั่นใจว่าจะรับมือมันได้
ถึงแม้ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นจะมีผู้ฝึกตนบนเส้นทางแห่งไฟอยู่ แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถพ่นไฟได้ทรงพลังเฉกเช่นเมิ่งน้อยเมื่อครู่
เฉินเฉียงเองในตอนนี้ค่อนข้างจะพอใจเมื่อได้เห็นท่าทางของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ฝักฝ่าย และนี่ทำให้เขาค่อนข้างพึงพอใจจนพยักหน้าออกมา
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง กล่าวตามตรง เลือดปีศาจที่ท่านได้เห็นไปเมื่อครู่เป็นเพียงการโจมตีที่ทรงพลังหนึ่งของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนเพียงเท่านั้น”
“ย้อนกลับไปในตอนนั้น ราชาจักรพรรดิทั้งสามเองก็ต้องตกตายไปด้วยสิ่งนี้”
“พวกท่านเห็นแล้วรึยังว่ามันน่าสะพรึงขนาดไหน”
“ขนาดราชาจักรพรรดิทั้งสามยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เมื่อถูกโจมตีโดยบอลเลือดปีศาจนี่ ดังนั้นข้าเชื่อว่าทุกท่านคงจะได้รับรู้แล้วว่าหากเจ้าสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนในบุกรุกเข้ามาในโลกของพวกเราจริงล่ะก็ อย่าว่าแต่ท่านทั้งสามเลย ข้าเกรงว่าชีวิตของทั่วทั้งโลกจะไม่อาจหลุดรอดจากภัยอันตรายนี้ได้สักตนเดียว”
ในตอนนี้ ทุกคนต่างก็เข้าใจในสิ่งที่เฉินเฉียงกำลังจะสื่อในทันที
หากว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริง มันต้องเลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่เฉินเฉียงพูดออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“นายเหนือหัว ข้าแปลกใจยิ่งนักว่าบอลเลือดปีศาจในร่างนั่นท่านได้รับมาได้ยังไง”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชายชราผู้นี้เห็นว่านายเหนือหัวไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเลือดปีศาจนี้แม้แต่น้อย”
“ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิงกล่าวได้ถูกต้อง นายเหนือหัวผู้นี้ไม่ได้เกรงกลัวพวกมันแต่อย่างใด ถ้าจะให้พูดให้ถูกการคงอยู่ของนายเหนือหัวผู้นี้เป็นสิ่งที่พวกมันต้องหวาดกลัว”
“แต่ข้าเองก็บอกได้เพียงว่าทั่วทั้งโลกหล้านี้ก็คงจะมีข้าเพียงคนเดียวกระมังที่สามารถทำได้”
“นั่นก็เพราะนายเหนือหัวผู้นี้มีสายเลือดที่หาได้ยากยิ่ง มันเป็นสายเลือดที่ผสมปนเปกันทุกสายเลือดไม่ว่าจะเป็น โลหะ พงไพร วารี อัคคี ปฐพี พิษ อัสนี และวายุ”
“และอย่างที่พวกท่านรู้กันดีว่าสายเลือดนี้จะเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จึงไม่อาจจะสร้างสรรค์พวกมันได้เองแต่อย่างใด”
“นอกจากนี้ ข้าเองก็ยังไม่มีวิธีการอื่นในการต่อต้านวิธีการของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนพวกนี้นอกจากพึ่งสายเลือดของข้าเองได้เพียงเท่านั้น”
“แล้วก็อย่างที่ข้าบอกท่านไปแต่เริ่มเล่าเรื่อง ความจริงแล้วไอ้พวกนี้นั่นเข้ามาสู่โลกของเรามาแล้ว”
“ห้ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลิวฉิงและคนอื่นๆเบิกตาโพลงเพราะตกตะลึงในทันใด
คำพูดของเฉินเฉียงนี้มันน่าตกตะลึงมากเสียกว่าความลับของภายในเขตแดนจักรพรรดิที่เล่ามาก่อนหน้านี้เสียอีก
สิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนได้ล่วงล้ำเข้ามาแล้วเหรอ
และฟังจากน้ำเสียงของเฉินเฉียงแล้ว ไม่เพียงมันจะลุกลาน แต่เขาได้เห็นมาแล้ว
หากว่านั่นเป็นความจริงล่ะก็ แล้วพวกเขาควรจะทำยังไงกัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะทำอะไรมันได้
ป้องกันเหรอ
เท่าที่เฉินเฉียงแสดงให้ดูแล้ว การโจมตีของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนที่ทำให้ผู้สัมผัสมันแห้งตายในทันที จะให้พวกเขาไปทำอะไรกับมันได้กัน
ยอมแพ้ล่ะ
หากพวกเขายอมแพ้ พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าพวกมันจะรับรู้ในการยอมแพ้ของพวกเขารึเปล่าเลยด้วยซ้ำ หรือต่อให้ต้องยอมแพ้ เขาก็ไม่รู้ว่าต้องไปขอยอมแพ้กับใคร
ขนาดราชาจักรพรรดิทั้งสามยังต้องตกตายในน้ำมือของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เลยนะ
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป ผู้คนในห้องต่างก้มหน้านิ่งและคิดไปต่างๆนานา พลางส่ายหน้าไปมาราวกับปฏิเสธความเป็นไปได้ทั้งหมดที่คิดออก
เมื่อเฆ็นฉากนี้ เฉินเฉียงจึงได้เอ่ยปากออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดหลิวฉิง ข้าเชื่อว่าท่านคงได้ยินและรู้จักสิ่งที่เรียกว่ายาโลกาหวนคืนอยู่ใช่รึเปล่า”
หลิวฉิงที่และคนอื่นๆเมื่อได้ยินก็พยักหน้ารับ
ไม่นานก่อนหน้านี้บนเขาโชวหยางแห่งนี้ เฉินเฉียงได้นำเม็ดยาโลกาหวนคืนมาให้เว่ยหยวนตี้
เฉินเฉียงจึงคิดจะเล่าเรื่องราวในตอนนั้นให้ทุกคนได้รับฟัง
ถึงแม้ในตอนนั้น เฉินเทียนเว่ยจะเป็นผู้หลอมเม็ดยานี้ให้กับเขาและทำให้เขาเหลือติดตัวไว้หนึ่งเม็ดก็ตาม
“ทุกคนคงจะรู้ดีว่าในการปรุงยาโลกาหวนคืนนั้น ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือดอกไม้ร้อยสีสันที่มีเพียงที่ก้นสมุทรของมหาสมุทรมังกรซ่อน”
“เมื่อหนึ่งปีก่อน เพื่อที่จะให้ได้รับยานั่นมาและเอาไปให้เว่ยหยวนตี้ นายเหนือหัวผู้นี้ได้ไปที่นั่นเพื่อรวบรวมดอกไม้ร้อยสีสันนั่น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินเฉียงได้เหลือบมองไปที่เว่ยหยวนตี้ที่อยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า
เมื่อเว่ยหยวนตี้เห็นแบบนี้แล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะกระด้างกระเดื่องใส่เฉินเฉียงแต่อย่างใด
แม้กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์อย่างหลิวฉิงก็ยังก้มหัวให้กับเฉินเฉียง แล้วจะมีสิ่งใดที่เขาทำได้อีกกัน
ถึงแม้ว่าเขาเองจะถูกเฉินเฉียงทำลายการบ่มเพาะไปแล้วก็ตาม แต่ความเกลียดชังของเฉินเฉียงเองที่มีต่อเขานั้นก็น่าจะหยุดลงแค่ตรงนั้น น่าจะเป็นเช่นนั้นนะ
“นายเหนือหัวผู้นี้เชื่อว่าทุกคนคงได้ยินมาบ้างว่าที่ก้นสมุทรแห่งนั้นมีภัยอันตรายอย่างที่สุด ถูกต้องหรือไม่”
“มันอันตรายจนถึงขนาดที่ว่ามีคำกล่าวว่า ผู้ที่ไปยังก้นสมุทรแห่งมหาสมุทรมังกรคลั่ง รอดหนึ่งตกตายเก้า”
“เหตุผลที่มันถูกกล่าวว่ามีภัยอันตรายอย่างที่สุดนั้นเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกับหนวดของปลาหมึก เจ้าสิ่งนี้ ข้าผู้นี้ขอเรียกมันว่าไอ้ตัวหนวด”
“และข้าผู้นี้เองบอกได้เลยว่าที่ก้นสมุทรแห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายอย่างที่สุด เป็นเพราะมีไอ้ตัวหนวดนี่อยู่อย่างยั้วเยี้ยะ”
ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ตัวหนวดที่ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตจากต่างเขตแดน
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หลิวฉิง หลินจิ้น และหลูเป็งต่างก็แสดงท่าทีตกตะลึงออกมา เฉินเฉียงเองเมื่อได้เห็นท่าทางของทุกคนแล้ว เขาก็ได้ยกมือขึ้นห้ามปรามอาการตกใจของทุกคนแล้วพูดออกมา “ทุกท่านโปรดวางใจ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อาวุโสสูงสุดของฮูเตี๋ยนได้นำคนไปกวาดล้างไอ้ตัวหนวดนี้ที่อาศัยอยู่ที่ก้นสมุทรนั่นเรียบร้อยแล้ว”
“ดังนั้น ทุกท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับไอ้ตัวหนวดนี่ที่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป”