ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 319 คาดการณ์
บทที่ 319 คาดการณ์
ด้วยการที่ยังไม่สามารถหาคำตอบเรื่องนี้ได้ในตอนนี้ เฉินเฉียงจึงเลือกที่จะคลายกังวลไปชั่วคราว เขาหันไปหาจางหยวนและคนอื่นๆพลางปล่อยกระแสจิตของตนไปตรวจสอบ
และนี่ทำให้เขาได้รับรู้ในสิ่งที่น่ายินดียิ่ง นั่นก็เพราะหยานเสวี่ยและเจิ้งยี่ได้เขาสู่ระดับเทียบเท่าราชาขุนพลเรียบร้อยแล้ว
จางหยวน หนี่เฟิง และกัวเหลียง ตอนนี้ทั้งสามอยู่ในระดับกึ่งราชา
หลิวซวนเอ๋อ หลางซานเอ๋อ ทั้งสองพึ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งราชา
เหรินหมิง ม่อโชว หลิวไฮ่ ทั้งสามเปิดจุดลมปราณได้สามสิบหกจุดและเตรียมเข้าสู่ระดับกึ่งราชา
ส่วนหลู่จี้ เม่ยหลัวหลัน และหวังต้าลู่ ยังคงเชื่องช้าในการบ่มเพาะเฉกเช่นดังเดิม แต่ทั้งสามก็ยังบ่มเพาะอย่างหนักจนในตอนนี้เปิดจุดลมปราณถึงสามสิบเอ็ดจุดได้แล้ว
เฉินเฉียงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ “พี่ชายทั้งหลาย อีกเพียงเดือนเดียวพวกเราก็จะเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิกันแล้ว”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่ต่างเขตแดนนั่นมีสภาพเป็นเช่นใด แต่ก็ขอให้ตั้งเป้าไว้ก่อนว่ามันเป็นพื้นที่ที่มีอันตรายอย่างที่สุด”
“และด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเราไม่อาจที่จะลดการระวังลงได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราอาจจะพลั้งพลาดได้เช่นเดียวกับราชาจักรพรรดิทั้งสามและติดอยู่ในต่างเขตแดนตลอดกาล”
“หากมีคนใดที่ต้องการอยู่ที่นี่ ขอให้บอกข้ามาได้เลย”
“กัปตัน ไม่ต้องมาพยายามเกลี้ยกล่อมเลยน่า พวกเราพี่น้องต่างก็ลั่นสาบานกันแล้วว่าหากมีสุขจะร่วมเสพ มีทุกข์จะร่วมต้าน”
“ตราบใดที่เราอยู่ด้วยกัน ต่อให้ติดอยู่ต่างเขตแดนแล้วยังไงล่ะ”
“ถูกต้อง กัปตัน ท่านไปไหน พี่ชายเหล่านี้จะไปด้วย”
“เฉินเฉียง อย่าได้คิดทิ้งข้าไว้เป็นอันขาด ก่อนพ่อบุญธรรมได้ตกตาย ท่านสั่งไว้ให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี”
เฉินเฉียงยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกพ้องของตนพูดไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่ต้องมีอะไรให้พูดคุยกันอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้กับคนในกองกำลังของเขาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผันผ่าน
ส่วนหยานเสวี่ยนั้น ด้วยการที่เธอนั้นไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าแล้ว เฉินเฉียงเองก็ไม่กล้าจะมองหน้าเธอตรงๆมากนัก
แต่ถึงแม้จะไม่เห็นสีหน้า แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอต้องพูดออกมาแบบนี้
ยิ่งไปกว่าที่เฉินเทียนเว่ยได้สั่งเสียไว้ให้เธอดูแลเขา หากเธอไม่อยู่กับเฉินเฉียง เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหนได้
“เหอ เหอ เหอ เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนตัดสินใจแล้ว ข้าเองก็คงจะไม่พูดพร่ำอะไรอีก”
“แต่ในเมื่อพวกเรายังไม่รู้ว่าต้องพบเจอสิ่งใดที่ต่างเขตแดน ในเมื่อยังมีเวลาอีกเดือนนึง ข้าก็คงต้องขอให้ทุกคนพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้และทำการบ่มเพาะให้ดีที่สุด ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปที่นั่นข้าก็หวังว่าทุกคนจะยกระดับการบ่มเพาะได้อีก”
เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นด้วยกับความคิดเขา เฉินเฉียงก็วาดมือก่อนจะส่งทุกคนกลับเข้าไปในโลกใบเล็กของตน
“ดูเหมือนว่านายเหนือหัวมีเรื่องที่ต้องการจะพูดกับข้าสินะ”
เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงแล้ว ฮูเตี๋ยนก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงได้ยิ้มพลางถามออกไป
เฉินเฉียงเองก็พยักหน้ารับก่อนที่จะจ้องมองไปยังฮูเตี๋ยนอย่างจริงจังแล้วถามออกมา
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านอยู่ในระดับราชาจอมพลมาเท่าไหร่แล้วกัน”
“ฮื้ม” ฮูเตี๋ยนมองเฉินเฉียงอย่างจับจ้องไปปราดหนึ่งพร้อมใจที่สงสัยในคำถามของเฉินเฉียง
แต่ไม่นอน เขาก็ได้ก้มหน้าและทอดถอนลมหายใจแล้วพูดออกมา “นายเหนือหัว ข้าก็จะบอกท่านตามตรงเลยแล้วกัน ข้าอยู่ในระดับการบ่มเพาะนี้มาตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว”
“ส่วนระดับราชาจักรพรรดินั้น ไอ้แก่คนนี้รู้ดีว่าคงจะไม่มีหวังอีกต่อไป และข้าเองก็ไม่คิดจะไขว่คว้าให้มันเหนื่อยหน่ายหัวใจอีก”
“ยังไงซะ ตาแก่คนนี้ก็มีชีวิตได้อีกเพียงร้อยแปดสิบกว่าปีเพียงเท่านั้น อายุขัยของข้าก็จะหมดลง”
เมื่อได้เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของฮูเตี๋ยนแล้ว เฉินเฉียงย่อมไม่อาจที่จะทนอยู่ได้
ในฐานะที่เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของฮุยตู๋ ถึงแม้ว่าเขาจะทำทุกอย่างเพียงเพราะหน้าที่ และนี่ก็ทำให้เฉินเฉียงไม่ชอบเขาอย่างที่สุดเมื่อรู้จักกัน
นั่นก็เพราะสำหรับเขาแล้ว คนเช่นนี้เป็นผู้ที่มีความคิดที่เป็นพิษอย่างร้ายแรง และนำเภทภัยไปสู่ทุกข์สิ่งที่ข้องเกี่ยว
เฉกเช่นในตอนที่เขาโชวหยาง หากฮูเตี๋ยนมองการณ์ไกลสักนิด และคิดลงมือกำจัดฮั่นจุยในตอนนั้น พ่อของเขาก็คงไม่ตกตาย แม้แต่ภัยต่อโลกใบนี้จากสัตว์หายนะก็คงไม่ปรากฏ
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขานั้นต้องออกไปจากโลกนี้เพื่อจัดการภัยคุกคามจากต่างเขตแดน ฮุยตู๋ย่อมไม่มีทางที่จะขาดผู้นำอย่างเช่นฮูเตี๋ยนได้ นี่จึงทำให้เฉินเฉียงคิดจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขาในบางสิ่ง
และนี่ทำให้เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยท่าทางที่หนักแน่น “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ถึงแม้ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ว่าไม่มีความลับในเขตแดนจักรพรรดิอย่างที่คาดหวังไปก็ตาม”
“แต่ที่ข้าพูดออกมาแบบนั้นนั่นก็เป็นเพราะว่า ข้ารู้สึกว่าราชาจักรพรรดิทั้งสาม เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น พวกเขายังไม่ใช่ราชาจักรพรรดิที่แท้จริง ตามความเข้าใจของข้าแล้ว พวกเขาควรจะอยู่ในระดับที่เรียกว่ากึ่งจักรพรรดิเท่านั้น”
“ห้ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮูเตี๋ยนถลึงตามองเฉินเฉียงในทันที
“นายเหนือหัว ท่านหมายความว่าจักรพรรดิทั้งสามนั่นยังเป็นเพียงแค่ราชาจอมพลงั้นรึ จะเป็นได้ได้ยังไงกัน”
เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามปราม “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด กับเรื่องนี้ความจริงแล้วก็ยังไม่อาจหาข้อพิสูจน์ได้ นี่เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตของเข้าเพียงเท่านั้น”
“เอาอย่างนี้ ท่านลองโจมตีข้ามาหน่อยสิ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เปิดใช้เจตจำนงแห่งการต่อสู้ในทันที
และนี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างรอบตัวได้ในระยะสองเมตร
“นายเหนือหัว ท่านพูดเล่นรึเปล่า”
ฮูเตี๋ยนถามออกมาในทันทีเพราะเขาเห็นว่าเฉินเฉียงมีสีหน้าที่สงบนิ่งทั้งๆที่พึ่งจะถามเขาไป
เขาเป็นถึงนักรบที่อยู่ในระดับราชาจอมพล แต่เฉินเฉียงนั้นเป็นแค่เพียงราชาขุนพลที่พึ่งจะข้ามขั้นมาเลยนะ
แล้วเฉินเฉียงจะให้เขาโจมตีใส่เนี่ยนะ
นี่มันหาที่ตายชัดๆ
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงก็ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หากท่านเกรงที่จะพลั้งมือทำร้ายข้าไปล่ะก็ ท่านก็ไม่จะเป็นต้องใช้แรงทั้งหมดในทีแรก แค่ค่อยๆลองดูก็ได้”
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะมั่นใจในเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของตนขนาดไหนก็ตาม แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะที่ห่างชั้นกันเกือบสองช่วงชั้น หากมีอะไรเกิดขึ้น ย่อมต้องเป็นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของเฉินเฉียงนี้ ฮูเตี๋ยนก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ นายเหนือหัว ตาแก่คนนี้ไม่ได้ใช้ฝ่ามือเคลื่อนขุนเขานี้มานานแล้วเหมือนกัน ขอให้ท่านโปรดระวังตัวด้วย”
เมื่อพูดจบ ฮูเตี๋ยนได้ยกฝ่ามือขึ้นมา พร้อมกับคลื่นพลังที่มองไม่เห็นที่อยู่กลางฝ่ามือ
หากว่านี่ไม่ใช่เฉินเฉียงแต่เป็นศัตรูล่ะก็ ฮูเตี๋ยนก็คงซัดสาดฝ่ามือไปโดยไม่ได้มีโอกาสให้อีกฝ่ายพบเห็นท่าร่าง
“ท่านนายเหนือหัว ข้าลงมือล่ะ”
เมื่อพูดจบ ฮูเตี๋ยนได้ฟาดฝ่ามือที่เกรี้ยวกราดลงบนอกของเฉินเฉียง
แต่ด้วยการที่เขานั้นกลัวว่าฝ่ามือของตนจะทำร้ายเฉินเฉียง เขาจึงได้ปลดปล่อยพลังออกมาโดยใช้พลังแทบจะไม่ถึงหนึ่งส่วนดีด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ฮูเตี๋ยนก็ต้องถลึงตาโตอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฝ่ามือของตนนั้นถูกหยุดเอาไว้ด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็นในระยะสองเมตรครึ่งก่อนถึงตัวเฉินเฉียง
“ฮื้ม”
เมื่อสัมผัสถึงกำแพงที่มองไม่เห็นนี้ ฮูเตี๋ยนจึงได้คิดที่จะเพิ่มแรงของตนลงไปบนฝ่ามือ
20%
30%
40%
เพียงเมื่อฮูเตี๋ยนเพิ่มพลังเป็น50% เฉินเฉียงก็ได้เคลื่อนไหว
แต่มันก็เป็นเพียงการที่เฉินเฉียงถูกผลักออกไปเพียงเท่านั้น
แถมยังเป็นการผลักโดยที่ฝ่ามือของเขายังไม่ถึงเฉินเฉียงด้วยซ้ำ
หลังจากถอนฝ่ามือของตน ฮูเตี๋ยนมองไปที่เฉินเฉียงด้วยสายตาแปลกๆ และอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “นายเหนือหัว….นี่มัน….อะไรกัน”
เฉินเฉียงเองที่ยิ้มอย่างไม่หุบตั้งแต่ต้น ก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ทำไมท่านไม่ลองโจมตีอย่างเต็มแรงดูล่ะ หลังจากนั้นแล้วข้าจะบอกท่าน”
ฮูเตี๋ยนพยักหน้ารับอย่างจริงจัง ก่อนที่จะตั้งท่าฝ่ามือของตนอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาใช้แรงเพียงครึ่งหนึ่ง และนั่นก็ทำให้ผลักเฉินเฉียงถอยไปเพียงแค่สามเมตรเพียงเท่านั้น และไม่ได้สัมผัสร่างของเฉินเฉียงแต่อย่างใด
ในครั้งนี้ ฮูเตี๋ยนจึงได้ใช้แรง 90% ฟาดฝ่ามือลงไปที่อกของเฉินเฉียง
พลังฝ่ามือที่ใช้นี้เพียงพอที่จะใช้ในกำราบผู้คนใต้หล้าได้
แน่นอนว่ามันทรงพลังเกินกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
และในตอนที่ฝ่ามือของเขาที่ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้นับสิบเท่าจนยิงเป็นคลื่นพลังพุ่งตรงไปที่เฉินเฉียง
“ปัง” เสียงดังสนั่นได้ดังขึ้นมา
เฉินเฉียงถูกส่งออกไปกับเกือบเจ็ดร้อยเมตรหลังจากที่สิ้นเสียงปะทะไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากปล่อยพลังฝ่ามือออกไปแล้ว ฮูเตี๋ยนยังยืนอยู่กับที่ไม่ไหวติง แม้จะเห็นว่าเฉินเฉียงถูกส่งลอยกระเด็นออกไปก็ตาม
เขาไม่ได้มีท่าทีกังวลว่าเฉินเฉียงจะบาดเจ็บแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าพลังฝ่ามือของเขาไม่ได้สัมผัสแม้แต่เสื้อผ้าของเฉินเฉียง แม้แต่ผมของเฉินเฉียงเองก็ยังไม่ปลิวไปตามแรงฝ่ามือของเขาแม้แต่น้อย
นี่หมายความว่ายังไงกัน
นี่หมายความว่าพลังเกือบสุดแรงของเขานั้นยังไม่อาจทำอะไรเฉินเฉียงได้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนเหตุผลที่เฉินเฉียงลอยกระเด็นออกไปนั้นเป็นเพียงเพราะพลังของเขาที่รุนแรงพอที่จะดันภูเขาให้เขยื่อนไปได้เพียงเท่านั้น
แต่ด้วยกำแพงที่เขามองไม่เห็นนั่น สามารถปกป้องเฉินเฉียงไว้ได้อย่างไร้ร่องรอย
นั่นมีวิชายุทธใดกัน
วิชายุทธใดที่ทำให้ราชาขุนพลที่พึ่งจะข้ามขั้นสามารถป้องกันการโจมตีของราชาจอมพลช่วงปลายเช่นเขาได้แบบนี้
นายเหนือหัวของเขานี่ลึกลับจนน่าตกตะลึงไปแล้ว
นี่ขนาดเขายังไม่ก้าวขึ้นสู่ระดับราชาจอมพลนะ ยังไม่รวมถึงที่ว่าเขานั้นมีโลกใบเล็กตั้งแต่อยู่ในระดับกึ่งราชานั่นอีก
อัจฉริยะที่ไม่อาจประเมินค่าได้ อัจฉริยะเหนืออัจฉริยะที่ไม่อาจหาคำใดมาอธิบาย
และเมื่อเฉินเฉียงบินกลับมา ใบหน้าของเขานั้นแสดงออกมาอย่างมั่นใจและสงบนิ่งยิ่งกว่าก่อนหน้าซะอีก
“เป็นยังไงบ้าง ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านคิดว่ายังไง”
เมื่อได้ยินคำแสดงความห่วงใยที่ตามมาด้วยคำถามนี้ ปากของฮูเตี๋ยนกระตุกไม่หยุด ก่อนที่จะอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากคำไหนดี
จะให้เขากล่าวสิ่งใดได้กัน
ไม่แปลกใจเลยจริงที่นายเหนือหัวของเขานั้นไม่คิดจะพาราชาจอมพลไปร่วมทางเลยก่อนหน้านี้
ด้วยทักษะของเขานี้ เขาไม่ต้องกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตผู้รุกรานจากต่างเขตแดนแต่อย่างใด เขานั้นสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างแน่นอน
“นายเหนือหัว นี่มันคือวิชาใดกัน” หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดฮูเตี๋ยนก็เลือกคำถามที่จะถามออกมาได้สักที
เฉินเฉียงเองก็ตอบออกมาโดยคำถาม “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ความคิดของท่านนั้น สิ่งใดที่จำเป็นต่อการเป็นราชาจักรพรรดิกัน”
ฮูเตี๋ยนเกาหัวไปมาในทันทีเมื่อได้ยิน และไม่อาจจะตอบอะไรออกมาได้
สิ่งใดที่จำเป็นต่อการเป็นราชาจักรพรรดิรึ
มันต้องถามกันด้วยเหรอ
ใครก็ตามที่จะเข้าสู่ระดับจักรพรรดินั้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีโลกใบเล็กที่กว้างใหญ่ไม่ใช่เหรอ นั่นถึงจะสมกับเป็นราชาจักรพรรดิถึงจะถูก
หรือจะให้กล่าวก็คือ โลกใบเล็กยิ่งใหญ่ คนคนนั้นก็มีโอกาสเป็นราชาจักรพรรดิมากขึ้นเท่านั้น
แต่หากว่าใช้แนวคิดนี้ ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ตัวเขานั้นก็ดูดซับพลังวิญญาณจนขยับขยายโลกใบเล็กของตนไปได้อย่างกว้างใหญ่มหาศาลไปแล้ว แต่เขาเองก็ยังไม่มีความรู้สึกว่ามันจะทำให้เขาก้าวเข้าสู่การเป็นจักรพรรดิได้แต่อย่างใด
แล้วการที่นายเหนือหัวของเขาถามคำถามนี้ออกมา เป็นไปได้ว่า….
ยิ่งฮูเตี๋ยนคิด เขาก็ยิ่งแสดงท่าทางตื่นเต้นยินดีออกมา ก่อนที่จะเก็บมันไว้ไม่อยู่จนร่างกายสั่นเทิ้ม
“ท่านนายเหนือหัว อย่าบอกนะว่าท่านจะชี้แนะหนทางสู่การเป็นจักรพรรดิให้ข้าน่ะ”
เมื่อพูดจบ ฮูเตี๋ยนทรุดเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นในทันที พร้อมกับพูดออกมาด้วยท่าทางที่ปลื้มปริ่มในทันใด “ข้ารับใช้ผู้นี้ขอให้นายเหนือหัวโปรดชี้แนะด้วย”
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงรีบทรุดตัวลงพยุงฮูเตี๋ยนในทันที
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านทำอะไรเนี่ย รีบลุกขึ้นยืนเร็วเข้า”
อย่างไรก็ตาม ฮูเตี๋ยนยังคุกเข่าต่อโดยไม่ขยับเขยื้อนและพูดออกมา “ท่านนายเหนือหัว ข้ารับใช้ผู้นี้อายุก็ปาเข้าไปกว่าสองร้อยปีแล้ว แต่เดิม ข้าเองถอดใจกับการเป็นจักรพรรดิไปแล้ว หากว่าข้ารับใช้ผู้นี้ได้รับคำชี้แนะจากนายเหนือหัวจนได้มีชีวิตต่ออีกสักร้อยปีในฐานะจักรพรรดิ ข้ารับใช้ผู้นี้ก็สามารถนอนตายตาหลับได้แล้ว”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็อดที่จะปวดใจไม่ได้
ฮูเตี๋ยนนั้นในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ เขาได้ทำงานอย่างหนักมาเนิ่นนานทั้งในด้านหน้าที่และการบ่มเพาะ แต่เขาก็ยังไม่อาจจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิได้และถอดใจไปเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่อได้เห็นทักษะที่เขาไม่รู้จักที่เฉินเฉียงแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้ ทำให้ความคิดของเขาอดที่จะสั่นคลอนไม่ได้อีกครา
สำหรับผู้บ่มเพาะนั้น ใครบ้างที่จะไม่อยากก้าวเข้าสู่การเป็นราชาจักรพรรดิ
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ฮูเตี๋ยนนั้นติดอยู่ที่ระดับราชาจอมพลช่วงปลายมานานกว่าร้อยกว่าปีแล้ว
เมื่อเฉินเฉียงได้พยุงฮูเตี๋ยนขึ้นมาอีกครั้งจนสำเร็จ เขาก็ได้พูดออกมาอย่างจริงจัง “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด สิ่งที่ข้าพูดไปว่าไม่มีความลับในการเป็นระดับราชาจักรพรรดิอยู่ในเขตแดนจักรพรรดินั้นเป็นความจริง และที่ข้าบอกว่าจักรพรรดิทั้งสามนั้นยังไม่ใช่ราชาจักรพรรดิที่แท้จริงนั้นก็อีก”
“ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการคาดการณ์ของข้าเท่านั้น”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านคงจะเห็นแล้วสินะว่าฝ่ามือทั้งสองของท่านนั้นไม่ได้ทำอันตรายข้าน่ะ ท่านรู้รึเปล่าว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
ฮูเตี๋ยนส่ายหน้าไปมาอย่างโง่งม
“ท่านพอจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเจตจำนงแห่งการต่อสู้หรือไม่”
“เจตจำนงแห่งการต่อสู้…เหรอ”
ฮูเตี๋ยนหรี่ตาลงในทันทีเมื่อได้ยิน
เขาเองก็มีชีวิตอยู่มานานกว่าสองร้อยปีแล้ว แม้เขาจะได้ยินคำพูดที่น่าจะสำคัญจากปากของเฉินเฉียงแล้วก็ตาม
แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนจริงๆ
“….แล้วจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้” เมื่อฮูเตี๋ยนน่าจะไม่รู้จริงๆ เขาจึงได้ถามถึงทักษะก่อนที่จะยกระดับเป็นเจตจำนงแห่งการต่อสู้แทน
“จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้งั้นรึ ข้ารับใช้ผู้นี้เคยได้ยินมาอยู่บ้าง” ฮูเตี๋ยนพูดพลางพยักหน้ารับแล้วถามออกมา “แต่สิ่งที่ข้ารับใช้ผู้นี้เห็นนายเหนือหัวใช้ก้อนหน้านี้มันไม่ใช่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี่นา”
“ถูกต้อง” เฉินเฉียงพยักหน้ารับและพูดต่อ “สิ่งที่ข้าพึ่งใช้ไปไม่ใช่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แต่เป็นเพียงเจตจำนงแห่งการต่อสู้ขั้นต้นเพียงเท่านั้น”
และเฉินเฉียงก็ได้พูดต่อโดยไม่รอให้ฮูเตี๋ยนถาม “สิ่งนี้เป็นข้าได้รับต่อมาจากพ่อของข้า”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนลมหายใจ
หากว่าไม่ใช่เป็นเพราะเฉินเทียนเว่ย เขาเองก็คงจะไม่เข้าใจว่าเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้คือกุญแจของผู้ที่จะกลายเป็นจอมราชันย์อย่างราชาจักรพรรดิ
ฮูเตี๋ยนที่เห็นว่าเฉินเฉียงโศกเศร้าลงเมื่อเอ่ยถึงพ่อของตน เขาก็ไม่ได้รีบเร่งหรือขัดจังหวะแต่อย่างใด เพียงนิ่งเงียบไปเพื่อรอรับฟัง
“ทั้งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้ พ่อของข้าเข้าใจมันได้อย่างลึกล้ำ”
“ผู้ใดก็ตามที่เข้าไปสู่ระดับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขั้นสูงได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้มาในทันที”
“และเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้เป็นทักษะที่ทำให้ผู้ที่มีมันอยู่นั้นสามารถควบคุมในทุกสิ่งที่อยู่ในระยะที่ตนเองนั้นสามารถเขาถึงได้ตามระดับของทักษะ”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ในตอนที่ท่านโจมตีข้า ท่านเองก็คงรู้สึกได้ว่าพลังฝ่ามือของท่านไม่อาจเข้ามาย่างกายในพื้นที่รอบตัวของข้าในระยะสองเมตรใช่รึเปล่า”
ฮูเตี๋ยนพยักหน้ารับก่อนที่จะแสดงสายตาที่เจิดจ้าออกมา
ท้ายที่สุด หลังจากใช้เวลาในการบ่มเพาะมากว่าสองร้อยปี ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้เขาได้เข้าใจบางอย่างได้เพิ่มขึ้น
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้ลอบพยักหน้ารับอย่างพอใจก่อนจะพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ที่ข้าได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิและพบเจอร่างวิญญาณของจักรพรรดิทั้งสาม หลังจากที่ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องราวว่าทำไมทั้งสามท่านถึงได้ย่างก้าวไปยังต่างเขตแดนทำไมนั้น นั่นทำให้ข้ามั่นใจว่าพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่กึ่งจักรพรรดิเพียงเท่านั้น”
“หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ทั้งสามท่านไม่อาจควบคุมโลกใบเล็กได้อย่างสมบูรณ์”
“และเพื่อการที่จะก้าวไปเป็นราชาจักรพรรดิให้ได้ ทั้งสามท่านจึงไปต่างเขตแดนเพื่อหาโอกาสที่จะได้ก้าวผ่าน”
“แต่นึกไม่ถึงว่ากลับต้องตกตายในต่างเขตแดน”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงก็ได้หยุดพูดพลางมองไปที่ฮูเตี๋ยน
ในตอนนี้ฮูเตี๋ยนปิดตาลงพร้อมเปลือกตาที่ขยับไปมา แค่มองจากข้างนอกก็เห็นได้ว่าลูกตาของเขานั้นหมุนวนไปมาอย่างไม่หยุดนิ่ง
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงก็พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
เมื่อได้เห็นว่าฮูเตี๋ยนเองนั้นได้รับบางสิ่งจากการตั้งข้อสันนิษฐานของเขา นี่ทำให้เขาไม่คิดจะรบกวนการใช้ความคิดของฮูเตี๋ยนแต่อย่างใด มันจะดีกับตัวเฉินเฉียงเองหากว่าฮูเตี๋ยนได้คำตอบ นี่จึงทำให้เขาเฝ้ารออยู่เฉยๆ
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ฮูเตี๋ยนก็ได้ลืมตาขึ้นมา พร้อมสายตาเปล่งประกายประดุจดวงดาว